ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ขอบเขตอุทธรณ์เมื่อจำเลยขาดยื่นคำให้การ และอัตราดอกเบี้ยผิดนัดใหม่ (ฎีกา 5222/2567)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5222/2567, อุทธรณ์เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ, ขอบเขตการยกข้อเท็จจริงใหม่ในอุทธรณ์, อำนาจศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. ม.240(2), ผลของ ป.วิ.พ. ม.199 วรรคสอง, การสืบพยานฝ่ายเดียว ม.198 ทวิ, ข้อห้ามตาม ม.225 วรรคหนึ่ง-สอง, ดอกเบี้ยผิดนัดอัตราใหม่ 5% ตั้งแต่ 11 เม.ย. 2564, ป.พ.พ. ม.7 และ ม.224 ใหม่, คืนเงินค่าตอบแทนผู้ใหญ่บ้านกำนัน, ประเด็นความสงบเรียบร้อยของประชาชน ม.142(5) 

   ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

   เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

  บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับขอบเขตการอุทธรณ์เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โดยศาลย้ำว่าอุทธรณ์ได้เพียงคัดค้านน้ำหนักพยานที่โจทก์นำสืบ ห้ามยกข้อเท็จจริงใหม่ที่ไม่ว่ากันมาในศาลชั้นต้น อีกทั้งวินิจฉัยอำนาจศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในการอนุญาตให้นำพยานเพิ่มเติมว่าขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 199 วรรคสอง และ 240(2) พร้อมปรับอัตราดอกเบี้ยผิดนัดเป็นร้อยละ 5 ต่อปีตั้งแต่ 11 เมษายน 2564 ตาม ป.พ.พ. ที่แก้ไขใหม่ อันเป็นปัญหาความสงบเรียบร้อยที่ศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองได้


สรุปข้อเท็จจริง

โจทก์ฟ้องให้จำเลยคืนเงินค่าตอบแทนตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน/กำนันรวม 866,227 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม รวมยอดพิพากษาศาลชั้นต้น 906,809.14 บาท

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นสืบพยานฝ่ายเดียวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 ทวิ วรรคสอง และพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 กลับคำพิพากษาเป็นยกฟ้อง โดยเปิดให้จำเลยอ้างพยาน/เอกสารเพิ่มเติมในชั้นอุทธรณ์

โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาอนุญาตให้ฎีกา


ประเด็นข้อกฎหมายสำคัญ

เมื่อจำเลย “ขาดนัดยื่นคำให้การ” จะอุทธรณ์ประเด็นใดได้บ้างภายใต้ ป.วิ.พ. มาตรา 198 ทวิ วรรคสอง?

ศาลอุทธรณ์มีอำนาจเปิดสืบพยานเพิ่มเติมในประเด็น “ข้อเท็จจริงใหม่” หรือไม่ ภายใต้ ป.วิ.พ. มาตรา 199 วรรคสอง และ 240(2)?

ข้อห้าม “ยกข้อเท็จจริงใหม่” ในอุทธรณ์ตาม มาตรา 225 วรรคหนึ่ง-สอง ใช้อย่างไรในคดีที่ศาลชั้นต้นสืบฝ่ายเดียว?

การปรับอัตราดอกเบี้ยผิดนัดเป็น 5% ตาม ป.พ.พ. ที่แก้ไขปี 2564 เป็น “ปัญหาความสงบเรียบร้อย” ที่ศาลฎีกายกขึ้นเองได้หรือไม่ (ป.วิ.พ. มาตรา 142(5))?


คำวินิจฉัยและเหตุผลของศาลฎีกา

จำกัดขอบเขตการอุทธรณ์ของจำเลยที่ขาดคำให้การ: อุทธรณ์ได้เฉพาะการ “คัดค้านความน่าเชื่อถือ/น้ำหนัก” ของพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบในชั้นต้นเท่านั้น ห้ามยกข้อเท็จจริงใหม่ที่ไม่อยู่ในสำนวนหรือไม่ว่ากันมาโดยชอบในศาลชั้นต้น (อ้างอิง ป.วิ.พ. มาตรา 198 ทวิ วรรคสอง, 225)

อำนาจศาลอุทธรณ์ตาม มาตรา 240(2): ใช้ได้เฉพาะเมื่อมีการอุทธรณ์ “ปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น” เท่านั้น แต่คดีนี้จำเลยยกประเด็นใหม่ ศาลอุทธรณ์จึงไม่อาจเปิดสืบพยานใหม่ให้จำเลยได้ และการเปิดทางดังกล่าวขัดต่อ มาตรา 199 วรรคสอง และกรอบ มาตรา 240(2)

