ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




คดีเพลิงไหม้ ละเมิด & ข้อสันนิษฐาน 84/1,คดีเพลิงไหม้, ลานจอดรถ, ละเมิด, (ฎีกา 2008/2567)

คำพิพากษาศาลฎีกา 2008/2567, คดีเพลิงไหม้รถยนต์, ลานจอดรถใต้ดิน, ความประมาทเลินเล่อ, ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420, ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1, มาตรา 142, ข้อสันนิษฐาน, การนอกฟ้อง, การคืนค่าขึ้นศาล, ค่าฤชาธรรมเนียม, วิเคราะห์คดี, แนวปฏิบัติศาล

 ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกรณีเพลิงไหม้ที่เกิดในลานจอดรถใต้ดิน ซึ่งโจทก์อ้างว่ามีสาเหตุมาจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยไม่ได้จัดให้มีการดับเพลิงหรือป้องกันอันตรายอย่างเพียงพอ ส่งผลให้เกิดไฟลุกลามเสียหายแก่รถยนต์ที่โจทก์รับประกันไว้ แม้โจทก์จะฟ้องว่าเป็นการละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 เท่านั้น แต่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยว่าเหตุเพลิงไหม้เกิดจาก กระแสไฟฟ้าลัดวงจร (ทรัพย์อันตราย) และให้โจทก์ได้รับประโยชน์จาก ข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 ตลอดจนพิพากษาให้จำเลยมีความรับผิด จำเลยจึงฎีกาว่าเป็น “นอกฟ้อง / นอกประเด็น” และขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 142 ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์ทำได้หรือไม่ และที่สุดแล้วพิพากษาให้ ยกฟ้องโจทก์ พร้อมคืนค่าขึ้นศาลที่เกินให้แก่จำเลย

ข้อเท็จจริงสำคัญ

โจทก์ (ผู้รับประกันภัยรถยนต์) ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ชำระเงิน 177,843 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ของต้นเงิน 171,500 บาท ฯลฯ

จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลอาคารชุด มีหน้าที่ดูแลทรัพย์ส่วนกลาง / จำเลยที่ 2 เป็นบริษัทประกันอาคารชุด

วันที่ 15 มกราคม 2561 เวลาประมาณ 15.00 น. เกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในห้องพักของพนักงานรักษาความปลอดภัยภายในบริเวณลานจอดรถใต้ดิน ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลาง

เพลิงลุกลามไปเผารถยนต์ที่โจทก์รับประกัน เสียหายทั้งคัน

โจทก์ชำระค่าสินไหมทดแทนรถยนต์ 170,000 บาท + ค่าลากรถ 1,500 บาท = 171,500 บาท

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 1 & 2 ร่วมกันชำระ 171,500 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 จนถึงวันฟ้อง (13 กันยายน 2561) ต้องไม่เกิน 6,343 บาท

จำเลยทั้งสองฎีกาโดยได้รับอนุญาต

ศาลฎีการับสำนวนและตั้งข้อพิจารณาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยลักษณะเหตุผิดไปจากที่โจทก์บรรยาย (นอกประเด็น) และได้อาศัยข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 ซึ่งโจทก์ไม่ได้ฟ้อง และขัดต่อ มาตรา 142

แนวโต้แย้งในชั้นฎีกา

จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกินกว่าที่โจทก์บรรยาย (นอกฟ้อง / นอกประเด็น) โดยชี้เหตุเพลิงไหม้ว่ามาจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งโจทก์ไม่ได้อ้างไว้ในคำฟ้อง

จำเลยโต้แย้งว่าโจทก์ไม่อาจเรียกร้องให้ศาลพิพากษาโดยอาศัยข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 หากไม่ได้ฟ้องหรืออ้างไว้

จำเลยทั้งสองอ้างว่าคำพิพากษาอุทธรณ์ขัดต่อบทกฎหมาย มาตรา 142 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

ประเด็นที่ศาลฎีกาวินิจฉัย

1. การวินิจฉัยเหตุเพลิงไหม้ว่ามาจาก “กระแสไฟฟ้าลัดวงจร (ทรัพย์อันตราย)” ถือเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือไม่

2. การอาศัยข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 โดยที่โจทก์ไม่ได้อ้างไว้ในคำฟ้องชั้นต้น ถือว่าละเมิดหลัก มาตรา 142 หรือไม่

3. การคืนค่าขึ้นศาลที่เกินให้นั้น ให้ยึดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 150 วรรค 5

⚖️ ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

“ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกฟ้องและนอกประเด็น”

เพราะคำฟ้องของโจทก์กล่าวเพียงว่าไฟไหม้เกิดจาก ความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ซึ่งละเมิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420

แต่ศาลอุทธรณ์กลับเปลี่ยนสาเหตุของเพลิงไหม้ว่าเกิดจาก กระแสไฟฟ้าลัดวงจร (ทรัพย์อันตราย) และให้โจทก์ได้รับประโยชน์จาก ข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 ซึ่งไม่อยู่ในคำฟ้อง

ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการวินิจฉัย “นอกฟ้อง–นอกประเด็น” ขัดต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142

จึงพิพากษาให้ ยกฟ้องโจทก์ พร้อมคืนค่าขึ้นศาลส่วนเกินแก่จำเลยตาม มาตรา 150 วรรคห้า

📘 มาตรากฎหมายที่ใช้หลักในการวินิจฉัย

1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 – ความรับผิดในทางละเมิด

2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 – ข้อสันนิษฐานในทางแพ่ง

3. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 – ห้ามศาลพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น

4. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคห้า – การคืนค่าขึ้นศาลส่วนเกิน

🔑 5 Keywords หลักของคดี (พร้อมคำอธิบาย)

1. นอกฟ้อง 

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยยกเหตุเพลิงไหม้จาก “ไฟฟ้าลัดวงจร” ทั้งที่โจทก์ไม่เคยกล่าวไว้ในคำฟ้อง ถือเป็นการพิพากษานอกฟ้อง ซึ่งผิดหลักตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142

2. นอกประเด็น 

ศาลต้องตัดสินเฉพาะในประเด็นที่คู่ความยกขึ้น หากวินิจฉัยในประเด็นที่ไม่มีการอ้างหรือโต้แย้ง ถือว่าศาลขยายประเด็นเอง เป็นการละเมิดสิทธิของจำเลยในการต่อสู้คดี

3. ข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 

ข้อสันนิษฐานจะนำมาใช้ได้เฉพาะเมื่อโจทก์อ้างไว้ในคำฟ้อง หากศาลนำมาใช้เองโดยไม่มีการอ้าง ถือว่าเกินอำนาจ และอาจกระทบต่อความเป็นธรรมของคู่ความ

4. ละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 

ฐานความรับผิดของจำเลยตั้งอยู่บนความประมาทเลินเล่อ ไม่ใช่ความเสียหายจาก “ทรัพย์อันตราย” ดังนั้น การเปลี่ยนสาเหตุเป็นไฟฟ้าลัดวงจรจึงทำให้สภาพแห่งข้อหาต่างจากคำฟ้อง

5. คืนค่าขึ้นศาล (Refund of Court Fees)

ในชั้นฎีกา จำเลยทั้งสองยื่นฎีกาแยกกันในคดีเดียวกัน ทำให้ค่าขึ้นศาลรวมกันเกินที่กฎหมายกำหนด ศาลฎีกาจึงคืนส่วนที่เกินตาม ป.วิ.พ. มาตรา 150 วรรคห้า ถือเป็นแนวคำพิพากษาเชิงหลักเกณฑ์ด้านกระบวนพิจารณา

🧭 สรุปสาระสำคัญสั้น ๆ

คดีนี้ตอกย้ำหลักสำคัญในกระบวนพิจารณาความแพ่งว่า “ศาลต้องพิพากษาอยู่ในขอบเขตคำฟ้องและประเด็นที่คู่ความยกขึ้นเท่านั้น” การนำประเด็นใหม่หรือข้อสันนิษฐานที่โจทก์ไม่อ้างมาใช้ เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ขัดต่อหลักความเป็นธรรมในการพิจารณาคดี

ขยายความประเด็นทางกฎหมายสำคัญ

การ “นอกฟ้อง / นอกประเด็น” ตาม มาตรา 142

บทบัญญัติ ป.วิ.พ. มาตรา 142 กำหนดว่า ศาลต้องพิพากษาตามข้อหาและประเด็นที่โจทก์ได้อ้างในคำฟ้องเท่านั้น ห้ามไม่ให้พิพากษาเกินหรือนอกเหนือจากข้อหา

จุดประสงค์คือให้คู่ความมีโอกาสโต้แย้งฝ่ายตรงข้ามในประเด็นที่ถูกกล่าวถึง และป้องกันไม่ให้ศาลตัดสินเรื่องที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทันได้เตรียมรับมือ

ในคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยประเด็นที่โจทก์ไม่ได้นำอ้าง — จึงถือเป็นการละเมิดหลักมาตรา 142

ข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1

มาตรา 84/1 นำมาซึ่ง “ข้อสันนิษฐาน” ในกระบวนพิจารณาความแพ่ง ให้ประโยชน์แก่โจทก์ในบางกรณี

แต่โจทก์จะได้รับประโยชน์นั้นได้ก็ต่อเมื่อโจทก์ได้อ้างหรือยกขึ้นเป็นประเด็นในคำฟ้อง

หากศาลนำข้อสันนิษฐานมาใช้โดยที่โจทก์ไม่ได้อ้าง ถือว่าเป็นการฟ้องแทรก (surplus) ซึ่งศาลไม่มีอำนาจ

ความรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420

มาตรา 420 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่าผู้ใดจงใจหรือโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

ในทางปฏิบัติ ผู้เสียหาย (โจทก์)ต้องพิสูจน์ว่าเกิดความเสียหาย มีสาเหตุเชื่อมโยงจากการกระทำหรือการละเลยของจำเลย

ถ้าไม่มีการพิสูจน์ถึงลักษณะเฉพาะของสาเหตุ เช่น ไฟไหม้มาจากสาเหตุใด ศาลอาจไม่อาจลงโทษจำเลยได้

การคืนค่าขึ้นศาลตาม มาตรา 150 วรรค 5

เมื่อจำเลยยื่นฎีกาแยกกัน ทำให้เสียค่าขึ้นศาลรวมกันเกินกว่าที่ควร ศาลจะต้องคืนส่วนที่เกินให้แก่จำเลยตามสัดส่วน

ในคดีนี้ ศาลฎีกาพิพากษาให้คืนส่วนเกินแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 2,432 บาท และแก่จำเลยที่ 2 จำนวน 1,778 บาท

