

พิพากษาที่เกินคำขอและขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 1548 อันเป็นการไม่ชอบ
พิพากษาที่เกินคำขอและขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 1548 อันเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาพิพากษาให้ผู้ร้องจดทะเบียนรับบุตรผู้เยาว์ทั้งสาม เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องโดยให้ผู้คัดค้าน(มารดา)เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้งสามแต่เพียงผู้เดียว แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ร้องสามารถไปพบผู้เยาว์ทั้งสามที่โรงเรียนได้โดยให้อยู่ในความดูแลของครู และห้ามมิให้ผู้คัดค้านปิดกั้นการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ร้องกับผู้เยาว์ทั้งสามไม่ว่าทางโทรศัพท์หรือวิธีการสื่อสารอย่างอื่นตามความเหมาะสม การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าผู้เยาว์ทั้งสามเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้อง เป็นการพิพากษาที่เกินคำขอและขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 1548 อันเป็นการไม่ชอบ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3785/2565 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับผู้เยาว์ทั้งสามเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องมิได้ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าผู้เยาว์ทั้งสามเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่า ผู้ร้องเป็นบิดาของผู้เยาว์ทั้งสาม ก็ชอบที่จะพิพากษาให้ผู้ร้องไปจดทะเบียนรับผู้เยาว์ทั้งสามเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1548 การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าผู้เยาว์ทั้งสามเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้อง เป็นการพิพากษาที่เกินคำขอและขัดต่อบทบัญญัติดังกล่าว อันเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์หรือฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5), 246, 252 ประกอบ พ.ร.บ.เยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182/1 วรรคสอง ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องจดทะเบียนรับผู้เยาว์ทั้งสามเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้อง และให้ผู้คัดค้านยินยอมให้ผู้ร้องพบผู้เยาว์ทั้งสามและรับผู้เยาว์ทั้งสามมาพักอาศัยกับผู้ร้องอย่างน้อยเดือนละ 2 วัน ในวันเสาร์และวันอาทิตย์ ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องขอ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เด็กหญิงสรัลพร เด็กหญิงอัยรดา และเด็กหญิงอารีรดา ผู้เยาว์ทั้งสาม เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายสปัญญ์ ผู้ร้อง โดยให้ผู้คัดค้านเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้งสามแต่เพียงผู้เดียว แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ร้องสามารถไปพบผู้เยาว์ทั้งสามที่โรงเรียนได้โดยให้อยู่ในความดูแลของครู และห้ามมิให้ผู้คัดค้านปิดกั้นการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ร้องกับผู้เยาว์ทั้งสามไม่ว่าทางโทรศัพท์หรือวิธีการสื่อสารอย่างอื่นตามความเหมาะสม คำขออื่นของผู้ร้องและผู้คัดค้านให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองฝ่ายให้เป็นพับ ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ร้องมีสิทธิรับผู้เยาว์ทั้งสามไปพักอาศัยเดือนละ 2 วัน ในวันเสาร์และวันอาทิตย์ โดยในระหว่างนั้นให้นางนันทิยา มารดาผู้ร้อง หรือบุคคลที่มารดาผู้ร้องไว้วางใจช่วยเหลือผู้ร้องในขณะที่ผู้เยาว์ทั้งสามพักอาศัยกับผู้ร้องด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ผู้คัดค้านฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องและผู้คัดค้านแต่งงานและอยู่กินฉันสามีภริยากันตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2557 