
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4011/2567 เรื่องการท้าพิสูจน์ลายมือชื่อในคดีสัญญากู้เงิน-(คำท้า)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการท้าพิสูจน์ลายมือชื่อในคดีสัญญากู้เงิน โดยคู่ความได้ตกลงกันว่าหากผลการตรวจพิสูจน์ยืนยันว่าลายมือชื่อเป็นของบุคคลเดียวกัน จำเลยต้องแพ้คดี แต่หากไม่ใช่ โจทก์ต้องแพ้คดี อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจพิสูจน์กลับระบุว่าเป็นลายมือชื่อที่เกิดจากการพิมพ์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผลดังกล่าวไม่ตรงกับเงื่อนไขที่ท้า จึงไม่อาจนำมาเป็นผลแพ้หรือชนะคดีได้ จำเป็นต้องกลับไปสืบพยานและวินิจฉัยตามรูปคดี
ข้อเท็จจริงของคดี • โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินจำนวน 555,625 บาท พร้อมดอกเบี้ย • จำเลยให้การปฏิเสธและฟ้องแย้ง ขอให้คืนโฉนดที่ดินเลขที่ 11115 • คู่ความตกลงท้ากันให้นำเอกสารที่มีลายมือชื่อจำเลยไปตรวจพิสูจน์กับสัญญากู้เงิน หากตรงกันจำเลยแพ้คดี หากไม่ตรง โจทก์แพ้คดี • ผลการตรวจพิสูจน์ระบุว่าลายมือชื่อในสัญญากู้เงินเป็นลายมือชื่อที่เกิดจาก “การพิมพ์” ไม่ใช่การเขียน • ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและให้โจทก์คืนโฉนดที่ดินแก่จำเลย • ศาลอุทธรณ์ภาค 8 เห็นว่าผลตรวจไม่ตรงตามคำท้า จึงให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อและพิพากษาใหม่ • จำเลยฎีกา
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า • การแพ้ชนะคดีตามคำท้า ต้องยึดผลตรวจพิสูจน์ที่ตรงประเด็นกับคำท้าเท่านั้น • คู่ความท้ากันให้พิสูจน์ว่า “เป็นลายมือชื่อของบุคคลเดียวกันหรือไม่” ไม่ได้ท้ากันว่า “เป็นลายมือชื่อที่เกิดจากการพิมพ์หรือไม่” • ดังนั้น ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ว่าลายมือชื่อเกิดจากการพิมพ์จึงไม่ตรงกับคำท้า ไม่อาจถือว่าเป็นผลตามคำท้าได้ • การตีความเพิ่มเติมเกินคำท้าเป็นอำนาจศาล ไม่ใช่ผลของผู้เชี่ยวชาญ • จึงเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ภาค 8 ว่าต้องให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป พิพากษายืน ค่าธรรมเนียมให้เป็นพับ และคืนค่าขึ้นศาล 100 บาทแก่โจทก์
การวิเคราะห์ทางกฎหมาย 1. หลักการตีความคำท้า การท้าพิสูจน์เป็นข้อตกลงผูกพันคู่ความ เมื่อคู่ความตกลงกัน ศาลต้องยึดผลตรงประเด็นตามคำท้าโดยไม่ตีความเกินเลย หากผลการพิสูจน์ไม่ตรงเงื่อนไขที่ท้า ต้องถือว่า “ไม่เป็นไปตามคำท้า” และคู่ความยังคงมีสิทธิในการสืบพยานหลักฐานต่อไป 2. ความแตกต่างระหว่าง “ลายมือชื่อจริง” กับ “การพิมพ์” แม้ผลการตรวจพิสูจน์จะระบุว่าเป็น “การพิมพ์” แต่ไม่ใช่คำตอบตรงประเด็นว่าลายมือชื่อเป็นของบุคคลเดียวกันหรือไม่ ศาลฎีกาชี้ว่าเป็นการตีความต่อ ซึ่งอยู่นอกขอบเขตคำท้า 3. ผลทางรูปคดี o ศาลฎีกายืนยันหลักว่าผลจากการท้าต้อง “เด็ดขาด” และ “ชัดเจน” ไม่เช่นนั้นจะทำให้ศาลแทนที่ข้อตกลงของคู่ความ o การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้ดำเนินคดีต่อ ถือเป็นการรักษาสิทธิในการสืบพยานและพิสูจน์ข้อเท็จจริง
IRAC Analysis Issue (ประเด็น) เมื่อผลการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อระบุว่าเป็น “การพิมพ์” ไม่ใช่ลายมือชื่อที่เขียน ศาลสามารถถือผลดังกล่าวเป็นผลตามคำท้าหรือไม่ Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ) • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 วรรคหนึ่ง ว่าด้วยการตกลงกันระหว่างคู่ความ • หลักการทั่วไปเรื่องการท้าพิสูจน์ (Challenge agreement) ต้องยึดผลตรงประเด็นตามคำท้า Application (การวินิจฉัยประยุกต์) • คำท้ากำหนดให้ตรวจพิสูจน์ว่า “เป็นลายมือชื่อของบุคคลเดียวกันหรือไม่” เท่านั้น • ผลตรวจที่ว่า “เป็นการพิมพ์” ไม่ใช่การตอบตรงประเด็น • หากศาลตีความต่อว่าการพิมพ์ไม่ใช่การเขียน เท่ากับศาลแทนผลคำท้า ซึ่งขัดต่อหลักการท้าพิสูจน์ • ดังนั้นต้องถือว่าผลตรวจไม่เป็นไปตามคำท้า และต้องกลับไปสืบพยานตามรูปคดี Conclusion (ข้อสรุป) ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผลตรวจดังกล่าวไม่เป็นไปตามคำท้า ศาลไม่อาจใช้เป็นผลแพ้หรือชนะคดีได้ ต้องดำเนินกระบวนสืบพยานต่อไป