สรุปข้อคิดทางกฎหมาย

ศาลต้องดำเนินการในกรอบ ประเด็นที่โจทก์ได้อ้างในคำฟ้อง เท่านั้น (มาตรา 142)

การ “เปลี่ยนประเด็น” หรือ “เสริมประเด็นใหม่” โดยศาลอุทธรณ์ หรือศาลอื่นโดยพลการ ถือเป็นการละเมิดหลักพิจารณาคดีที่เป็นธรรม

ข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 ใช้ได้เฉพาะในกรณีที่โจทก์อ้างประเด็นนั้นไว้แล้ว

ในคดีละเมิด (ป.พ.พ. มาตรา 420) ผู้เรียกร้องต้องพิสูจน์สาเหตุที่แท้จริง และศาลไม่ควรตัดสินโดยพิจารณาจากข้อสมมุติที่โจทก์ไม่ได้นำขึ้น

การคืนค่าขึ้นศาลที่เกินตาม ป.วิ.พ. มาตรา 150 วรรค 5 เป็นหลักธรรมในการไม่ให้ฝ่ายจำเลยเป็นภาระเกินสมควร

คำถาม – คำตอบ ประเด็นสำคัญ (2 ประเด็น)

คำถาม 1:

ศาลอุทธรณ์สามารถวินิจฉัยว่าเหตุเพลิงไหม้เกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร (ทรัพย์อันตราย) ได้หรือไม่ แม้โจทก์ในคำฟ้องจะไม่อ้างประเด็นทรัพย์อันตราย?

คำตอบ:

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่ได้ — เพราะโจทก์ไม่ได้อ้างไว้ในคำฟ้อง การวินิจฉัยเหตุโดยอาศัยทรัพย์อันตรายจึงเป็น การนอกประเด็น ซึ่งขัดต่อ มาตรา 142 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจทำเช่นนั้น


คำถาม 2:

ถ้าโจทก์ไม่ได้อ้างให้ใช้ข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 ในคำฟ้อง ศาลอุทธรณ์หรืศาลใดสามารถให้โจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นได้หรือไม่?

คำตอบ:

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่ได้ — ข้อสันนิษฐานตาม มาตรา 84/1 ใช้ได้เฉพาะในกรณีที่โจทก์ได้อ้างประเด็นดังกล่าวไว้แล้วในคำฟ้องเท่านั้น ถ้าโจทก์ไม่ได้นำขึ้นเป็นประเด็น การนำข้อสันนิษฐานมาใช้ถือเป็นการเสริมประเด็นโดยพลการ ซึ่งศาลไม่มีอำนาจ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 (ฐานละเมิด) “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (ห้ามพิพากษานอกฟ้อง–นอกประเด็น) “คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่ชี้ขาดคดีต้องตัดสินตามข้อหาในคำฟ้องทุกข้อ แต่ห้ามมิให้พิพากษาหรือทำคำสั่งให้สิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง เว้นแต่ (๑) ในคดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ ให้พึงเข้าใจว่าเป็นประเภทเดียวกับฟ้องขอให้ขับไล่จำเลย ถ้าศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี เมื่อศาลเห็นสมควรศาลจะมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลยก็ได้ คำสั่งเช่นว่านี้ให้ใช้บังคับตลอดถึงวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของจำเลยที่อยู่บนอสังหาริมทรัพย์นั้น ซึ่งไม่สามารถแสดงอำนาจพิเศษให้ศาลเห็นได้ (๒) … (๓) … (๔) … (๕) ในคดีที่อาจยกข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นอ้างได้นั้น เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลจะยกข้อเหล่านั้นขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปก็ได้ (๖) …”  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคห้า (การคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกิน) “ตามที่บัญญัติไว้ในวรรคก่อน ในกรณีที่บุคคลซึ่งเป็นคู่ความร่วมในคดีที่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ต่างยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาแยกกัน โดยต่างได้เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาตามความในวรรคสอง หากค่าขึ้นศาลดังกล่าวเมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนสูงกว่าค่าขึ้นศาลที่คู่ความเหล่านั้นต้องชำระในกรณีที่ยื่นอุทธรณ์หรือฎีการ่วมกัน ให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา แล้วแต่กรณี มีคำสั่งคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่คู่ความเหล่านั้นตามส่วนของค่าขึ้นศาลที่คู่ความแต่ละคนได้ชำระไปในเวลาที่ศาลนั้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง”  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 “การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใดจะต้องกระทำโดยอาศัยพยานหลักฐานในสำนวนคดีนั้น เว้นแต่ (๑) ข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป (๒) ข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้ หรือ (๓) ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล”  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 “คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตน ให้คู่ความฝ่ายนั้นมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมาย หรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นซึ่งปรากฏจากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว”


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2008/2567

โจทก์บรรยายฟ้องว่า เกิดเหตุเพลิงไหม้บริเวณลานจอดรถชั้นใต้ดินอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการหรือจัดให้มีการดับเพลิงอย่างทันท่วงทีจนเป็นเหตุให้ไฟลุกลามไปไหม้รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยเสียหายทั้งคัน คำบรรยายฟ้องเช่นนี้จึงเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดและให้จำเลยที่ 1 รับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 หาได้บรรยายฟ้องหรือตั้งประเด็นว่า เหตุละเมิดเกิดจากกระแสไฟฟ้าซึ่งเป็นทรัพย์อันตรายลัดวงจร การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเหตุเกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร และโจทก์ได้รับประโยชน์จาก ข้อสันนิษฐาน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดจึงเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น อันเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 177,843 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 171,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ว่าจ้างบริษัทรักษาความปลอดภัย จ. ดูแลความปลอดภัยของอาคารชุด ขอให้เรียกบริษัทดังกล่าวเข้ามาเป็นจำเลยร่วมที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาต

จำเลยร่วมทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 171,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 13 กันยายน 2561) ต้องไม่เกิน 6,343 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ทั้งสองชั้นศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้ฎีกาโต้แย้งกันรับฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ จากนายวีระศักดิ์ มีระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2560 สิ้นสุดวันที่ 30 มกราคม 2561 โดยมีวงเงินคุ้มครองรถยนต์เสียหาย สูญหาย หรือเพลิงไหม้ 170,000 บาท ต่อครั้ง จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลอาคารชุด มีหน้าที่จัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด และเป็นผู้รับประกันภัยอาคารชุดของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2561 เวลาประมาณ 16 นาฬิกา นายเสริมศักดิ์ ขับรถยนต์ไปจอดที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน P1 ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลางของจำเลยที่ 1 ต่อมาวันที่ 15 มกราคม 2561 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา เกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในห้องพักของพนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยร่วมที่ 1 ที่อยู่ในบริเวณลานจอดรถดังกล่าว เป็นเหตุให้เพลิงลุกลามไหม้รถยนต์ได้รับความเสียหาย โจทก์ชำระค่าสินไหมทดแทนรถยนต์เป็นเงิน 170,000 บาท ให้แก่ผู้เอาประกันภัย และค่าลากรถไปอู่ซ่อมรถเป็นเงิน 1,500 บาท รวมเป็นเงิน 171,500 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์เฉพาะในส่วนของจำเลยทั้งสอง คดีในส่วนของจำเลยร่วมทั้งสองจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 กระทำละเมิด โดยวินิจฉัยถึงเหตุที่เกิดเพลิงไหม้ว่าเกิดเพราะกระแสไฟฟ้าลัดวงจร และโจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 เป็นคำพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นและขัดต่อพยานหลักฐานหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2561 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา เกิดเหตุเพลิงไหม้บริเวณลานจอดรถชั้นใต้ดิน P1 อันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการหรือจัดให้มีการดับเพลิงอย่างทันท่วงทีจนเป็นเหตุให้ไฟลุกลามไปไหม้รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยเสียหายทั้งคัน คำบรรยายฟ้องเช่นนี้จึงเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดและให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 หาได้บรรยายฟ้องหรือตั้งประเด็นว่า เหตุละเมิดเกิดจากกระแสไฟฟ้าซึ่งเป็นทรัพย์อันตรายลัดวงจร การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเหตุเกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร และโจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐาน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดจึงเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น อันเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น

อนึ่ง ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงิน 177,843 บาท ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเป็นเงิน 3,556 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างยื่นฎีกาแยกกันโดยต่างเสียค่าขึ้นศาล ซึ่งค่าขึ้นศาลดังกล่าวเมื่อรวมแล้วมีจำนวนสูงกว่าที่จำเลยทั้งสองต้องชำระกรณีที่ยื่นฎีการวมกัน เมื่อกรณีแห่งคดีมีลักษณะเป็นคดีที่มีมูลความแห่งคดีอันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมานั้นให้แก่จำเลยทั้งสองตามส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคห้า

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งสองเสียด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองทั้งสามศาลให้เป็นพับ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินมาแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 2,432 บาท และคืนแก่จำเลยที่ 2 จำนวน 1,778 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ตัวอย่างฎีกาที่เกี่ยวข้องเพื่อเปรียบเทียบ 

1. ฎีกา 5783/2567 (คดีซื้อขายที่ดิน & คืนเงิน)

สภาพคดีเป็นการซื้อขายที่ดิน โดยโจทก์ฟ้องว่า ผู้ขายต้องคืนเงินกรณีที่สัญญาไม่เป็นไปตามเงื่อนไข ศาลชั้นอุทธรณ์ใช้หลักอายุความโดยอาศัย มาตรา 193 / 30 ประมวลกฎหมายแพ่งฯ และให้คืนเงินแก่โจทก์ แต่เยียวยามีข้อจำกัด ซึ่งฝ่ายจำเลยฎีกาว่า ศาลใช้หลักเกินที่โจทก์ฟ้อง (นอกฟ้อง) หรือไม่ และการตีความอายุความถูกต้องหรือไม่ ศาลฎีกาต้องพิจารณาว่าเงื่อนไขในการเรียกคืนเงินเป็นสิทธิเฉพาะตัวหรือไม่ และอายุความใดที่ใช้ได้ ผลสุดท้าย ศาลฎีกายืนตามแนวอุทธรณ์ว่าการเรียกคืนเป็นสิทธิเฉพาะตัว และอายุความที่ใช้คือ 10 ปีตาม มาตรา 193/30

— จุดเปรียบเทียบ: การใช้ประเด็น “คืนเงิน” ที่อาจไม่ได้อ้างในคำฟ้อง, การตีความอายุความ

2. ฎีกา 1218/2567 (คดีอนาจารเด็ก)

