มีเส้นทางอื่นออกไม่ตัดสิทธิขอคุ้มครองประโยชน์
การร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยเปิดทางพิพาทชั่วคราวก่อนศาลพิพากษาเป็นการขอเพื่อจัดให้มีวิธีคุ้มครองอย่างหนึ่ง การที่โจทก์สามารถใช้เส้นทางอื่นออกไปสู่ทางสาธารณะได้นั้น หาตัดสิทธิของโจทก์ในการที่จะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาไม่ เพราะโจทก์ฟ้องว่ายังมีสิทธิที่จะใช้ทางพิพาทออกไปสู่ทางสาธารณะได้อีกทางหนึ่งด้วย กรณีจึงมีเหตุที่โจทก์จะขอให้ศาลมีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาในชั้นอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2456/2533
การฟ้องคดีต่อศาลซึ่งมิใช่เป็นคดีมโนสาเร่ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อจัดให้มีวิธีคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ชั่วคราวก่อนศาลมีคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 254 ฉะนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องขอให้เปิดทางพิพาท การที่โจทก์สามารถจะใช้เส้นทางอื่นออกไปสู่ทางสาธารณะ จึงหาตัดสิทธิของโจทก์ที่จะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวก่อนศาลพิพากษาไม่ ดังนี้เมื่อคดีปรากฏว่าจำเลยปิดทางพิพาทตลอดมา จึงมีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองโดยให้จำเลยเปิดทางพิพาทในระหว่างพิจารณาตามที่โจทก์ขอมาบังคับได้.
กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางพิพาท อันเป็นทางสาธารณประโยชน์ ที่จำเลยปิดกั้นเพื่อมิให้โจทก์และประชาชนใช้สัญจรไปมา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์และยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำเลยเปิดทางพิพาท เพื่อให้โจทก์และประชาชนได้ใช้ทางพิพาทเดินเข้าออกไปประกอบอาชีพเหมือนเดิมก่อนคดีจะถึงที่สุด
ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยปิดทางพิพาทที่โจทก์นำคดีมาฟ้อง แต่โจทก์ยังมีทางอื่นที่ใช้เดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ คดีมีปัญหาว่า โจทก์จะร้องขอให้ศาลใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาสั่งให้จำเลยเปิดทางพิพาทได้หรือไม่ ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 254 เมื่อโจทก์ฟ้องคดีต่อศาลซึ่งไม่ใช่คดีมโนสาเร่ โจทก์ชอบที่จะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อจัดให้มีวิธีคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ก่อนศาลมีคำพิพากษาได้ การร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยเปิดทางพิพาทชั่วคราวก่อนศาลพิพากษาเช่นคดีนี้ เป็นการขอเพื่อจัดให้มีวิธีคุ้มครองอย่างหนึ่งที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2) ดังนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางพิพาท ก็ชอบที่โจทก์จะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเช่นนั้นได้ การที่โจทก์สามารถใช้เส้นทางอื่นออกไปสู่ทางสาธารณะได้นั้น หาตัดสิทธิของโจทก์ในการที่จะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเช่นที่กล่าวแล้วไม่ เพราะนอกจากโจทก์สามารถใช้เส้นทางอื่นออกไปสู่ทางสาธารณะได้แล้ว โจทก์ฟ้องว่ายังมีสิทธิที่จะใช้ทางพิพาทออกไปสู่ทางสาธารณะได้อีกทางหนึ่งด้วย กรณีจึงมีเหตุที่โจทก์จะขอให้ศาลมีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาในชั้นอุทธรณ์ได้และเมื่อคดีปรากฏว่าจำเลยปิดทางพิพาทตลอดมา กรณีจึงมีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองที่โจทก์ขอมาใช้บังคับตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 255 บัญญัติไว้ได้..."
พิพากษากลับ ให้จำเลยเปิดทางพิพาทในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ตามที่โจทก์ร้องขอ โดยให้โจทก์วางเงินประกันเป็นเงิน2,000 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 200 บาท.
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 254 ในคดีอื่น ๆ นอกจากคดีมโนสาเร่ โจทก์ชอบที่จะยื่น ต่อศาลพร้อมกับคำฟ้อง หรือในเวลาใด ๆ ก่อนพิพากษาซึ่งคำขอ ฝ่ายเดียว ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งภายในบังคับแห่งเงื่อนไขซึ่งจะกล่าว ต่อไป เพื่อจัดให้มีวิธีคุ้มครองใด ๆ ดังต่อไปนี้
(1) ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่พิพาท หรือทรัพย์สินของจำเลย ทั้งหมดหรือบางส่วนไว้ก่อนพิพากษา รวมทั้งจำนวนเงินหรือทรัพย์สิน ของบุคคลภายนอกซึ่งถึงกำหนดชำระแก่จำเลย
(2) ให้ศาลมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยกระทำซ้ำหรือกระทำ ต่อไปซึ่ง การละเมิดหรือการผิดสัญญา หรือการกระทำที่ถูกฟ้องร้อง หรือมีคำสั่งอื่นใดในอันที่จะบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายที่โจทก์อาจ ได้รับต่อไปเนื่องจากการกระทำของจำเลย หรือมีคำสั่งห้ามชั่วคราว มิให้จำเลยโอนขายยักย้ายหรือจำหน่ายซึ่งทรัพย์สินที่พิพาทหรือ ทรัพย์สินของจำเลย หรือมีคำสั่งให้หยุดหรือป้องกันการเปลืองไป เปล่าหรือการบุบสลาย ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าว ทั้งนี้ จนกว่าคดีจะถึง ที่สุดหรือศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
(3) ให้ศาลมีคำสั่งให้นายทะเบียน พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือ บุคคลอื่นผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ระงับการจดทะเบียน การแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนหรือการเพิกถอนการจดทะเบียน ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่พิพาท หรือทรัพย์สินของจำเลยหรือที่เกี่ยวกับ การกระทำที่ถูกฟ้องร้องไว้ชั่วคราวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือศาล มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติแห่ง กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
(4) ให้จับกุมและกักขังจำเลยไว้ชั่วคราว
ในระหว่างระยะเวลานับแต่ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ได้อ่าน คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีหรือชี้ขาดอุทธรณ์ ไปจนถึงเวลา ที่ศาลชั้นต้นได้ส่งสำนวนความที่อุทธรณ์หรือฎีกาไปยังศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกาแล้วแต่กรณี คำขอตาม มาตรานี้ ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะสั่งอนุญาตหรือยกคำขอเช่นว่านี้