
| คดีเพลิงไหม้ ละเมิด & ข้อสันนิษฐาน 84/1,คดีเพลิงไหม้, ลานจอดรถ, ละเมิด, (ฎีกา 2008/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกรณีเพลิงไหม้ที่เกิดในลานจอดรถใต้ดิน ซึ่งโจทก์อ้างว่ามีสาเหตุมาจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยไม่ได้จัดให้มีการดับเพลิงหรือป้องกันอันตรายอย่างเพียงพอ ส่งผลให้เกิดไฟลุกลามเสียหายแก่รถยนต์ที่โจทก์รับประกันไว้ แม้โจทก์จะฟ้องว่าเป็นการละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 เท่านั้น แต่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยว่าเหตุเพลิงไหม้เกิดจาก กระแสไฟฟ้าลัดวงจร (ทรัพย์อันตราย) และให้โจทก์ได้รับประโยชน์จาก ข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 ตลอดจนพิพากษาให้จำเลยมีความรับผิด จำเลยจึงฎีกาว่าเป็น “นอกฟ้อง / นอกประเด็น” และขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 142 ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์ทำได้หรือไม่ และที่สุดแล้วพิพากษาให้ ยกฟ้องโจทก์ พร้อมคืนค่าขึ้นศาลที่เกินให้แก่จำเลย ข้อเท็จจริงสำคัญ • โจทก์ (ผู้รับประกันภัยรถยนต์) ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ชำระเงิน 177,843 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ของต้นเงิน 171,500 บาท ฯลฯ • จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลอาคารชุด มีหน้าที่ดูแลทรัพย์ส่วนกลาง / จำเลยที่ 2 เป็นบริษัทประกันอาคารชุด • วันที่ 15 มกราคม 2561 เวลาประมาณ 15.00 น. เกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในห้องพักของพนักงานรักษาความปลอดภัยภายในบริเวณลานจอดรถใต้ดิน ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลาง • เพลิงลุกลามไปเผารถยนต์ที่โจทก์รับประกัน เสียหายทั้งคัน • โจทก์ชำระค่าสินไหมทดแทนรถยนต์ 170,000 บาท + ค่าลากรถ 1,500 บาท = 171,500 บาท • ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง • ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 1 & 2 ร่วมกันชำระ 171,500 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 จนถึงวันฟ้อง (13 กันยายน 2561) ต้องไม่เกิน 6,343 บาท • จำเลยทั้งสองฎีกาโดยได้รับอนุญาต • ศาลฎีการับสำนวนและตั้งข้อพิจารณาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยลักษณะเหตุผิดไปจากที่โจทก์บรรยาย (นอกประเด็น) และได้อาศัยข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 ซึ่งโจทก์ไม่ได้ฟ้อง และขัดต่อ มาตรา 142 แนวโต้แย้งในชั้นฎีกา • จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกินกว่าที่โจทก์บรรยาย (นอกฟ้อง / นอกประเด็น) โดยชี้เหตุเพลิงไหม้ว่ามาจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งโจทก์ไม่ได้อ้างไว้ในคำฟ้อง • จำเลยโต้แย้งว่าโจทก์ไม่อาจเรียกร้องให้ศาลพิพากษาโดยอาศัยข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 หากไม่ได้ฟ้องหรืออ้างไว้ • จำเลยทั้งสองอ้างว่าคำพิพากษาอุทธรณ์ขัดต่อบทกฎหมาย มาตรา 142 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประเด็นที่ศาลฎีกาวินิจฉัย 