เป็นคดีที่เกี่ยวกับความผิดตาม ป.อ. มาตรา 317 (พรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร) จำเลยโต้ว่าไม่มีอำนาจปกครอง หรือเด็กอยู่ในความดูแลของผู้ใด ศาลชั้นอุทธรณ์วินิจฉัยหลักฐานหลักฐานใหม่ที่ไม่ปรากฏในคำฟ้อง และให้ใช้ข้อสันนิษฐานบางประการในประมวลกฎหมายอาญา/วิธีพิจารณา ศาลฎีกาต้องพิจารณาว่าการนำหลักฐานใหม่หรือประเด็นที่โจทก์ไม่อ้างมาใช้เป็นการนอกประเด็นหรือไม่ และมาตรา 317 วรรคใดบังคับใช้ กรณีใดให้โทษหนักสุด ในที่สุดศาลฎีกาพิพากษายืนตามอุทธรณ์บางส่วนและแก้บางประการ จุดเปรียบเทียบคือแนวปฏิบัติในการตั้งประเด็นโจทก์ / การใช้ข้อสันนิษฐาน

3. ฎีกา 3230/2568 (คดีเช่าซื้อรถยนต์)

โจทก์เช่าซื้อรถยนต์และมอบรถให้บุคคลอื่นนำไปจำนำโดยไม่แจ้งให้ทราบ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็น “การครอบครอง” ซึ่งโจทก์ไม่ได้อ้างไว้ในคำฟ้อง และให้ใช้หลักของสิทธิในการครอบครอง การดำเนินคดีจึงอาจเป็นนอกประเด็น ศาลฎีกาตรวจสอบว่าศาลอุทธรณ์ทำได้หรือไม่ ตามหลัก มาตรา 142 ผลคำพิพากษาศาลฎีกาเน้นว่า ศาลต้องจำกัดขอบเขตประเด็นตามที่โจทก์ฟ้องเท่านั้น

— เปรียบเทียบ: การใช้ประเด็น “การครอบครอง / ครอบครองแทน” ที่อาจไม่ได้อ้างโดยโจทก์

4. ฎีกา 2055/2568 (คดีพรากเด็ก / คดีอนาจาร)

เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพรากเด็กเพื่ออนาจารโดยละเมิด มาตรา 317 โจทก์อาจไม่ได้อ้างประเด็นเกี่ยวกับอำนาจปกครองเต็มหรือบางส่วน ศาลอุทธรณ์อาจวินิจฉัยเรื่องอำนาจปกครองหรือการอยู่ในความดูแลที่ไม่อยู่ในคำฟ้อง ศาลฎีกาในหลายคดีมีแนววางหลักว่า ถ้าศาลตัดสินในประเด็นที่โจทก์ไม่ได้อ้างเป็นการละเมิดมาตรา 142 ได้

— เปรียบเทียบ: หลัก “นอกฟ้อง” ในคดีอาญา-อนาจาร

5. ฎีกา (คดีละเมิด / ไฟไหม้ / ความรับผิด) ใกล้เคียง

(ตัวอย่างทั่วไป) คดีละเมิดที่โจทก์ฟ้องว่าเกิดจากความประมาททั่วไป แต่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยว่าสาเหตุมาจากภัยอันตราย (เช่น การระเบิด, น้ำรั่ว, ไฟฟ้าลัดวงจร) ซึ่งโจทก์ไม่ได้อ้างไว้ คำพิพากษาศาลฎีกาหลายคดีมุ่งยืนยันว่า ศาลไม่อาจเพิ่มประเด็นโดยพลการ ยกเว้นศาลได้รับอนุญาตตามบทบัญญัติกฎหมาย

🟩 1. ความรับผิดในทางละเมิด

ความรับผิดในทางละเมิด – ศึกษาหลัก ป.พ.พ. มาตรา 420 จากฎีกาเพลิงไหม้รถยนต์

หลักความรับผิดทางละเมิดตาม ป.พ.พ. ม.420 เน้นการกระทำโดยประมาทหรือจงใจที่ก่อให้ผู้อื่นเสียหาย ยกตัวอย่างฎีกาเพลิงไหม้รถยนต์ 2008/2567 ศาลวินิจฉัยว่าคำฟ้องต้องชัด

บทความ 

ความรับผิดในทางละเมิดเป็นหลักสำคัญในกฎหมายแพ่งที่มุ่งคุ้มครองสิทธิของบุคคลเมื่อได้รับความเสียหายจากการกระทำของผู้อื่น มาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติว่า “ผู้ใดจงใจหรือโดยประมาทเลินเล่อทำให้ผู้อื่นเสียหาย ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย”

หลักนี้กำหนดภาระหน้าที่ให้ผู้กระทำต้องชดใช้เมื่อมีองค์ประกอบครบทั้งสี่คือ 1) การกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2) ความเสียหาย 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผลเสียหาย และ 4) เจตนา หรือประมาทเลินเล่อ

ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2008/2567 คดีเพลิงไหม้รถยนต์ในลานจอดอาคารชุด โจทก์ฟ้องจำเลยฐานละเมิดโดยอ้างความประมาทในการดูแลระบบดับเพลิง ศาลฎีกาชี้ว่าคำฟ้องดังกล่าวระบุชัดว่ามีเพียง “ความประมาทเลินเล่อ” ไม่ได้อ้างถึง “ไฟฟ้าลัดวงจร” ดังนั้นศาลอุทธรณ์ไม่อาจเปลี่ยนเหตุแห่งละเมิดไปเป็นเรื่อง “ทรัพย์อันตราย” ได้ เพราะจะถือว่าเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ขัดต่อหลักพิจารณาในทางแพ่ง