ผล: เพิกถอนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 กลับไปยืนตามศาลชั้นต้น ให้จำเลยคืนเงินค่าตอบแทน 866,227 บาท

ดอกเบี้ยผิดนัด: เนื่องจากมีพระราชกำหนดแก้ไข ป.พ.พ. ปี 2564 ยกเลิก ม.7, 224 เดิม และใช้ข้อความใหม่ ทำให้อัตราดอกเบี้ยผิดนัดเป็น 5% ต่อปีตั้งแต่ 11 เม.ย. 2564 บวกอัตราเพิ่ม 2% ตามพระราชกฤษฎีกา (แต่ไม่เกิน 7.5%) ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้เพราะเป็นปัญหาความสงบเรียบร้อยของประชาชน (ป.วิ.พ. มาตรา 142(5))

คำพิพากษา: ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 แก้เฉพาะดอกเบี้ยให้ 5% ตั้งแต่ 11 เม.ย. 2564 ส่วนอื่นเป็นไปตามศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมอุทธรณ์-ฎีกาเป็นพับ


ขยายความกฎหมายและแนวปฏิบัติ

ป.วิ.พ. มาตรา 198 ทวิ วรรคสอง: เมื่อฝ่ายจำเลย “ขาดนัดยื่นคำให้การ” ศาลชั้นต้นอาจสืบพยานฝ่ายโจทก์ฝ่ายเดียวได้ เพื่อประโยชน์แห่งการพิพากษา ส่งผลให้ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยถูกจำกัดสิทธิให้โต้แย้งได้เพียง “ความน่าเชื่อถือ/น้ำหนัก” ของพยานโจทก์ ไม่ใช่เปิดประเด็นข้อเท็จจริงใหม่

มาตรา 225 วรรคหนึ่ง-สอง: ห้ามยกข้อเท็จจริงใหม่ที่มิได้ว่ากันมาโดยชอบในศาลชั้นต้น ยกเว้น “ปัญหาข้อกฎหมายล้วน” บางกรณี แต่หากต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงนำไปสู่ข้อกฎหมาย ถือเป็นข้อเท็จจริงใหม่ ต้องห้ามในอุทธรณ์

มาตรา 240(2) ร่วมกับ มาตรา 199 วรรคสอง: อำนาจสั่งสืบพยานเพิ่มเติมในอุทธรณ์มีได้เฉพาะ “ในปัญหาที่อุทธรณ์” และต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นต้น การเปิดทางให้จำเลยที่ขาดคำให้การนำพยานใหม่ จึงเท่ากับให้สิทธิที่จำเลยไม่มี

ดอกเบี้ยผิดนัดอัตราใหม่: หลัง 11 เม.ย. 2564 ให้ใช้อัตรา 5% ต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 ใหม่ และสามารถปรับขึ้นลงตามพระราชกฤษฎีกาบวก 2% แต่เพดานไม่เกิน 7.5% ศาลฎีกายกขึ้นเองได้เพราะเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย (ป.วิ.พ. 142(5))


IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion)

Issue

1. จำเลยซึ่งขาดนัดยื่นคำให้การ อุทธรณ์ยกข้อเท็จจริงใหม่ได้หรือไม่

2. ศาลอุทธรณ์มีอำนาจให้จำเลยนำพยาน/เอกสารเพิ่มเติมในประเด็นใหม่หรือไม่

3. อัตราดอกเบี้ยผิดนัดควรใช้อัตราใดหลัง 11 เม.ย. 2564

Rule

ป.วิ.พ. ม.198 ทวิ วรรคสอง: ศาลชั้นต้นสืบพยานฝ่ายเดียวได้เมื่อจำเลยขาดคำให้การ

ป.วิ.พ. ม.225 วรรคหนึ่ง-สอง: อุทธรณ์ห้ามยกข้อเท็จจริงใหม่ที่ไม่ว่ากันมาโดยชอบในชั้นต้น ยกเว้นปัญหาข้อกฎหมายล้วน

ป.วิ.พ. ม.240(2) ประกอบ ม.199 วรรคสอง: ศาลอุทธรณ์สั่งสืบพยานเพิ่มเติมได้เฉพาะในประเด็นที่อุทธรณ์และเป็นข้อเท็จจริงที่ว่ากันมาแล้ว

ป.พ.พ. ม.224 (แก้ไข 2564) และ ม.7 ใหม่: ดอกเบี้ยผิดนัด 5% ต่อปีตั้งแต่ 11 เม.ย. 2564 ปรับได้ตามพระราชกฤษฎีกา บวก 2% แต่ไม่เกิน 7.5%