1. การวินิจฉัยเหตุเพลิงไหม้ว่ามาจาก “กระแสไฟฟ้าลัดวงจร (ทรัพย์อันตราย)” ถือเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือไม่ 2. การอาศัยข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 โดยที่โจทก์ไม่ได้อ้างไว้ในคำฟ้องชั้นต้น ถือว่าละเมิดหลัก มาตรา 142 หรือไม่ 3. การคืนค่าขึ้นศาลที่เกินให้นั้น ให้ยึดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 150 วรรค 5 ⚖️ ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกฟ้องและนอกประเด็น” เพราะคำฟ้องของโจทก์กล่าวเพียงว่าไฟไหม้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ซึ่งละเมิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 แต่ศาลอุทธรณ์กลับเปลี่ยนสาเหตุของเพลิงไหม้ว่าเกิดจาก กระแสไฟฟ้าลัดวงจร (ทรัพย์อันตราย) และให้โจทก์ได้รับประโยชน์จาก ข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 ซึ่งไม่อยู่ในคำฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการวินิจฉัย “นอกฟ้อง–นอกประเด็น” ขัดต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 จึงพิพากษาให้ ยกฟ้องโจทก์ พร้อมคืนค่าขึ้นศาลส่วนเกินแก่จำเลยตาม มาตรา 150 วรรคห้า 📘 มาตรากฎหมายที่ใช้หลักในการวินิจฉัย 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 – ความรับผิดในทางละเมิด 2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 – ข้อสันนิษฐานในทางแพ่ง 3. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 – ห้ามศาลพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น 4. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคห้า – การคืนค่าขึ้นศาลส่วนเกิน 🔑 5 Keywords หลักของคดี (พร้อมคำอธิบาย) 1. นอกฟ้อง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยยกเหตุเพลิงไหม้จาก “ไฟฟ้าลัดวงจร” ทั้งที่โจทก์ไม่เคยกล่าวไว้ในคำฟ้อง ถือเป็นการพิพากษานอกฟ้อง ซึ่งผิดหลักตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 2. นอกประเด็น ศาลต้องตัดสินเฉพาะในประเด็นที่คู่ความยกขึ้น หากวินิจฉัยในประเด็นที่ไม่มีการอ้างหรือโต้แย้ง ถือว่าศาลขยายประเด็นเอง เป็นการละเมิดสิทธิของจำเลยในการต่อสู้คดี 3. ข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 ข้อสันนิษฐานจะนำมาใช้ได้เฉพาะเมื่อโจทก์อ้างไว้ในคำฟ้อง หากศาลนำมาใช้เองโดยไม่มีการอ้าง ถือว่าเกินอำนาจ และอาจกระทบต่อความเป็นธรรมของคู่ความ 4. ละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 ฐานความรับผิดของจำเลยตั้งอยู่บนความประมาทเลินเล่อ ไม่ใช่ความเสียหายจาก “ทรัพย์อันตราย” ดังนั้น การเปลี่ยนสาเหตุเป็นไฟฟ้าลัดวงจรจึงทำให้สภาพแห่งข้อหาต่างจากคำฟ้อง 5. คืนค่าขึ้นศาล (Refund of Court Fees) ในชั้นฎีกา จำเลยทั้งสองยื่นฎีกาแยกกันในคดีเดียวกัน ทำให้ค่าขึ้นศาลรวมกันเกินที่กฎหมายกำหนด ศาลฎีกาจึงคืนส่วนที่เกินตาม ป.วิ.