แนวคำพิพากษานี้ตอกย้ำว่า การฟ้องคดีละเมิดต้องระบุข้อเท็จจริงชัดเจน เพื่อให้ศาลและคู่ความทราบขอบเขตแห่งข้อหาอย่างถูกต้อง มิฉะนั้นแม้ผู้ถูกฟ้องอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุเสียหาย แต่หากประเด็นไม่อยู่ในคำฟ้อง ศาลก็ไม่อาจนำมาพิจารณาได้

🟩 2. ข้อสันนิษฐานในทางแพ่ง

ข้อสันนิษฐานในทางแพ่ง – หลัก ม.84/1 ศาลใช้ได้เมื่อโจทก์อ้างในคำฟ้องเท่านั้น

แนวฎีกา 2008/2567 ย้ำว่า ศาลจะอาศัยข้อสันนิษฐานตาม ป.วิ.พ. ม.84/1 ได้ก็ต่อเมื่อโจทก์ยกขึ้นอ้างในคำฟ้อง มิฉะนั้นถือเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น

บทความ 

ข้อสันนิษฐานในทางแพ่ง (Presumption in Civil Procedure) ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 เป็นกลไกช่วยให้ศาลสามารถ “คาดหมาย” ความจริงได้จากข้อเท็จจริงบางประการที่พิสูจน์ได้ เช่น หากเอกสารหรือเหตุแวดล้อมบ่งบอกชัด ศาลอาจสันนิษฐานได้ว่าอีกข้อเท็จจริงหนึ่งย่อมเป็นจริงเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ศาลจะอาศัยข้อสันนิษฐานนี้ได้ เฉพาะเมื่อคู่ความได้อ้างไว้ในคำฟ้องหรือคำให้การ เพื่อให้คู่ความอีกฝ่ายมีโอกาสโต้แย้ง หากศาลนำมาใช้โดยไม่มีการอ้าง ถือว่าเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2008/2567 ชี้ชัดว่า ศาลอุทธรณ์นำข้อสันนิษฐานตาม มาตรา 84/1 มาใช้โดยที่โจทก์ไม่ได้อ้างไว้ในคำฟ้อง ถือว่าขัดต่อหลักกระบวนพิจารณา เพราะทำให้จำเลยเสียสิทธิในการโต้แย้งและเตรียมการต่อสู้คดี

แนวคำพิพากษานี้จึงเป็นหลักสำคัญสำหรับผู้ดำเนินคดีแพ่ง ต้องระบุข้อสันนิษฐานหรือฐานกฎหมายให้ชัดตั้งแต่ต้น เพราะศาลจะไม่สามารถใช้ดุลพินิจเกินคำฟ้องได้ แม้ข้อเท็จจริงจะมีน้ำหนักสนับสนุนก็ตาม

🟩 3. ห้ามศาลพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น

ห้ามศาลพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น – หลักกระบวนพิจารณาตาม ป.วิ.พ. ม.142

ฎีกา 2008/2567 ยืนยันหลักห้ามศาลวินิจฉัยเกินขอบเขตคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. ม.142 เพื่อคุ้มครองสิทธิคู่ความและความยุติธรรมในกระบวนพิจารณา

บทความ 

หลัก “ห้ามศาลพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น” เป็นรากฐานสำคัญของความยุติธรรมในกระบวนพิจารณาคดีแพ่ง ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ที่บัญญัติว่า ศาลไม่อาจพิพากษาเกินกว่าหรือนอกเหนือจากข้อหาในคำฟ้อง เว้นแต่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

หลักนี้มุ่งให้ศาลพิจารณาเฉพาะเรื่องที่คู่ความนำเสนอ เพื่อให้แต่ละฝ่ายมีโอกาสโต้แย้งได้ครบถ้วน หากศาลเพิ่มประเด็นเองหรือเปลี่ยนข้อเท็จจริงสำคัญ ย่อมกระทบต่อสิทธิในการต่อสู้คดีของคู่ความ

ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2008/2567 ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่าเหตุเพลิงไหม้เกิดจาก “กระแสไฟฟ้าลัดวงจร” ทั้งที่โจทก์ไม่ได้อ้างในคำฟ้อง แต่กล่าวเพียงว่าจำเลยประมาทในการดูแลดับเพลิง ศาลฎีกาจึงชี้ว่าศาลอุทธรณ์กระทำ “นอกฟ้อง–นอกประเด็น” อันเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

แนวคำพิพากษานี้สะท้อนหลักการสำคัญว่า การพิจารณาคดีต้องอยู่ภายใต้กรอบคำฟ้องที่คู่ความยื่นไว้เท่านั้น เพื่อปกป้องสิทธิของทุกฝ่ายและรักษาความเชื่อมั่นต่อกระบวนยุติธรรม

🟩 4. การคืนค่าขึ้นศาลส่วนเกิน

การคืนค่าขึ้นศาลส่วนเกิน – แนวปฏิบัติจากฎีกา 2008/2567 ตาม ป.วิ.พ. ม.150 วรรคห้า

แนวฎีกา 2008/2567 ศาลฎีกาคืนค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสองตาม ม.150 วรรคห้า เมื่อยื่นฎีกาแยกกันในคดีเดียวกัน เป็นการคุ้มครองสิทธิทางกระบวนพิจารณา