สรุปข้อคิดทางกฎหมาย คำพิพากษานี้ยืนยันหลักสำคัญว่า การท้าพิสูจน์ต้องตีความตามถ้อยคำอย่างเคร่งครัด ศาลไม่อาจขยายความเห็นของผู้เชี่ยวชาญให้เกินขอบเขตที่คู่ความตกลงกันไว้ การตีความที่เกินเลยจะกระทบสิทธิของคู่ความและไม่ชอบด้วยหลักกฎหมาย
English Summary The Supreme Court Decision No. 4011/2567 concerns a loan dispute involving a signature verification challenge. The Court ruled that the outcome of a challenge must strictly match the agreed terms between the parties. Since the expert’s finding that the signature was “printed” did not directly answer whether it was the defendant’s handwriting, it could not determine the case outcome. The Court affirmed the Appeal Court’s decision to continue proceedings and emphasized that courts cannot expand the scope of the challenge beyond what was agreed.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4011/2567
การแพ้หรือชนะคดีกันตามคำท้านั้น ผลที่ได้จากเงื่อนไขที่ท้ากันจะต้องชัดเจนตรงกับประเด็นตามคำท้าโดยที่ศาลไม่ต้องตีความผลดังกล่าวให้เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายใดอีก เพราะมิฉะนั้นจะเป็นการถือเอาคำวินิจฉัยของศาลเป็นผลแพ้หรือชนะคดีแทนผลที่ได้จากคำท้า คดีนี้ประเด็นตามคำท้าคือ ลายมือชื่อของจำเลยในหนังสือสัญญากู้เงินและตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยเอกสารหมาย จ.2 ล.1 ถึง ล.4 เมื่อเปรียบเทียบกับลายมือชื่อผู้กู้ในหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 แล้วเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ โจทก์และจำเลยไม่ได้ท้ากันว่า ลายมือชื่อในหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 เกิดจากการพิมพ์หรือการลงชื่อ ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจึงไม่ได้เป็นไปตามคำท้า หากจะให้รับฟังว่าลายมือชื่อที่เกิดจากการพิมพ์ย่อมไม่ใช่การลงชื่ออันแสดงว่าลายมือชื่อดังกล่าวไม่ใช่ของบุคคลคนเดียวกัน เท่ากับว่าศาลจะต้องตีความต่อความเห็นของผู้เชี่ยวชาญอีกชั้นหนึ่ง การตีความเช่นนี้จึงเป็นคำวินิจฉัยของศาล หาใช่ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในประเด็นที่ตกลงท้ากันไม่ ซึ่งในชั้นท้ากันคู่ความก็ไม่ได้ตกลงยอมให้ศาลตีความต่อความเห็นของผู้เชี่ยวชาญไว้ด้วย ศาลจึงไม่อาจวินิจฉัยความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในชั้นนี้ได้ เป็นเรื่องที่ต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานอันได้จากการสืบพยานของคู่ความซึ่งย่อมประกอบด้วยพยานหลักฐานอื่นเพิ่มเติมจากรายงานการตรวจพิสูจน์ดังกล่าว โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 555,625 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้อง และบังคับโจทก์คืนโฉนดที่ดินเลขที่ 11115 แก่จำเลย ห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับโฉนดที่ดินของจำเลยอีก โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ก่อนสืบพยาน คู่ความแถลงร่วมกันขอให้ส่งเอกสารซึ่งจำเลยยืนยันว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลย คือ หนังสือสัญญากู้เงิน สัญญากู้เงินกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลย คำขอมีบัตร มีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชน และตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยเอกสารหมาย จ.2 ล.1 ถึง ล.4 ตามลำดับไปตรวจเปรียบเทียบกับลายมือชื่อผู้กู้ในหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 โดยท้ากันว่า หากผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานตรวจพิสูจน์แล้วเห็นว่าเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ให้ถือว่าจำเลยยอมรับว่าหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 เป็นเอกสารที่แท้จริงตามที่โจทก์ฟ้อง จำเลยยอมแพ้คดี หากเห็นว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ให้ถือว่าโจทก์ยอมรับข้อเท็จจริงตามคำให้การและฟ้องแย้งว่าหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 เป็นเอกสารปลอม โจทก์ยอมแพ้คดี โดยคู่ความไม่ติดใจสืบพยานต่อไป แต่หากผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นทำนองว่าลายมือชื่อของจำเลยในเอกสารหมาย จ.2 ล.1 ถึง ล.4 มีลักษณะคล้ายกับเอกสารหมาย