พ. มาตรา 150 วรรคห้า ถือเป็นแนวคำพิพากษาเชิงหลักเกณฑ์ด้านกระบวนพิจารณา 🧭 สรุปสาระสำคัญสั้น ๆ คดีนี้ตอกย้ำหลักสำคัญในกระบวนพิจารณาความแพ่งว่า “ศาลต้องพิพากษาอยู่ในขอบเขตคำฟ้องและประเด็นที่คู่ความยกขึ้นเท่านั้น” การนำประเด็นใหม่หรือข้อสันนิษฐานที่โจทก์ไม่อ้างมาใช้ เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ขัดต่อหลักความเป็นธรรมในการพิจารณาคดี ขยายความประเด็นทางกฎหมายสำคัญ การ “นอกฟ้อง / นอกประเด็น” ตาม มาตรา 142 • บทบัญญัติ ป.วิ.พ. มาตรา 142 กำหนดว่า ศาลต้องพิพากษาตามข้อหาและประเด็นที่โจทก์ได้อ้างในคำฟ้องเท่านั้น ห้ามไม่ให้พิพากษาเกินหรือนอกเหนือจากข้อหา • จุดประสงค์คือให้คู่ความมีโอกาสโต้แย้งฝ่ายตรงข้ามในประเด็นที่ถูกกล่าวถึง และป้องกันไม่ให้ศาลตัดสินเรื่องที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทันได้เตรียมรับมือ • ในคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยประเด็นที่โจทก์ไม่ได้นำอ้าง — จึงถือเป็นการละเมิดหลักมาตรา 142 ข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 • มาตรา 84/1 นำมาซึ่ง “ข้อสันนิษฐาน” ในกระบวนพิจารณาความแพ่ง ให้ประโยชน์แก่โจทก์ในบางกรณี • แต่โจทก์จะได้รับประโยชน์นั้นได้ก็ต่อเมื่อโจทก์ได้อ้างหรือยกขึ้นเป็นประเด็นในคำฟ้อง • หากศาลนำข้อสันนิษฐานมาใช้โดยที่โจทก์ไม่ได้อ้าง ถือว่าเป็นการฟ้องแทรก (surplus) ซึ่งศาลไม่มีอำนาจ ความรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 • มาตรา 420 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่าผู้ใดจงใจหรือโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน • ในทางปฏิบัติ ผู้เสียหาย (โจทก์)ต้องพิสูจน์ว่าเกิดความเสียหาย มีสาเหตุเชื่อมโยงจากการกระทำหรือการละเลยของจำเลย • ถ้าไม่มีการพิสูจน์ถึงลักษณะเฉพาะของสาเหตุ เช่น ไฟไหม้มาจากสาเหตุใด ศาลอาจไม่อาจลงโทษจำเลยได้ การคืนค่าขึ้นศาลตาม มาตรา 150 วรรค 5 • เมื่อจำเลยยื่นฎีกาแยกกัน ทำให้เสียค่าขึ้นศาลรวมกันเกินกว่าที่ควร ศาลจะต้องคืนส่วนที่เกินให้แก่จำเลยตามสัดส่วน • ในคดีนี้ ศาลฎีกาพิพากษาให้คืนส่วนเกินแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 2,432 บาท และแก่จำเลยที่ 2 จำนวน 1,778 บาท สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • ศาลต้องดำเนินการในกรอบ ประเด็นที่โจทก์ได้อ้างในคำฟ้อง เท่านั้น (มาตรา 142) • การ “เปลี่ยนประเด็น” หรือ “เสริมประเด็นใหม่” โดยศาลอุทธรณ์ หรือศาลอื่นโดยพลการ ถือเป็นการละเมิดหลักพิจารณาคดีที่เป็นธรรม • ข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 ใช้ได้เฉพาะในกรณีที่โจทก์อ้างประเด็นนั้นไว้แล้ว • ในคดีละเมิด (ป.พ.พ. มาตรา 420) ผู้เรียกร้องต้องพิสูจน์สาเหตุที่แท้จริง และศาลไม่ควรตัดสินโดยพิจารณาจากข้อสมมุติที่โจทก์ไม่ได้นำขึ้น • การคืนค่าขึ้นศาลที่เกินตาม ป.วิ.พ. มาตรา 150 วรรค 5 เป็นหลักธรรมในการไม่ให้ฝ่ายจำเลยเป็นภาระเกินสมควร คำถาม – คำตอบ ประเด็นสำคัญ (2 ประเด็น) คำถาม 1: ศาลอุทธรณ์สามารถวินิจฉัยว่าเหตุเพลิงไหม้เกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร (ทรัพย์อันตราย) ได้หรือไม่ แม้โจทก์ในคำฟ้องจะไม่อ้างประเด็นทรัพย์อันตราย? คำตอบ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่ได้ — เพราะโจทก์ไม่ได้อ้างไว้ในคำฟ้อง การวินิจฉัยเหตุโดยอาศัยทรัพย์อันตรายจึงเป็น การนอกประเด็น ซึ่งขัดต่อ มาตรา 142 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจทำเช่นนั้น