ป.วิ.พ. ม.142(5): ศาลฎีกายกปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยเองได้

Application

จำเลยอุทธรณ์โดยอ้างเอกสาร/พยานใหม่เพื่อพิสูจน์สัญชาติย้อนหลัง ซึ่งเป็น “ข้อเท็จจริงใหม่” ที่ไม่ว่ากันมาในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามตาม ม.225

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ที่เปิดให้สืบพยานเพิ่มเติมเพื่อรองรับประเด็นใหม่ ขัดต่อกรอบ ม.240(2) และ ม.199 วรรคสอง เท่ากับให้สิทธิจำเลยเกินกว่าที่กฎหมายให้ในสถานะ “ขาดคำให้การ”

ดอกเบี้ยผิดนัดต้องปรับเป็น 5% ต่อปี ตั้งแต่ 11 เม.ย. 2564 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นเองได้

Conclusion

เพิกถอนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 กลับไปยืนตามศาลชั้นต้น ให้จำเลยคืนเงินค่าตอบแทน 866,227 บาท

แก้ดอกเบี้ยเป็น 5% ต่อปี ตั้งแต่ 11 เม.ย. 2564 จนกว่าจะชำระเสร็จ อัตราปรับขึ้นลงได้ตามกฎกระทรวง/พระราชกฤษฎีกา แต่ไม่เกิน 7.5%

ค่าฤชาธรรมเนียมอุทธรณ์และฎีกาเป็นพับ


สรุปข้อคิดทางกฎหมาย (Key Takeaways)

ขาดนัดยื่นคำให้การ ทำให้กรอบอุทธรณ์แคบลงมาก: โต้แย้งได้แค่ “น้ำหนักพยานโจทก์” ห้ามยกข้อเท็จจริงใหม่

ศาลอุทธรณ์ใช้อำนาจสืบพยานเพิ่มเติมได้จำกัด ต้องอยู่ใน “ประเด็นที่อุทธรณ์” และเป็นเรื่องที่ว่ากันมาแล้วในชั้นต้น

การบริหารคดี: ฝ่ายจำเลยต้องยื่นคำให้การและวางกลยุทธ์พยานตั้งแต่ชั้นต้น มิฉะนั้นจะเสียสิทธิในชั้นบน

ดอกเบี้ยผิดนัดใหม่ 5% มีผลถาวรตั้งแต่ 11 เม.ย. 2564 และศาลสามารถยกขึ้นเองได้ในฐานะปัญหาความสงบเรียบร้อย

หน่วยงานรัฐสามารถเรียกคืนค่าตอบแทนที่เกิดจากการดำรงตำแหน่งโดยขาดคุณสมบัติ หากพิสูจน์ได้ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง


หัวใจของคดีอยู่ที่ “กระบวนวิธี” มากกว่าข้อพิพาทสาระ แม้จำเลยอ้างภายหลังว่าตนมีสัญชาติไทยโดยการเกิด แต่เมื่อขาดนัดยื่นคำให้การตั้งแต่ชั้นต้น กฎหมายจำกัดสิทธิอุทธรณ์ให้เพียงโต้แย้งความน่าเชื่อถือของหลักฐานที่โจทก์นำสืบ ศาลฎีกาจึงย้ำกรอบ ม.198 ทวิ วรรคสอง และมาตราข้อห้าม ม.225 วรรคหนึ่ง-สอง ไม่ให้คู่ความขยายประเด็นข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นอุทธรณ์ พร้อมตีกรอบอำนาจศาลอุทธรณ์ตาม ม.240(2) ไม่ให้เปิดสืบพยานเพื่อรองรับประเด็นใหม่ ข้อวินิจฉัยนี้ช่วยย้ำวินัยการพิจารณาคดีว่า “ประเด็นและพยานหลักฐานต้องจัดวางให้ครบถ้วนในศาลชั้นต้น” ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ยผิดนัด ศาลฎีกานำบทแก้ไข ป.พ.พ. ปี 2564 มาปรับใช้ ยืนยันอัตราใหม่ 5% ต่อปี ตั้งแต่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป ในฐานะปัญหาความสงบเรียบร้อยที่ศาลยกขึ้นเองได้ ผลสุดท้ายคือเพิกถอนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 และให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น โดยแก้เฉพาะอัตราดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกฎหมายใหม่


คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับขอบเขตการอุทธรณ์เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โดยศาลย้ำว่าอุทธรณ์ได้เพียงคัดค้านน้ำหนักพยานที่โจทก์นำสืบ ห้ามยกข้อเท็จจริงใหม่ที่ไม่ว่ากันมาในศาลชั้นต้น อีกทั้งวินิจฉัยอำนาจศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในการอนุญาตให้นำพยานเพิ่มเติมว่าขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 199 วรรคสอง และ 240(2) พร้อมปรับอัตราดอกเบี้ยผิดนัดเป็นร้อยละ 5 ต่อปีตั้งแต่ 11 เมษายน 2564 ตาม ป.พ.พ. ที่แก้ไขใหม่ อันเป็นปัญหาความสงบเรียบร้อยที่ศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5222/2567

ในคดีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและเพื่อประโยชน์ในการพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดี ศาลอาจสืบพยานเกี่ยวกับข้ออ้างของโจทก์หรือพยานหลักฐานอื่นไปฝ่ายเดียวตามที่เห็นว่าจำเป็นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 ทวิ วรรคสอง กรณีดังกล่าว จำเลยย่อมอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ แต่เฉพาะในพยานหลักฐานตามที่โจทก์นำสืบมาว่า ศาลไม่ควรเชื่อหรือรับฟังไม่ได้เท่านั้น จำเลยไม่อาจที่จะไปกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่โจทก์มิได้นำสืบหรือมิได้อยู่ในสำนวนความขึ้นมาอ้างอิงเพื่อหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์


ป.วิ.พ. มาตรา 240 (2) บัญญัติว่า ถ้าศาลอุทธรณ์ยังไม่เป็นที่พอใจในการพิจารณาฟ้องอุทธรณ์ คำแก้อุทธรณ์ และพยานหลักฐาน ที่ปรากฏในสำนวน ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 238 และเฉพาะในปัญหาที่อุทธรณ์ ให้ศาลมีอำนาจที่จะกำหนดประเด็นทำการสืบพยานที่สืบมาแล้ว หรือพยานที่เห็นสมควรสืบต่อไป และพิจารณาคดีโดยทั่ว ๆ ไป ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้สำหรับการพิจารณาในศาลชั้นต้นและให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการพิจารณาในศาลชั้นต้น มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม ตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวใช้บังคับเฉพาะกรณีที่ผู้อุทธรณ์ อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาแล้ว แต่คดีนี้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยว่าพยานบุคคลและพยานเอกสารที่โจทก์นำสืบมานั้นไม่มีน้ำหนักให้รับฟังด้วยเหตุผลตามที่พยานโจทก์เบิกความหรือข้อความในเอกสารมีข้อพิรุธไม่น่าเชื่อถือในข้อใด อย่างไร หรือศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยการพิจารณาแต่อย่างใด แต่กลับยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ในชั้นอุทธรณ์ โดยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงอื่นที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีนี้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคลหรือพยานเอกสาร ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาตให้จำเลยอ้างพยานเพิ่มเติมในชั้นอุทธรณ์และให้จำเลยนำพยานหลักฐานที่อ้างหรือนำมาแสดงเพิ่มเติมในชั้นอุทธรณ์ได้เข้าสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 โดยให้ศาลชั้นต้นสืบพยานปาก ห. ประกอบเอกสารท้ายอุทธรณ์ของจำเลยเท่ากับให้สิทธิจำเลยนำพยานเข้าสืบโดยจำเลยไม่มีสิทธินั้น จึงไม่ชอบ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 199 วรรคสอง และมาตรา 240 (2)

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 906,809.14 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 866,227 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ


ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 906,809.14 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 866,227 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 ตุลาคม 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา


ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า ขณะจำเลยสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 1 ตำบลเทอดไทย อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย จำเลยยังไม่ได้รับสัญชาติไทยได้นำรายการทะเบียนบ้านของนายจำเนียร เลขบัตรประจำตัวประชาชน 3 - 2204 - 0027 x - xx x บุตรของนางยุพิน และนายสมบัติ ซึ่งเป็นบุคคลอื่นมาใช้เป็นหลักฐานการสมัครและได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านดังกล่าว โดยได้รับเงินค่าตอบแทนจากโจทก์ในตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2555 ถึงวันที่ 18 กรกฎาคม 2555 เป็นเงิน 2,322 บาท ต่อมาวันที่ 19 กรกฎาคม 2555 จำเลยได้รับเลือกเป็นกำนันตำบลเทอดไท อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย อีกตำแหน่งหนึ่ง ได้รับค่าตอบแทนจากโจทก์ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2555 ถึงวันที่ 2 กันยายน 2562 เป็นเงิน 863,905 บาท รวมค่าตอบแทนที่ได้รับจากโจทก์เป็นเงิน 866,227 บาท ตามหนังสือสำคัญแสดงการเป็นผู้ใหญ่บ้านและหนังสือสำคัญแสดงการเป็นกำนัน เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 จำเลยถูกนายทะเบียนอำเภอแม่ฟ้าหลวง จำหน่ายชื่อและรายการทางทะเบียนราษฎรเพราะเชื่อได้ว่าการมีชื่อและลงรายการทางทะเบียนราษฎรการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนในชื่อและรายการของจำเลยดำเนินการไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ หรือโดยอำพรางหรือมีข้อความผิดไปจากความเป็นจริง ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ประกอบระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2535 เป็นเหตุให้จำเลยขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามของการที่จะได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านตามมาตรา 12 (1) แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตั้งแต่ต้น จำเลยต้องพ้นจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ตามมาตรา 14 (2) แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 ตามหนังสือที่ว่าการอำเภอแม่ฟ้าหลวง และนายอำเภอแม่ฟ้าหลวงได้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งจำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้านและมีคำสั่งให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2555 พร้อมให้คืนเงินค่าตอบแทนในตำแหน่งที่ได้รับระหว่างการดำรงตำแหน่งเป็นเงิน 866,227 บาท ตามคำสั่งอำเภอแม่ฟ้าหลวง เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 โจทก์มีหนังสือให้จำเลยคืนเงินค่าตอบแทนจำนวน 866,227 บาท ให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 6 มีนาคม 2563 จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว แต่เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระตามหนังสือกรมการปกครองและไปรษณีย์ตอบรับ