จ.1 ให้ถือว่าไม่เป็นไปตามคำท้า คู่ความขอสืบพยานต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต พร้อมส่งเอกสารดังกล่าวไปยังกองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผลการตรวจพิสูจน์ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่า ลายมือชื่อผู้กู้ในหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 เป็นลายมือชื่อที่เกิดจากการพิมพ์ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า ตามความเห็นของผู้ตรวจพิสูจน์แสดงว่าลายมือชื่อผู้กู้ในหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่เขียนด้วยปากกาหรือดินสอ ดังนั้น ลายมือชื่อผู้กู้ในหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 จึงเป็นลายมือชื่อปลอม
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และให้โจทก์คืนโฉนดที่ดินเลขที่ 11115 แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนคำฟ้องให้เป็นพับ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ กับให้โจทก์ชำระค่าตรวจพิสูจน์ 17,370 บาท แก่จำเลย โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นให้รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ว่าลายมือชื่อผู้กู้ในหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 เป็นลายมือชื่อที่เกิดจากการพิมพ์นั้นไม่เป็นไปตามคำท้าดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า การแพ้หรือชนะคดีกันตามคำท้านั้น ผลที่ได้จากเงื่อนไขที่ท้ากันจะต้องชัดเจนตรงกับประเด็นตามคำท้าโดยที่ศาลไม่ต้องตีความผลดังกล่าวให้เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายใดอีก เพราะมิฉะนั้นจะเป็นการถือเอาคำวินิจฉัยของศาลเป็นผลแพ้หรือชนะคดีแทนผลที่ได้จากคำท้า คดีนี้ประเด็นตามคำท้าคือ ลายมือชื่อของจำเลยในหนังสือสัญญากู้เงิน สัญญากู้เงินกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน คำขอมีบัตร มีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชน และตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลย เอกสารหมาย จ.2 ล.1 ถึง ล.4 เมื่อเปรียบเทียบกับลายมือชื่อผู้กู้ในหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 แล้วเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ โจทก์และจำเลยไม่ได้ท้ากันว่า ลายมือชื่อในหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 เกิดจากการพิมพ์หรือการลงชื่อ ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นไปตามคำท้า ซึ่งหากจะให้รับฟังว่าลายมือชื่อที่เกิดจากการพิมพ์ย่อมไม่ใช่การลงชื่ออันแสดงว่าลายมือชื่อดังกล่าวไม่ใช่ของบุคคลคนเดียวกันดังที่จำเลยอ้างในฎีกานั้น เท่ากับว่าศาลจะต้องตีความต่อความเห็นของผู้เชี่ยวชาญอีกชั้นหนึ่ง การตีความเช่นนี้จึงเป็นคำวินิจฉัยของศาล หาใช่ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในประเด็นที่ตกลงท้ากันไม่ ซึ่งในชั้นท้ากันคู่ความก็ไม่ได้ตกลงยอมให้ศาลตีความต่อความเห็นของผู้เชี่ยวชาญไว้ด้วย ศาลจึงไม่อาจวินิจฉัยความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในชั้นนี้ได้ ที่จำเลยอ้างในฎีกาว่า แม้จะสืบพยานต่อไปก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้นั้น ข้อนี้เป็นเรื่องที่ต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานอันได้จากการสืบพยานของคู่ความซึ่งย่อมประกอบด้วยพยานหลักฐานอื่นเพิ่มเติมจากรายงานการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวด้วย โดยผลจะเป็นอย่างไรก็ต้องว่ากล่าวกันในชั้นสืบพยานต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญไม่เป็นไปตามคำท้า แล้วพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น อนึ่ง คำฟ้องของโจทก์มีคำขอให้ชำระดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องรวมอยู่ ดังนั้น แม้โจทก์จะมีคำขอให้ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องด้วยก็ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลในอนาคต ตามตาราง 1 (4) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่โจทก์เสียมา 100 บาท จึงต้องคืนแก่โจทก์
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้น 100 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาสำหรับชั้นนี้ให้เป็นพับ
|