คำถาม 2: ถ้าโจทก์ไม่ได้อ้างให้ใช้ข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 ในคำฟ้อง ศาลอุทธรณ์หรืศาลใดสามารถให้โจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นได้หรือไม่? คำตอบ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่ได้ — ข้อสันนิษฐานตาม มาตรา 84/1 ใช้ได้เฉพาะในกรณีที่โจทก์ได้อ้างประเด็นดังกล่าวไว้แล้วในคำฟ้องเท่านั้น ถ้าโจทก์ไม่ได้นำขึ้นเป็นประเด็น การนำข้อสันนิษฐานมาใช้ถือเป็นการเสริมประเด็นโดยพลการ ซึ่งศาลไม่มีอำนาจ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2008/2567 โจทก์บรรยายฟ้องว่า เกิดเหตุเพลิงไหม้บริเวณลานจอดรถชั้นใต้ดินอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการหรือจัดให้มีการดับเพลิงอย่างทันท่วงทีจนเป็นเหตุให้ไฟลุกลามไปไหม้รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยเสียหายทั้งคัน คำบรรยายฟ้องเช่นนี้จึงเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดและให้จำเลยที่ 1 รับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 หาได้บรรยายฟ้องหรือตั้งประเด็นว่า เหตุละเมิดเกิดจากกระแสไฟฟ้าซึ่งเป็นทรัพย์อันตรายลัดวงจร การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเหตุเกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร และโจทก์ได้รับประโยชน์จาก ข้อสันนิษฐาน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดจึงเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น อันเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 177,843 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 171,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ว่าจ้างบริษัทรักษาความปลอดภัย จ. ดูแลความปลอดภัยของอาคารชุด ขอให้เรียกบริษัทดังกล่าวเข้ามาเป็นจำเลยร่วมที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยร่วมทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 171,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 13 กันยายน 2561) ต้องไม่เกิน 6,343 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ทั้งสองชั้นศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้ฎีกาโต้แย้งกันรับฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ จากนายวีระศักดิ์ มีระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2560 สิ้นสุดวันที่ 30 มกราคม 2561 โดยมีวงเงินคุ้มครองรถยนต์เสียหาย สูญหาย หรือเพลิงไหม้ 170,000 บาท ต่อครั้ง จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลอาคารชุด มีหน้าที่จัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด และเป็นผู้รับประกันภัยอาคารชุดของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2561 เวลาประมาณ 16 นาฬิกา นายเสริมศักดิ์ ขับรถยนต์ไปจอดที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน P1 ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลางของจำเลยที่ 1 ต่อมาวันที่ 15 มกราคม 2561 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา เกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในห้องพักของพนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยร่วมที่ 1 ที่อยู่ในบริเวณลานจอดรถดังกล่าว เป็นเหตุให้เพลิงลุกลามไหม้รถยนต์ได้รับความเสียหาย โจทก์ชำระค่าสินไหมทดแทนรถยนต์เป็นเงิน 170,000 บาท ให้แก่ผู้เอาประกันภัย และค่าลากรถไปอู่ซ่อมรถเป็นเงิน 1,500 บาท รวมเป็นเงิน 171,500 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์เฉพาะในส่วนของจำเลยทั้งสอง คดีในส่วนของจำเลยร่วมทั้งสองจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 กระทำละเมิด โดยวินิจฉัยถึงเหตุที่เกิดเพลิงไหม้ว่าเกิดเพราะกระแสไฟฟ้าลัดวงจร และโจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 เป็นคำพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นและขัดต่อพยานหลักฐานหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2561 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา เกิดเหตุเพลิงไหม้บริเวณลานจอดรถชั้นใต้ดิน P1 อันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการหรือจัดให้มีการดับเพลิงอย่างทันท่วงทีจนเป็นเหตุให้ไฟลุกลามไปไหม้รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยเสียหายทั้งคัน คำบรรยายฟ้องเช่นนี้จึงเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดและให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 หาได้บรรยายฟ้องหรือตั้งประเด็นว่า เหตุละเมิดเกิดจากกระแสไฟฟ้าซึ่งเป็นทรัพย์อันตรายลัดวงจร การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเหตุเกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร และโจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐาน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดจึงเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น อันเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น อนึ่ง ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงิน 177,843 บาท ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเป็นเงิน 3,556 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างยื่นฎีกาแยกกันโดยต่างเสียค่าขึ้นศาล ซึ่งค่าขึ้นศาลดังกล่าวเมื่อรวมแล้วมีจำนวนสูงกว่าที่จำเลยทั้งสองต้องชำระกรณีที่ยื่นฎีการวมกัน เมื่อกรณีแห่งคดีมีลักษณะเป็นคดีที่มีมูลความแห่งคดีอันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมานั้นให้แก่จำเลยทั้งสองตามส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคห้า พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งสองเสียด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองทั้งสามศาลให้เป็นพับ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินมาแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 2,432 บาท และคืนแก่จำเลยที่ 2 จำนวน 1,778 