มีปัญหาที่สมควรวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เสียก่อนว่า อุทธรณ์ที่จำเลยยกขึ้นอ้างเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ในคดีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและเพื่อประโยชน์ในการพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดี ศาลอาจสืบพยานเกี่ยวกับข้ออ้างของโจทก์หรือพยานหลักฐานอื่นไปฝ่ายเดียวตามที่เห็นว่าจำเป็นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคสอง กรณีดัวกล่าว จำเลยย่อมอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ เฉพาะในพยานหลักฐานตามที่โจทก์นำสืบมาว่า ศาลไม่ควรเชื่อหรือรับฟังไม่ได้เท่านั้น จำเลยไม่อาจที่จะไปกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่โจทก์มิได้นำสืบหรือมิได้อยู่ในสำนวนความขึ้นมาอ้างอิงเพื่อหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยถูกนายทะเบียนอำเภอแม่ฟ้าหลวงจำหน่ายชื่อและรายการทางทะเบียนราษฎรเพราะเชื่อได้ว่าการมีชื่อและลงรายการทางทะเบียนราษฎร การจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนในชื่อและรายการของจำเลยดำเนินการไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ หรือโดยอำพราง หรือมีข้อความผิดไปจากความเป็นจริง ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ 2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ประกอบระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2535 เป็นเหตุให้จำเลยขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามของการที่จะได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน ตามมาตรา 12 (1) แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตั้งแต่ต้น แต่จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่า พยานบุคคลและพยานเอกสารที่โจทก์นำสืบมานั้นไม่มีน้ำหนักในการรับฟังด้วยเหตุผลตามที่พยานโจทก์เบิกความและข้อความในเอกสารมีข้อพิรุธไม่น่าเชื่อถือข้อใด อย่างไร อุทธรณ์ของจำเลยกลับกล่าวอ้างข้อเท็จจริงประกอบเอกสารท้ายอุทธรณ์ขึ้นมาใหม่ว่า แม้ขณะจำเลยลงสมัครและได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนัน จำเลยได้ยื่นเอกสารไม่ตรงกับความเป็นจริงต่อทางราชการ แต่ภายหลังจากศาลมีคำพิพากษาจำเลยดำเนินการยื่นคำร้องขอเพิ่มชื่อลงในทะเบียนบ้าน (ท.ร.14) เลขที่ 9 หมู่ที่ 1 ตำบลเทอดไท อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยจากการตรวจสอบเอกสารและสอบปากคำพยานบุคคล ปรากฏว่าจำเลยเกิดในราชอาณาจักรไทย จำเลยเป็นบุตรของบิดามารดาซึ่งเป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิด จำเลยจึงได้สัญชาติไทยโดยการเกิด ตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7 (1) จำเลยจึงมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามที่จะได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินค่าตอบแทนให้แก่โจทก์ จึงเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงอื่นในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาตให้จำเลยอ้างเอกสารท้ายอุทธรณ์เพิ่มเติมในชั้นอุทธรณ์และให้ศาลชั้นต้นหมายเรียกนายหิรัญกฤษฎิ์ ปลัดอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เป็นพยานสืบประกอบเอกสารท้ายอุทธรณ์ของจำเลย ซึ่งเป็นสำเนาบันทึกข้อความของที่ทำการปกครองแม่ฟ้าหลวงนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240 (2) บัญญัติว่า ถ้าศาลอุทธรณ์ยังไม่เป็นที่พอใจในการพิจารณาฟ้องอุทธรณ์ คำแก้อุทธรณ์ และพยานหลักฐาน ที่ปรากฏในสำนวน ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 238 และเฉพาะในปัญหาที่อุทธรณ์ ให้ศาลมีอำนาจที่จะกำหนดประเด็นทำการสืบพยานที่สืบมาแล้ว หรือพยานที่เห็นสมควรสืบต่อไป และพิจารณาคดีโดยทั่ว ๆ ไป ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้สำหรับการพิจารณาในศาลชั้นต้นและให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการพิจารณาในศาลชั้นต้น มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม ตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวใช้บังคับเฉพาะกรณีที่ผู้อุทธรณ์ อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาแล้ว แต่คดีนี้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยว่าพยานบุคคลและพยานเอกสารที่โจทก์นำสืบมานั้นไม่มีน้ำหนักให้รับฟังด้วยเหตุผลตามที่พยานโจทก์เบิกความหรือข้อความในเอกสารมีข้อพิรุธไม่น่าเชื่อถือในข้อใด อย่างไร หรือศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาแต่อย่างใด แต่กลับยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ในชั้นอุทธรณ์ โดยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงอื่นที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีนี้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคลหรือพยานเอกสาร ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาตให้จำเลยอ้างพยานเพิ่มเติมในชั้นอุทธรณ์และให้จำเลยนำพยานหลักฐานที่อ้างหรือนำมาแสดงเพิ่มเติมในชั้นอุทธรณ์ได้เข้าสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 โดยให้ศาลชั้นต้นสืบพยานปากนายหิรัญกฤษฎิ์ ปลัดอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ประกอบเอกสารท้ายอุทธรณ์ของจำเลยเท่ากับให้สิทธิจำเลยนำพยานเข้าสืบโดยจำเลยไม่มีสิทธินั้น จึงไม่ชอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสอง และมาตรา 240 (2) และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 นำคำเบิกความนายหิรัญกฤษฎิ์และพยานเอกสารท้ายอุทธรณ์ที่สืบเพิ่มเติมดังกล่าวมาวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นบุตรของบิดามารดาซึ่งเป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7 (1) และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 และตามพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 10 ให้มีผลใช้บังคับกับผู้ที่เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ จำเลยจึงได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2511 และเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 การที่จำเลยดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านและกำนันมาตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2555 และได้รับค่าตอบแทนจากโจทก์ตลอดมาจึงเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของจำเลย จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ที่ว่า พฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้คู่ความฝ่ายใดยกปัญหาใด ๆ ขึ้นกล่าวอ้างในศาลชั้นต้นได้นั้นมีได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าจำเลยเป็นบุตรของบิดามารดาซึ่งมีสัญชาติไทยโดยการเกิด จึงได้สัญชาติไทยโดยการเกิด จำเลยจึงมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามของการที่จะได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนันนั้น ปัญหานี้ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของคู่ความเสียก่อนว่าจำเลยเป็นบุตรของบิดามารดาที่มีสัญชาติไทยโดยการเกิดหรือไม่ แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ทั้งประเด็นว่าจำเลยต้องรับผิดคืนเงินค่าตอบแทนตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านและกำนันให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ก็เป็นเรื่องเฉพาะกรณีของคู่ความ มิใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจึงไม่อาจยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์โดยไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น เมื่อไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์อีก จึงไม่มีเหตุต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิจารณาพิพากษาใหม่ และเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่มีอำนาจอนุญาตให้จำเลยอ้างพยานเพิ่มเติมในชั้นอุทธรณ์ดังวินิจฉัยมาแล้วข้างต้น ทำให้คดีไม่มีพยานหลักฐานใหม่ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินค่าตอบแทนผู้ใหญ่บ้านและกำนันที่ได้รับแก่โจทก์มานั้น จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นเช่นกัน


อนึ่ง เนื่องจากมีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทนอันเป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 5 ต่อปี และอาจปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี โดยมีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จึงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันดังกล่าวจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)


พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 และแก้เป็นว่าสำหรับดอกเบี้ยให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ของต้นเงิน 866,227 บาท จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

 



เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความแพ่ง

คดีเพลิงไหม้ ละเมิด & ข้อสันนิษฐาน 84/1,คดีเพลิงไหม้, ลานจอดรถ, ละเมิด, (ฎีกา 2008/2567)
คดีหย่า & ฟ้องซ้อนตามกฎหมาย, การฟ้องหย่าซ้ำเหตุเดียวกัน
(ฎีกา 181/2568) สิทธิรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น
(ฎีกา 1001/2568) แจ้งวันนัดผิดขั้นตอน & สิทธิอุทธรณ์
(ฎีกา 1932/2568) ยกเว้นค่าธรรมเนียมคดีผู้บริโภค & อุทธรณ์
การขัดกันของคำพิพากษาศาลฎีกาและอำนาจร้องในคดีแพ่ง(ฎีกาที่ 3196/2567)
(ฎีกาที่ 3670/2567) การขยายระยะเวลาอุทธรณ์เพื่อความเป็นธรรม และอำนาจทั่วไปของศาล
(ฎีกาที่ 3737/2567) ประเด็นค่าฤชาธรรมเนียมในคดีผู้บริโภคและเงื่อนไขการอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4011/2567 เรื่องการท้าพิสูจน์ลายมือชื่อในคดีสัญญากู้เงิน-(คำท้า)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4052/2567: คดีพิพาทที่ดินกับกรมทางหลวงและการรับฟังพยานหลักฐานโดยศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4208/2567: ข้อบกพร่องในการวินิจฉัยประเด็นฟ้องแย้งและอำนาจของศาลฎีกาในการยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4637/2567: กระบวนพิจารณาไม่ชอบเพราะไม่แจ้งวันนัดสืบพยานให้คู่ความที่ขาดนัดยื่นคำให้การ
การฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง: หลักเกณฑ์ ข้อยกเว้น และตัวอย่างจากคำพิพากษาศาลฎีกา
ฎีกาที่ 5059/2567: สิทธิจำเลยยกปัญหากระบวนพิจารณาผิดระเบียบในคดีผู้บริโภค แม้ชนะคดีชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6656/2567 : ข้อพิพาทสัญญากู้ยืมเงิน การแก้ไขจำนวนเงินกู้ และข้อห้ามการนำสืบพยานบุคคลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94
การเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดียาเสพติด: ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ในคำพิพากษาที่ 817/2568
โจทก์ร่วมไม่จำต้องจัดทำคำให้การใหม่เพื่อแก้คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลย
ข้อพิพาทการบังคับคดีที่ดินครอบครองปรปักษ์
การเข้ารับมรดกความกรณีคดีถึงที่สุดแล้วได้หรือไม่และเป็นการขัดต่อ ป.วิ.แพ่ง มาตรา 42 หรือไม่
ใครบ้างมีคุณสมบัติเป็นบุคคลที่จะเข้าแทนที่คู่ความผู้มรณะได้, ศาลฎีกาวินิจฉัยคู่ความผู้มรณะ
คำสั่งคดีมีมูลเป็นที่สุดห้ามอุทธรณ์, การเพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ, สิทธิในการขอพิจารณาใหม่
คดีก่อนคู่ความตกลงท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะคดี, ฟ้องซ้ำในคดีแพ่ง, สิทธิขับไล่จากที่ดินกรรมสิทธิ์รวม,
ฟ้องแย้งในคดีแพ่ง, การผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน, การเรียกเงินมัดจำคืนตามสัญญา
การสละประเด็นข้อพิพาท, อำนาจศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (3), อัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายแพ่งใหม่
สัญญาประนีประนอมยอมความตกลงยุติคดี-ฟ้องซ้ำ
พิพากษาที่เกินคำขอและขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 1548 อันเป็นการไม่ชอบ
ฟ้องแย้งของจำเลยแตกต่างกันกับคำฟ้องเดิม
ค่าสินไหมทดแทนที่จำนวนเงินไม่แน่นอนต้องนำสืบพยาน
ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
ข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์
ฟ้องปลูกสร้างผิดต่อข้อบัญญัติของกรุงเทพมหานคร
ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขอ
คดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์มีทุนทรัพย์
รับฟังพยานหลักฐานฝ่าฝืนกฎหมาย
ภาษีโรงเรือนและที่ดิน
หน้าที่ในการเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน
ขาดนัดยื่นคำให้การ-สิทธิถามค้าน การพิจารณาผิดระเบียบ
วันนัดชี้สองสถาน
ห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
คำร้องสอด
การส่งคำสั่งอายัดของเจ้าพนักงานบังคับคดี
สิทธิในฐานะผู้รับจำนอง -ขอรับชำระหนี้ได้ก่อนเจ้าหนี้อื่น
การบรรยายคำฟ้องที่มิได้ระบุวัน เวลาที่แน่ชัดว่าเป็นวันที่เท่าใด ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
ยื่นฟ้องคดีอันไม่มีข้อพิพาทแต่ได้มีบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องในคดี