มีบุตรผู้เยาว์ 3 คน คือเด็กหญิงสรัลพร เกิดวันที่ 29 กันยายน 2557 เด็กหญิงอัยรดา และเด็กหญิงอารีรดา ซึ่งเป็นฝาแฝด เกิดวันที่ 4 พฤศจิกายน 2558 ต่อมาปี 2560 ผู้ร้องและผู้คัดค้านมีปัญหาความขัดแย้งกันในครอบครัวจนแยกทางกัน ผู้ร้องเคยถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3643/2558 ของศาลจังหวัดตรัง ในความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1121/2560 ของศาลจังหวัดตรัง ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ และในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1942/2559 ของศาลจังหวัดตรัง ในข้อหามีอัลปราโซแลม วัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไดอาซีแพม วัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 กัญชายาเสพติดให้โทษในประเภท 5 และพาอาวุธปืนมีทะเบียนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ผู้ร้องเคยเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์และโรงพยาบาลตรัง เนื่องจากมีอาการซึมเศร้า มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า สมควรให้ผู้ร้องมีสิทธิรับผู้เยาว์ไปพักอาศัยเดือนละ 2 วัน ในวันเสาร์และวันอาทิตย์หรือไม่ เห็นว่า โรคซึมเศร้าก็ดี หรือโรคไบโพล่าร์ก็ดี เป็นโรคที่เกิดจากสารสื่อประสาทในสมองผิดปกติ การรักษาจึงจำเป็นต้องได้รับยาโดยแพทย์จะให้รับประทานยาเพื่อปรับอารมณ์ให้คงที่ขึ้น และควรทำควบคู่กันเพื่อผลดีในระยะยาวคือการทำจิตบำบัดเพื่อหาสาเหตุของโรค และที่สำคัญที่สุดคือการรับประทานยารักษาอย่างต่อเนื่อง ห้ามหยุดยาเองหรือลดยาโดยเด็ดขาดเพราะอาจทำให้อาการโรครุนแรงกว่าเดิมและต้องเริ่มกระบวนการรักษาใหม่ตั้งแต่ต้น ซึ่งอาการของโรคดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยทั้งในด้านการงาน การประกอบอาชีพ และความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น การที่ผู้ร้องไปหาแพทย์เพียงครั้งเดียว ย่อมทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่องและทำให้อาการป่วยของผู้ร้องรุนแรงกว่าเดิม ผู้ร้องยังคงมีพฤติกรรมก้าวร้าวก่อความรุนแรงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้เช่นคนปกติทั่วไป ดังจะเห็นได้จากในช่วงปี 2561 และปี 2562 ผู้ร้องขับรถมาวนเวียนบริเวณบ้านที่ผู้คัดค้านพักอาศัยจนทำให้ผู้คัดค้านและครอบครัวเกิดความตกใจกลัว มีการแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจตามรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน วันที่ 1 พฤษภาคม 2562 ผู้ร้องได้นำน้ำมันไปจุดเผาบ้านนายดาวิ เพื่อนบ้านในหมู่บ้านเดียวกัน โดยผู้ร้องรับสารภาพว่าจุดไฟเผาบ้านเพื่อนบ้านด้วยอารมณ์โมโห เนื่องจากลูกสุนัขตัวโปรดที่เลี้ยงไว้ได้หายไปคาดว่านายดาวิจะอุ้มไป วันที่ 18 ตุลาคม 2563 เวลา 21.30 นาฬิกา ผู้ร้องขับรถจักรยานยนต์ชนรั้วบ้านของผู้คัดค้าน ต่อมาวันที่ 17 กรกฎาคม 2565 ผู้ร้องและมารดาผู้ร้องไปรับผู้เยาว์ ปรากฏจากภาพถ่ายท้ายคำร้องคัดค้านคำร้องขอออกหมายจับหรือหมายเรียกผู้คัดค้านกรณีไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาลงวันที่ 3 สิงหาคม 2564 แสดงให้เห็นว่า เมื่อผู้เยาว์ร้องไห้ไม่อยากไปบ้านผู้ร้องกับมารดาผู้ร้อง ผู้ร้องใช้กำลังยื้อยุดฉุดกระชากและอุ้มผู้เยาว์ขึ้นรถอันเป็นการใช้วิธีรุนแรงแก่ผู้เยาว์ นอกจากนี้ผู้ร้องยังแสดงออกซึ่งความรุนแรงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ได้แก่เฟซบุ๊ก โดยเขียนข้อความว่า ไปให้สุดหยุดที่เรือนจำ หรือโทษสูงสุดคือ 25 ปี ตามกฎหมายถ้าคิดจะจำผม ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ผมจะล้างครัว มันก็ 25 ปี เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ประกอบกับผู้เยาว์ทั้งสามอยู่ในช่วงวัย 7 ถึง 8 ขวบ ยังไร้เดียงสา และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งรอบตัวรวมทั้งเลียนแบบพฤติกรรมของบิดามารดา การที่ผู้ร้องมีพฤติกรรมชอบใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาย่อมส่งผลกระทบต่อความรู้สึกนึกคิดของผู้เยาว์ทั้งสามและอาจซึมซับพฤติกรรมก้าวร้าวติดตัวไปในภายภาคหน้า ทั้งมารดาผู้ร้องไม่อาจห้ามปรามหรือดูแลผู้ร้องได้ตลอดเวลา ผู้ร้องออกจากบ้านไปเมื่อปี 2560 ขณะที่ผู้เยาว์ทั้งสามอายุเพียง 2 ถึง 3 ขวบ และไม่เคยไปมาหาสู่หรือรับผู้เยาว์ทั้งสามไปเลี้ยงดูมาก่อน จึงจำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาค่อย ๆ สร้างความสนิทสนมเพื่อให้ผู้เยาว์ทั้งสามเกิดความรักและไว้วางใจผู้ร้องซึ่งเป็นบิดา การที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษให้ผู้ร้องมีสิทธิรับผู้เยาว์ทั้งสามไปพักอาศัยเดือนละ 2 วัน ในวันเสาร์และวันอาทิตย์ ในขณะที่ผู้ร้องยังไม่หายจากอาการโรคซึมเศร้า จึงไม่อาจคาดหมายได้ว่าสารสื่อประสาทในสมองของผู้ร้องจะทำงานผิดปกติในช่วงเวลาใดบ้าง เมื่อผู้ร้องไม่ได้ไปรับการรักษาอย่างต่อเนื่องจึงไม่ได้รับประทานยาเพื่อปรับอารมณ์ให้คงที่ ผู้ร้องอาจใช้ความรุนแรงแก่ผู้เยาว์ทั้งสามโดยไม่รู้ตัว เพื่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของผู้เยาว์ทั้งสามในชั้นนี้เห็นควรให้สิทธิผู้ร้องไปพบผู้เยาว์ทั้งสามที่โรงเรียนได้โดยให้อยู่ในความดูแลของครูและห้ามมิให้ผู้คัดค้านปิดกั้นการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ร้องกับผู้เยาว์ทั้งสามไม่ว่าทางโทรศัพท์หรือวิธีสื่อสารอย่างอื่นตามความเหมาะสม เพื่อให้โอกาสผู้ร้องได้มีโอกาสกลับไปรักษาตัวพบแพทย์อย่างต่อเนื่องจนสามารถควบคุมอารมณ์ให้คงที่เสียก่อน ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้ผู้ร้องมีสิทธิรับผู้เยาว์ทั้งสามไปพักอาศัยเดือนละ 2 วัน ในวันเสาร์และวันอาทิตย์ โดยในระหว่างนั้นให้นางนันทิยา มารดาผู้ร้อง หรือบุคคลที่มารดาผู้ร้องไว้วางใจช่วยเหลือผู้ร้องในขณะที่ผู้เยาว์ทั้งสามพักอาศัยกับผู้ร้องด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านฟังขึ้น อนึ่ง คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับผู้เยาว์ทั้งสามเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องมิได้ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าผู้เยาว์ทั้งสามเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่า ผู้ร้องเป็นบิดาของผู้เยาว์ทั้งสาม ก็ชอบที่จะพิพากษาให้ผู้ร้องไปจดทะเบียนรับผู้เยาว์ทั้งสามเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1548 การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าผู้เยาว์ทั้งสามเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้อง เป็นการพิพากษาที่เกินคำขอ และขัดต่อบทบัญญัติดังกล่าว อันเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์หรือฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5), 246, 252 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว มาตรา 182/1 วรรคสอง พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ร้องจดทะเบียนรับเด็กหญิงสรัลพร เด็กหญิงอัยรดา และเด็กหญิงอารีรดา ผู้เยาว์ทั้งสาม เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสปัญญ์ ผู้ร้อง โดยให้ผู้คัดค้านเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้งสามแต่เพียงผู้เดียว แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ร้องสามารถไปพบผู้เยาว์ทั้งสามที่โรงเรียนได้โดยให้อยู่ในความดูแลของครู และห้ามมิให้ผู้คัดค้านปิดกั้นการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ร้องกับผู้เยาว์ทั้งสามไม่ว่าทางโทรศัพท์หรือวิธีการสื่อสารอย่างอื่นตามความเหมาะสม คำขออื่นของผู้ร้องและผู้คัดค้านให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
|