
(ฎีกาที่ 3737/2567) ประเด็นค่าฤชาธรรมเนียมในคดีผู้บริโภคและเงื่อนไขการอุทธรณ์ ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับปัญหาสำคัญด้านค่าฤชาธรรมเนียมในคดีผู้บริโภคและเงื่อนไขการอุทธรณ์ โดยเฉพาะประเด็นว่าผู้อุทธรณ์ซึ่งแพ้คดีต้องวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมแทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าแม้กฎหมายให้ผู้บริโภคได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม แต่ไม่ยกเว้นความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมชั้นที่สุด และการไม่วางเงินดังกล่าวย่อมกระทบต่อความชอบด้วยกฎหมายของการอุทธรณ์ อย่างไรก็ดี ศาลเน้นว่ามาตรา 229 แห่ง ป.วิ.พ. ไม่ใช่บทบัญญัติเด็ดขาด แต่เปิดโอกาสให้ศาลใช้ดุลพินิจเพื่อความยุติธรรม
ข้อเท็จจริงของคดี • โจทก์ฟ้องเรียกเงินจากจำเลย โดยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 434,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 และ 3 ชำระแทน และร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ • จำเลยที่ 2 ไม่ได้ยื่นคำให้การ จึงถูกพิพากษาแพ้คดี โดยต่อมาได้ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ อ้างว่าไม่ได้รับหมายเรียกอย่างชอบ • ศาลชั้นต้นยกคำร้องดังกล่าว • จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ แต่ไม่ได้วางเงินค่าฤชาธรรมเนียมตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น • ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย 1. ผู้อุทธรณ์ในคดีผู้บริโภคต้องวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้หรือไม่ 2. หากศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์โดยไม่ให้ผู้อุทธรณ์วางเงินค่าฤชาธรรมเนียม การสั่งรับอุทธรณ์นั้นชอบหรือไม่ 3. มาตรา 229 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นบทบัญญัติเด็ดขาดหรือเปิดโอกาสให้ศาลใช้ดุลพินิจ
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา • พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง กำหนดให้ผู้บริโภคได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม แต่ไม่ยกเว้นความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมชั้นที่สุด • คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ จึงเป็นความรับผิดที่จำเลยต้องวางเงินก่อนการอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 • การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์โดยไม่ให้จำเลยที่ 2 วางเงินค่าฤชาธรรมเนียม ถือว่าไม่ชอบ และยังไม่มีอุทธรณ์ที่สมบูรณ์ให้พิจารณาต่อ • อย่างไรก็ดี มาตรา 229 ไม่ใช่บทบัญญัติเด็ดขาด ศาลสามารถใช้ดุลพินิจเพื่อความเป็นธรรม โดยให้โอกาสจำเลยที่ 2 วางเงินค่าฤชาธรรมเนียมภายในกำหนด
การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. หลักการค่าฤชาธรรมเนียมในคดีผู้บริโภค o แม้คดีผู้บริโภคจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมในการฟ้อง แต่ไม่ได้ยกเว้น “ความรับผิด” หากแพ้คดี o แนวทางนี้สอดคล้องกับหลักการคุ้มครองผู้บริโภค แต่ก็ยังรักษาความเป็นธรรมแก่คู่ความอีกฝ่าย 2. ความหมายของมาตรา 229 ป.วิ.พ. o มาตรานี้เป็นหลักประกันให้คู่ความที่ชนะคดีได้รับการชำระหนี้ค่าธรรมเนียมโดยไม่ต้องบังคับคดี o แต่ไม่ใช่กฎหมายเด็ดขาดที่ศาลต้องไม่รับอุทธรณ์ทันที หากไม่วางเงิน 3. ดุลพินิจของศาลเพื่อความยุติธรรม o ศาลฎีกาเน้นย้ำว่าศาลสามารถพิจารณาให้โอกาสผู้อุทธรณ์แก้ไขข้อบกพร่องได้ o เป็นการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความเป็นธรรมและการคุ้มครองสิทธิในการอุทธรณ์
IRAC Analysis Issue (ปัญหา): ผู้อุทธรณ์ในคดีผู้บริโภคต้องวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนคู่ความอีกฝ่ายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก่อนหรือไม่ Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ): • พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง • ป.วิ.พ. มาตรา 229 และมาตรา 232 Application (การปรับใช้): • แม้คดีผู้บริโภคได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม แต่ไม่ยกเว้นความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมชั้นที่สุด • การที่ศาลชั้นต้นไม่เรียกให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมก่อนรับอุทธรณ์ เป็นการดำเนินการไม่ชอบ • อย่างไรก็ดี ศาลสามารถใช้ดุลพินิจเพื่อเปิดโอกาสให้จำเลยวางเงินภายหลังเพื่อความเป็นธรรม Conclusion (ข้อสรุป): ผู้อุทธรณ์มีหน้าที่ต้องวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก่อนอุทธรณ์ แต่หากขาดตกบกพร่อง ศาลยังมีอำนาจให้โอกาสแก้ไขได้ โดยไม่ตัดสิทธิการอุทธรณ์ในทันที