ส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลยไม่ครบหน้าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
การยื่นอุทธรณ์คำสั่งภายในกำหนด 1 เดือน
ฟ้องขับไล่- แสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลา 8 วัน
เพิกถอนการขายทอดตลาดหากเป็นประวิงให้ชักช้าต้องรับผิดชดค่าสินไหมทดแทน
ผู้สวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้เป็นผู้มีส่วนได้เสีย เพิกถอนการขายทอดตลาด
ฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้น-ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์
ในคดีเดิมเป็นเพียงคู่ความตกลงยุติคดีไม่ดำเนินการต่อเท่านั้นไม่เป็นฟ้องซ้ำ
การยื่นและการส่งคำคู่ความในคดีฟอกเงิน
ให้คู่ความฝ่ายที่แพ้คดีต้องชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียม
ค่าขาดไร้อุปการะเป็นหนี้ที่แบ่งแยกเป็นส่วนแต่ละคน
เจ้าหนี้ผู้รับจำนองขอรับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดที่ดิน
การมีอยู่ขององค์กรสาธารณประโยชน์ที่ได้รับรองแล้ว
กระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษา-ฟ้องซ้ำ
ยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีเพื่อเป็นคู่ความฝ่ายที่สามในคดีอาญา
อายัดเงินปันผลของหุ้นได้แม้จะพ้นระยะเวลา 10 ปีแล้ว
เจ้าหนี้บุริมสิทธิ มิได้ร้องขอให้บังคับคดีภายในสิบปี
คำสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง นอกฟ้องนอกประเด็น
สิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนของผู้รับจำนอง
ฟ้องซ้ำ คดีถึงที่สุดห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก
โจทก์และจำเลยต่างมีสภาพเป็น"เจ้าหนี้" และ "ลูกหนี้" ตามคำพิพากษา
จำเลยไม่ใช่บุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลออกคำบังคับ
ไม่เกินห้าหมื่นบาทห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
การร้องขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดต้องอ้างว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของทรัพย์
เงื่อนเวลาเริ่มต้น-สิ้นสุดให้สันนิษฐานว่าเพื่อประโยชน์แก่ฝ่ายลูกหนี้
นำใบแต่งทนายความซึ่งปลอมลายมือชื่อไปทำสัญญายอม
อำนาจว่าความหรือดำเนินกระบวนพิจารณาของทนายความในศาล
ฟ้องเคลือบคลุม, สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข, วางประจำไว้หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ
ค่าเสียหายตามคำพิพากษาและค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทน
ผู้ร้องสอดต้องมีส่วนได้เสียกับคู่ความเดิมถือเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม
แก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยเป็นข้อยกเว้นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 180
ยื่นเอกสารฝ่าฝืนต่อกฎหมายไม่อาจรับฟังเป็นพยานได้(ยื่นชั้นอุทธรณ์ฎีกา)
จำเลยฟ้องแย้ง-โจทก์ทิ้งฟ้อง ไม่มีผลให้ฟ้องแย้งตกไป
อำนาจปกครองบุตร-มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลใด?
ดุลพินิจสั่งค่าฤชาธรรมเนียมคำนึงความสุจริตของคู่ความ
พินัยกรรมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่?ไม่มีประเด็นข้อพิพาท
มีเส้นทางอื่นออกไม่ตัดสิทธิขอคุ้มครองประโยชน์
คำขอให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา
คำร้องขอขยายระยะเวลาในการวางเงินค่าธรรมเนียมตามมาตรา 229
ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์แล้วคดีอยู่ในอำนาจศาลอุทธรณ์
คำสั่งรับหรือไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
ไม่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
การส่งหมายนัดไต่สวน-สำเนาคำร้องไม่ชอบ
คำสั่งให้โจทก์นำส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้อง
เพิกถอนการขายทอดตลาด
คำฟ้องโจทก์ไม่มีลายมือชื่อของผู้เรียงพิมพ์
คณะบุคคลไม่อาจเป็นคู่ความในคดีได้
มอบอำนาจให้ฟ้องคดีไว้ล่วงหน้าก่อนเกิดสิทธิฟ้อง
หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนระบุชื่อศาลผิด
หน้าที่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐาน
อำนาจฟ้องที่รัฐเป็นผู้เสียหาย
ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
วินิจฉัยนอกเหนือไปจากคำฟ้องและคำให้การ