บทความ 

“การคืนค่าขึ้นศาลส่วนเกิน” เป็นหลักสำคัญของความเป็นธรรมในกระบวนพิจารณาคดีแพ่งตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคห้า ที่กำหนดว่า หากจำเลยยื่นฎีกาแยกกันในคดีเดียวกันซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้ และค่าขึ้นศาลรวมกันเกินกว่าที่ต้องเสียจริง ศาลต้องคืนส่วนที่เกินให้แก่จำเลยตามส่วน

ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2008/2567 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างยื่นฎีกาแยกกัน โดยคดีมีมูลความเดียวกันเกี่ยวกับความเสียหายจากเพลิงไหม้รถยนต์ ศาลฎีกาพบว่าค่าขึ้นศาลรวมกันเกินจริง จึงสั่งคืนให้จำเลยที่ 1 จำนวน 2,432 บาท และจำเลยที่ 2 จำนวน 1,778 บาท

 

แนวคำพิพากษานี้สะท้อนความรอบคอบของศาลฎีกาในการรักษาความเสมอภาคของคู่ความ เพราะค่าธรรมเนียมศาลไม่ใช่โทษหรือภาระเกินสมควร แต่เป็นค่าใช้จ่ายทางกระบวนพิจารณาที่ควรเป็นธรรม การคืนค่าขึ้นศาลจึงเป็นการปรับสมดุลของระบบยุติธรรม เพื่อไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียเปรียบโดยไม่จำเป็น




เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความแพ่ง

คดีหย่า & ฟ้องซ้อนตามกฎหมาย, การฟ้องหย่าซ้ำเหตุเดียวกัน
ขอบเขตอุทธรณ์เมื่อจำเลยขาดยื่นคำให้การ และอัตราดอกเบี้ยผิดนัดใหม่ (ฎีกา 5222/2567)
(ฎีกา 181/2568) สิทธิรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น
(ฎีกา 1001/2568) แจ้งวันนัดผิดขั้นตอน & สิทธิอุทธรณ์
(ฎีกา 1932/2568) ยกเว้นค่าธรรมเนียมคดีผู้บริโภค & อุทธรณ์
การขัดกันของคำพิพากษาศาลฎีกาและอำนาจร้องในคดีแพ่ง(ฎีกาที่ 3196/2567)
(ฎีกาที่ 3670/2567) การขยายระยะเวลาอุทธรณ์เพื่อความเป็นธรรม และอำนาจทั่วไปของศาล
(ฎีกาที่ 3737/2567) ประเด็นค่าฤชาธรรมเนียมในคดีผู้บริโภคและเงื่อนไขการอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4011/2567 เรื่องการท้าพิสูจน์ลายมือชื่อในคดีสัญญากู้เงิน-(คำท้า)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4052/2567: คดีพิพาทที่ดินกับกรมทางหลวงและการรับฟังพยานหลักฐานโดยศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4208/2567: ข้อบกพร่องในการวินิจฉัยประเด็นฟ้องแย้งและอำนาจของศาลฎีกาในการยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4637/2567: กระบวนพิจารณาไม่ชอบเพราะไม่แจ้งวันนัดสืบพยานให้คู่ความที่ขาดนัดยื่นคำให้การ
การฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง: หลักเกณฑ์ ข้อยกเว้น และตัวอย่างจากคำพิพากษาศาลฎีกา
ฎีกาที่ 5059/2567: สิทธิจำเลยยกปัญหากระบวนพิจารณาผิดระเบียบในคดีผู้บริโภค แม้ชนะคดีชั้นต้น
ข้อพิพาทสัญญากู้ยืมเงิน การแก้ไขจำนวนเงินกู้ และข้อห้ามการนำสืบพยานบุคคลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94(ฎีกาที่ 6656/2567)
การเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดียาเสพติด: ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ในคำพิพากษาที่ 817/2568
โจทก์ร่วมไม่จำต้องจัดทำคำให้การใหม่เพื่อแก้คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลย
ข้อพิพาทการบังคับคดีที่ดินครอบครองปรปักษ์
การเข้ารับมรดกความกรณีคดีถึงที่สุดแล้วได้หรือไม่และเป็นการขัดต่อ ป.วิ.แพ่ง มาตรา 42 หรือไม่
ใครบ้างมีคุณสมบัติเป็นบุคคลที่จะเข้าแทนที่คู่ความผู้มรณะได้, ศาลฎีกาวินิจฉัยคู่ความผู้มรณะ
คำสั่งคดีมีมูลเป็นที่สุดห้ามอุทธรณ์, การเพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ, สิทธิในการขอพิจารณาใหม่
คดีก่อนคู่ความตกลงท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะคดี, ฟ้องซ้ำในคดีแพ่ง, สิทธิขับไล่จากที่ดินกรรมสิทธิ์รวม,
ฟ้องแย้งในคดีแพ่ง, การผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน, การเรียกเงินมัดจำคืนตามสัญญา
คดีบุกรุกที่ดิน น.ส.3 ข. & การสละประเด็นข้อพิพาท (ฎีกา 1201/2567)
สัญญาประนีประนอมยอมความตกลงยุติคดี-ฟ้องซ้ำ
พิพากษาที่เกินคำขอและขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 1548 อันเป็นการไม่ชอบ
ฟ้องแย้งของจำเลยแตกต่างกันกับคำฟ้องเดิม
ค่าสินไหมทดแทนที่จำนวนเงินไม่แน่นอนต้องนำสืบพยาน
ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
ข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์
ฟ้องปลูกสร้างผิดต่อข้อบัญญัติของกรุงเทพมหานคร
สิทธิแบ่งสินสมรส & อุทธรณ์เกินคำขอ(ฎีกา 7851/2560)
คดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์มีทุนทรัพย์
รับฟังพยานหลักฐานฝ่าฝืนกฎหมาย
ภาษีโรงเรือนและที่ดิน
หน้าที่ในการเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน
ขาดนัดยื่นคำให้การ-สิทธิถามค้าน การพิจารณาผิดระเบียบ
วันนัดชี้สองสถาน
ห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
คำร้องสอด
การส่งคำสั่งอายัดของเจ้าพนักงานบังคับคดี
สิทธิในฐานะผู้รับจำนอง -ขอรับชำระหนี้ได้ก่อนเจ้าหนี้อื่น
การบรรยายคำฟ้องที่มิได้ระบุวัน เวลาที่แน่ชัดว่าเป็นวันที่เท่าใด ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
ยื่นฟ้องคดีอันไม่มีข้อพิพาทแต่ได้มีบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องในคดี
ส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลยไม่ครบหน้าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
การยื่นอุทธรณ์คำสั่งภายในกำหนด 1 เดือน
ฟ้องขับไล่- แสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลา 8 วัน
เพิกถอนการขายทอดตลาดหากเป็นประวิงให้ชักช้าต้องรับผิดชดค่าสินไหมทดแทน
ผู้สวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้เป็นผู้มีส่วนได้เสีย เพิกถอนการขายทอดตลาด
ฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้น-ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์
ในคดีเดิมเป็นเพียงคู่ความตกลงยุติคดีไม่ดำเนินการต่อเท่านั้นไม่เป็นฟ้องซ้ำ
การยื่นและการส่งคำคู่ความในคดีฟอกเงิน
ให้คู่ความฝ่ายที่แพ้คดีต้องชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียม
ค่าขาดไร้อุปการะเป็นหนี้ที่แบ่งแยกเป็นส่วนแต่ละคน
เจ้าหนี้ผู้รับจำนองขอรับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดที่ดิน
การมีอยู่ขององค์กรสาธารณประโยชน์ที่ได้รับรองแล้ว
กระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษา-ฟ้องซ้ำ
ยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีเพื่อเป็นคู่ความฝ่ายที่สามในคดีอาญา
อายัดเงินปันผลของหุ้นได้แม้จะพ้นระยะเวลา 10 ปีแล้ว
เจ้าหนี้บุริมสิทธิ มิได้ร้องขอให้บังคับคดีภายในสิบปี
คำสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง นอกฟ้องนอกประเด็น
สิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนของผู้รับจำนอง
ฟ้องซ้ำ คดีถึงที่สุดห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก
โจทก์และจำเลยต่างมีสภาพเป็น"เจ้าหนี้" และ "ลูกหนี้" ตามคำพิพากษา
จำเลยไม่ใช่บุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลออกคำบังคับ
ไม่เกินห้าหมื่นบาทห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
การร้องขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดต้องอ้างว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของทรัพย์
เงื่อนเวลาเริ่มต้น-สิ้นสุดให้สันนิษฐานว่าเพื่อประโยชน์แก่ฝ่ายลูกหนี้
นำใบแต่งทนายความซึ่งปลอมลายมือชื่อไปทำสัญญายอม
อำนาจว่าความหรือดำเนินกระบวนพิจารณาของทนายความในศาล
ฟ้องเคลือบคลุม, สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข, วางประจำไว้หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ
ค่าเสียหายตามคำพิพากษาและค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทน
ผู้ร้องสอดต้องมีส่วนได้เสียกับคู่ความเดิมถือเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม
แก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยเป็นข้อยกเว้นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 180
ยื่นเอกสารฝ่าฝืนต่อกฎหมายไม่อาจรับฟังเป็นพยานได้(ยื่นชั้นอุทธรณ์ฎีกา)
จำเลยฟ้องแย้ง-โจทก์ทิ้งฟ้อง ไม่มีผลให้ฟ้องแย้งตกไป
อำนาจปกครองบุตร-มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลใด?
ดุลพินิจสั่งค่าฤชาธรรมเนียมคำนึงความสุจริตของคู่ความ
พินัยกรรมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่?ไม่มีประเด็นข้อพิพาท
มีเส้นทางอื่นออกไม่ตัดสิทธิขอคุ้มครองประโยชน์
คำขอให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา
คำร้องขอขยายระยะเวลาในการวางเงินค่าธรรมเนียมตามมาตรา 229
ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์แล้วคดีอยู่ในอำนาจศาลอุทธรณ์
คำสั่งรับหรือไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
ไม่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
การส่งหมายนัดไต่สวน-สำเนาคำร้องไม่ชอบ
คำสั่งให้โจทก์นำส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้อง
เพิกถอนการขายทอดตลาด
คำฟ้องโจทก์ไม่มีลายมือชื่อของผู้เรียงพิมพ์
คณะบุคคลไม่อาจเป็นคู่ความในคดีได้
มอบอำนาจให้ฟ้องคดีไว้ล่วงหน้าก่อนเกิดสิทธิฟ้อง
หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนระบุชื่อศาลผิด
หน้าที่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐาน
อำนาจฟ้องที่รัฐเป็นผู้เสียหาย
ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
วินิจฉัยนอกเหนือไปจากคำฟ้องและคำให้การ