ข้อคิดทางกฎหมาย • คดีนี้ชี้ให้เห็นว่า การยกเว้นค่าธรรมเนียมคดีผู้บริโภคไม่ใช่การยกเว้นความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมทั้งหมด • คู่ความที่แพ้คดียังมีภาระต้องรับผิดในค่าธรรมเนียมชั้นที่สุด • ศาลมีบทบาทสำคัญในการใช้ดุลพินิจเพื่อความเป็นธรรม ไม่ให้กระบวนการทางกฎหมายเป็นเพียงกลไกที่ตัดสิทธิโดยเคร่งครัดเกินไป
English Summary The Supreme Court Decision No. 3737/2567 addresses the issue of court fees in consumer cases and the conditions for filing an appeal. The Court ruled that while consumer cases are exempt from initial filing fees, the losing party remains liable for final court costs. According to Section 229 of the Civil Procedure Code, an appellant must deposit such fees as security before appealing. However, the Court emphasized that this rule is not absolute and allows judicial discretion to ensure fairness by granting appellants an opportunity to comply before dismissal.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3737/2567
ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้การฟ้องคดีของผู้บริโภคได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรรมเนียมทั้งปวง แต่ไม่รวมถึงความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นที่สุด ดังนั้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่กำหนดให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ จึงเป็นความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยที่ 2 ผู้อุทธรณ์ต้องวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งพร้อมอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 อย่างไรก็ดี ป.วิ.พ. มาตรา 229 เป็นบทบัญญัติที่มุ่งประสงค์ให้คู่ความฝ่ายที่แพ้คดีที่ประสงค์จะอุทธรณ์ต้องรับผิดชอบค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนด้วยการวางเงินต่อศาลเพื่อเป็นหลักประกันต่อคู่ความฝ่ายที่ชนะคดีว่าหากคดีถึงที่สุดโดยคู่ความฝ่ายนั้นยังคงชนะคดีก็สามารถได้รับชำระหนี้ค่าธรรมเนียมที่วางต่อศาลได้โดยไม่ต้องบังคับคดี ดังนั้น การวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายตามมาตรา 229 จึงเป็นเงื่อนไขประกอบการพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าจะรับอุทธรณ์หรือไม่ แต่มาตรา 229 ไม่ใช่บทบัญญัติเด็ดขาดว่าหากผู้อุทธรณ์มิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางพร้อมกับอุทธรณ์แล้ว ศาลต้องมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ทันทีไม่ ศาลสามารถใช้ดุลพินิจพิจารณาเป็นกรณีไปเพื่อความเป็นธรรมว่าสมควรที่จะให้โอกาสผู้อุทธรณ์ที่มิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายนำเงินดังกล่าวมาวางศาลภายในกำหนดหรือสมควรมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์โดยไม่ให้โอกาสก็ได้ ที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ แม้มิใช่เป็นอุทธรณ์ที่ได้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยตรง แต่ถ้าหากศาสอุทธรณ์ภาค 6 เห็นว่า จำเลยที่ 2 มิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ก็ทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินแก่โจทก์เป็นอันต้องถูกเพิกถอนไป อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 จึงเท่ากับเป็นการอุทธรณ์ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 โดยที่มิได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนจึงเป็นการสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 โดยผิดหลงเช่นนี้ จำเลยที่ 2 ย่อมเข้าใจว่าตนได้ปฏิบัติตามกฎหมายถูกต้องแล้ว กรณีไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 2 จงใจไม่วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยที่ 2 นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนแก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลให้ถูกต้องครบถ้วนก่อน คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 โดยที่จำเลยที่ 2 ยังมิได้วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนแก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจึงไม่ชอบ และยังไม่มีอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ให้ต้องพิจารณาว่าเป็นอุทธรณ์ที่ชอบหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบ
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 434,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 มิถุนายน 2563) เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ชำระแทน กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างว่า จำเลยที่ 2 มิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 2 ได้ย้ายไปจากที่อยู่ตามที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องมานานแล้ว จึงไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง ทำให้ไม่มีโอกาสต่อสู้คดี การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องจึงไม่ชอบ หากจำเลยที่ 2 ได้ต่อสู้คดีมีโอกาสชนะคดีโจทก์ได้ เพราะโจทก์ประมูลขายทอดตลาดรถยนต์ที่เช่าซื้อในราคาต่ำกว่าท้องตลาดจึงไม่เหมาะสม เป็นการไม่ปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2555 ข้อ 5 (4) โดยเคร่งครัด ไม่สุจริต ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในค่าขาดราคาแก่โจทก์ โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ยื่นอุทธรณ์โดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจึงไม่มีค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่จะคืนให้ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า การยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้การฟ้องคดีของผู้บริโภคได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง แต่ไม่รวมถึงความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นที่สุด ดังนั้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่กำหนดให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ จึงเป็นความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยที่ 2 ผู้อุทธรณ์ต้องวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งพร้อมอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 มิใช่กรณีที่ได้รับยกเว้นดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 เป็นบทบัญญัติที่มุ่งประสงค์ให้คู่ความฝ่ายที่แพ้คดีที่ประสงค์จะอุทธรณ์ต้องรับผิดชอบค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนด้วยการวางเงินต่อศาลเพื่อเป็นหลักประกันต่อคู่ความฝ่ายที่ชนะคดีว่า หากคดีถึงที่สุดโดยคู่ความฝ่ายนั้นยังคงชนะคดีก็สามารถได้รับชำระหนี้ค่าธรรมเนียมที่วางต่อศาลได้โดยไม่ต้องบังคับคดี ดังนั้น การวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 229 จึงเป็นเงื่อนไขประกอบการพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าจะรับอุทธรณ์หรือไม่ หากศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ทั้งที่ผู้อุทธรณ์มิได้วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง คำสั่งรับอุทธรณ์ย่อมไม่ชอบ และไม่มีอุทธรณ์ให้ต้องวินิจฉัยว่าเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบหรือไม่ ทั้งมาตรา 229 ก็มิใช่บทบัญญัติบังคับเด็ดขาดว่า หากผู้อุทธรณ์มิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์แล้ว ศาลต้องมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ทันทีไม่ แต่เป็นบทบัญญัติให้ศาลใช้ดุลพินิจพิจารณาเป็นกรณีไปเพื่อความเป็นธรรมว่าสมควรที่จะให้โอกาสผู้อุทธรณ์ที่มิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งนำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลภายในกำหนด หรือสมควรมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์โดยไม่ให้โอกาสก็ได้ ที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ แม้มิใช่เป็นอุทธรณ์ที่โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยตรง แต่ถ้าหากศาลอุทธรณ์ภาค 6 เห็นว่า จำเลยที่ 2 มิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ก็จะทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินแก่โจทก์ เป็นอันต้องถูกเพิกถอนไป อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 2 จึงเท่ากับเป็นการอุทธรณ์ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 โดยที่มิได้ให้จำเลยที่ 2 วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อน จึงเป็นการสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 โดยผิดหลง เช่นนี้ จำเลยที่ 2 ย่อมเข้าใจได้ว่าตนได้ปฏิบัติตามกฎหมายถูกต้องแล้ว กรณีไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 2 จงใจไม่วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยที่ 2 นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลให้ถูกต้องครบถ้วนก่อน คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 โดยที่จำเลยที่ 2 ยังมิได้วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจึงไม่ชอบ และยังไม่มีอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ให้ต้องพิจารณาว่าเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบ
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 และยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ให้ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อแจ้งให้จำเลยที่ 2 วางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามมาตรา 232 ต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ ![]() |