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ตัวอย่างฎีกาที่เกี่ยวข้องเพื่อเปรียบเทียบ 1. ฎีกา 5783/2567 (คดีซื้อขายที่ดิน & คืนเงิน) สภาพคดีเป็นการซื้อขายที่ดิน โดยโจทก์ฟ้องว่า ผู้ขายต้องคืนเงินกรณีที่สัญญาไม่เป็นไปตามเงื่อนไข ศาลชั้นอุทธรณ์ใช้หลักอายุความโดยอาศัย มาตรา 193 / 30 ประมวลกฎหมายแพ่งฯ และให้คืนเงินแก่โจทก์ แต่เยียวยามีข้อจำกัด ซึ่งฝ่ายจำเลยฎีกาว่า ศาลใช้หลักเกินที่โจทก์ฟ้อง (นอกฟ้อง) หรือไม่ และการตีความอายุความถูกต้องหรือไม่ ศาลฎีกาต้องพิจารณาว่าเงื่อนไขในการเรียกคืนเงินเป็นสิทธิเฉพาะตัวหรือไม่ และอายุความใดที่ใช้ได้ ผลสุดท้าย ศาลฎีกายืนตามแนวอุทธรณ์ว่าการเรียกคืนเป็นสิทธิเฉพาะตัว และอายุความที่ใช้คือ 10 ปีตาม มาตรา 193/30 — จุดเปรียบเทียบ: การใช้ประเด็น “คืนเงิน” ที่อาจไม่ได้อ้างในคำฟ้อง, การตีความอายุความ 2. ฎีกา 1218/2567 (คดีอนาจารเด็ก) เป็นคดีที่เกี่ยวกับความผิดตาม ป.อ. มาตรา 317 (พรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร) จำเลยโต้ว่าไม่มีอำนาจปกครอง หรือเด็กอยู่ในความดูแลของผู้ใด ศาลชั้นอุทธรณ์วินิจฉัยหลักฐานหลักฐานใหม่ที่ไม่ปรากฏในคำฟ้อง และให้ใช้ข้อสันนิษฐานบางประการในประมวลกฎหมายอาญา/วิธีพิจารณา ศาลฎีกาต้องพิจารณาว่าการนำหลักฐานใหม่หรือประเด็นที่โจทก์ไม่อ้างมาใช้เป็นการนอกประเด็นหรือไม่ และมาตรา 317 วรรคใดบังคับใช้ กรณีใดให้โทษหนักสุด ในที่สุดศาลฎีกาพิพากษายืนตามอุทธรณ์บางส่วนและแก้บางประการ จุดเปรียบเทียบคือแนวปฏิบัติในการตั้งประเด็นโจทก์ / การใช้ข้อสันนิษฐาน 3. ฎีกา 3230/2568 (คดีเช่าซื้อรถยนต์) โจทก์เช่าซื้อรถยนต์และมอบรถให้บุคคลอื่นนำไปจำนำโดยไม่แจ้งให้ทราบ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็น “การครอบครอง” ซึ่งโจทก์ไม่ได้อ้างไว้ในคำฟ้อง และให้ใช้หลักของสิทธิในการครอบครอง การดำเนินคดีจึงอาจเป็นนอกประเด็น ศาลฎีกาตรวจสอบว่าศาลอุทธรณ์ทำได้หรือไม่ ตามหลัก มาตรา 142 ผลคำพิพากษาศาลฎีกาเน้นว่า ศาลต้องจำกัดขอบเขตประเด็นตามที่โจทก์ฟ้องเท่านั้น — เปรียบเทียบ: การใช้ประเด็น “การครอบครอง / ครอบครองแทน” ที่อาจไม่ได้อ้างโดยโจทก์ 4. ฎีกา 2055/2568 (คดีพรากเด็ก / คดีอนาจาร) เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพรากเด็กเพื่ออนาจารโดยละเมิด มาตรา 317 โจทก์อาจไม่ได้อ้างประเด็นเกี่ยวกับอำนาจปกครองเต็มหรือบางส่วน ศาลอุทธรณ์อาจวินิจฉัยเรื่องอำนาจปกครองหรือการอยู่ในความดูแลที่ไม่อยู่ในคำฟ้อง ศาลฎีกาในหลายคดีมีแนววางหลักว่า ถ้าศาลตัดสินในประเด็นที่โจทก์ไม่ได้อ้างเป็นการละเมิดมาตรา 142 ได้ — เปรียบเทียบ: หลัก “นอกฟ้อง” ในคดีอาญา-อนาจาร 5. ฎีกา (คดีละเมิด / ไฟไหม้ / ความรับผิด) ใกล้เคียง (ตัวอย่างทั่วไป) คดีละเมิดที่โจทก์ฟ้องว่าเกิดจากความประมาททั่วไป แต่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยว่าสาเหตุมาจากภัยอันตราย (เช่น การระเบิด, น้ำรั่ว, ไฟฟ้าลัดวงจร) ซึ่งโจทก์ไม่ได้อ้างไว้ คำพิพากษาศาลฎีกาหลายคดีมุ่งยืนยันว่า ศาลไม่อาจเพิ่มประเด็นโดยพลการ ยกเว้นศาลได้รับอนุญาตตามบทบัญญัติกฎหมาย 🟩 1. ความรับผิดในทางละเมิด ความรับผิดในทางละเมิด – ศึกษาหลัก ป.พ.พ. มาตรา 420 จากฎีกาเพลิงไหม้รถยนต์ หลักความรับผิดทางละเมิดตาม ป.พ.พ. ม.420 เน้นการกระทำโดยประมาทหรือจงใจที่ก่อให้ผู้อื่นเสียหาย ยกตัวอย่างฎีกาเพลิงไหม้รถยนต์ 2008/2567 ศาลวินิจฉัยว่าคำฟ้องต้องชัด บทความ ความรับผิดในทางละเมิดเป็นหลักสำคัญในกฎหมายแพ่งที่มุ่งคุ้มครองสิทธิของบุคคลเมื่อได้รับความเสียหายจากการกระทำของผู้อื่น มาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติว่า “ผู้ใดจงใจหรือโดยประมาทเลินเล่อทำให้ผู้อื่นเสียหาย ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย” หลักนี้กำหนดภาระหน้าที่ให้ผู้กระทำต้องชดใช้เมื่อมีองค์ประกอบครบทั้งสี่คือ 1) การกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2) ความเสียหาย 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผลเสียหาย และ 4) เจตนา หรือประมาทเลินเล่อ ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2008/2567 คดีเพลิงไหม้รถยนต์ในลานจอดอาคารชุด โจทก์ฟ้องจำเลยฐานละเมิดโดยอ้างความประมาทในการดูแลระบบดับเพลิง ศาลฎีกาชี้ว่าคำฟ้องดังกล่าวระบุชัดว่ามีเพียง “ความประมาทเลินเล่อ” ไม่ได้อ้างถึง “ไฟฟ้าลัดวงจร” ดังนั้นศาลอุทธรณ์ไม่อาจเปลี่ยนเหตุแห่งละเมิดไปเป็นเรื่อง “ทรัพย์อันตราย” ได้ เพราะจะถือว่าเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ขัดต่อหลักพิจารณาในทางแพ่ง แนวคำพิพากษานี้ตอกย้ำว่า การฟ้องคดีละเมิดต้องระบุข้อเท็จจริงชัดเจน เพื่อให้ศาลและคู่ความทราบขอบเขตแห่งข้อหาอย่างถูกต้อง มิฉะนั้นแม้ผู้ถูกฟ้องอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุเสียหาย แต่หากประเด็นไม่อยู่ในคำฟ้อง ศาลก็ไม่อาจนำมาพิจารณาได้ 🟩 2. ข้อสันนิษฐานในทางแพ่ง ข้อสันนิษฐานในทางแพ่ง – หลัก ม.84/1 ศาลใช้ได้เมื่อโจทก์อ้างในคำฟ้องเท่านั้น แนวฎีกา 2008/2567 ย้ำว่า ศาลจะอาศัยข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. ม.84/1 ได้ก็ต่อเมื่อโจทก์ยกขึ้นอ้างในคำฟ้อง มิฉะนั้นถือเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น บทความ ข้อสันนิษฐานในทางแพ่ง (Presumption in Civil Procedure) ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 เป็นกลไกช่วยให้ศาลสามารถ “คาดหมาย” ความจริงได้จากข้อเท็จจริงบางประการที่พิสูจน์ได้ เช่น หากเอกสารหรือเหตุแวดล้อมบ่งบอกชัด ศาลอาจสันนิษฐานได้ว่าอีกข้อเท็จจริงหนึ่งย่อมเป็นจริงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ศาลจะอาศัยข้อสันนิษฐานนี้ได้ เฉพาะเมื่อคู่ความได้อ้างไว้ในคำฟ้องหรือคำให้การ เพื่อให้คู่ความอีกฝ่ายมีโอกาสโต้แย้ง หากศาลนำมาใช้โดยไม่มีการอ้าง ถือว่าเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2008/2567 ชี้ชัดว่า ศาลอุทธรณ์นำข้อสันนิษฐานตาม มาตรา 84/1 มาใช้โดยที่โจทก์ไม่ได้อ้างไว้ในคำฟ้อง ถือว่าขัดต่อหลักกระบวนพิจารณา เพราะทำให้จำเลยเสียสิทธิในการโต้แย้งและเตรียมการต่อสู้คดี แนวคำพิพากษานี้จึงเป็นหลักสำคัญสำหรับผู้ดำเนินคดีแพ่ง ต้องระบุข้อสันนิษฐานหรือฐานกฎหมายให้ชัดตั้งแต่ต้น เพราะศาลจะไม่สามารถใช้ดุลพินิจเกินคำฟ้องได้ แม้ข้อเท็จจริงจะมีน้ำหนักสนับสนุนก็ตาม 🟩 3. ห้ามศาลพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น ห้ามศาลพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น – หลักกระบวนพิจารณาตาม ป.วิ.พ. ม.142 ฎีกา 2008/2567 ยืนยันหลักห้ามศาลวินิจฉัยเกินขอบเขตคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. ม.142 เพื่อคุ้มครองสิทธิคู่ความและความยุติธรรมในกระบวนพิจารณา บทความ หลัก “ห้ามศาลพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น” เป็นรากฐานสำคัญของความยุติธรรมในกระบวนพิจารณาคดีแพ่ง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ที่บัญญัติว่า ศาลไม่อาจพิพากษาเกินกว่าหรือนอกเหนือจากข้อหาในคำฟ้อง เว้นแต่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น หลักนี้มุ่งให้ศาลพิจารณาเฉพาะเรื่องที่คู่ความนำเสนอ เพื่อให้แต่ละฝ่ายมีโอกาสโต้แย้งได้ครบถ้วน หากศาลเพิ่มประเด็นเองหรือเปลี่ยนข้อเท็จจริงสำคัญ ย่อมกระทบต่อสิทธิในการต่อสู้คดีของคู่ความ ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2008/2567 ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่าเหตุเพลิงไหม้เกิดจาก “กระแสไฟฟ้าลัดวงจร” ทั้งที่โจทก์ไม่ได้อ้างในคำฟ้อง แต่กล่าวเพียงว่าจำเลยประมาทในการดูแลดับเพลิง ศาลฎีกาจึงชี้ว่าศาลอุทธรณ์กระทำ “นอกฟ้อง–นอกประเด็น” อันเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย แนวคำพิพากษานี้สะท้อนหลักการสำคัญว่า การพิจารณาคดีต้องอยู่ภายใต้กรอบคำฟ้องที่คู่ความยื่นไว้เท่านั้น เพื่อปกป้องสิทธิของทุกฝ่ายและรักษาความเชื่อมั่นต่อกระบวนยุติธรรม 🟩 4. การคืนค่าขึ้นศาลส่วนเกิน การคืนค่าขึ้นศาลส่วนเกิน – แนวปฏิบัติจากฎีกา 2008/2567 ตาม ป.วิ.พ. ม.150 วรรคห้า แนวฎีกา 2008/2567 ศาลฎีกาคืนค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสองตาม ม.150 วรรคห้า เมื่อยื่นฎีกาแยกกันในคดีเดียวกัน เป็นการคุ้มครองสิทธิทางกระบวนพิจารณา บทความ “การคืนค่าขึ้นศาลส่วนเกิน” เป็นหลักสำคัญของความเป็นธรรมในกระบวนพิจารณาคดีแพ่งตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคห้า ที่กำหนดว่า หากจำเลยยื่นฎีกาแยกกันในคดีเดียวกันซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้ และค่าขึ้นศาลรวมกันเกินกว่าที่ต้องเสียจริง ศาลต้องคืนส่วนที่เกินให้แก่จำเลยตามส่วน ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2008/2567 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างยื่นฎีกาแยกกัน โดยคดีมีมูลความเดียวกันเกี่ยวกับความเสียหายจากเพลิงไหม้รถยนต์ ศาลฎีกาพบว่าค่าขึ้นศาลรวมกันเกินจริง จึงสั่งคืนให้จำเลยที่ 1 จำนวน 2,432 บาท และจำเลยที่ 2 จำนวน 1,778 บาท
แนวคำพิพากษานี้สะท้อนความรอบคอบของศาลฎีกาในการรักษาความเสมอภาคของคู่ความ เพราะค่าธรรมเนียมศาลไม่ใช่โทษหรือภาระเกินสมควร แต่เป็นค่าใช้จ่ายทางกระบวนพิจารณาที่ควรเป็นธรรม การคืนค่าขึ้นศาลจึงเป็นการปรับสมดุลของระบบยุติธรรม เพื่อไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียเปรียบโดยไม่จำเป็น |



.jpg)

.jpg)