

ยื่นเอกสารฝ่าฝืนต่อกฎหมายไม่อาจรับฟังเป็นพยานได้(ยื่นชั้นอุทธรณ์ฎีกา) ยื่นเอกสารฝ่าฝืนต่อกฎหมาย(ยื่นชั้นอุทธรณ์ฎีกา) สำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีที่จำเลยอ้างว่าแจ้งความดำเนินคดีเรื่องเอกสารปลอม จำเลยมิได้อ้างส่งต่อศาลชั้นต้น แต่เพิ่งแนบมาท้ายอุทธรณ์และฎีกา โดยไม่ปรากฏเหตุขัดข้องใด จึงเป็นการยื่นเอกสารฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่อาจรับเป็นพยานหลักฐานได้ สัญญากู้เงินมีการขูดลบตกเติมข้อความในสัญญาหลายแห่งโดยไม่มีการลงลายมือชื่อกำกับไว้ เหตุดังกล่าวแต่ประการเดียวยังไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ว่า สัญญากู้เงินดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม สำหรับสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีที่จำเลยอ้างว่าแจ้งความดำเนินคดีเรื่องเอกสารปลอม จำเลยมิได้อ้างส่งต่อศาลชั้นต้น แต่เพิ่งแนบมาท้ายอุทธรณ์และฎีกา โดยไม่ปรากฏเหตุขัดข้องใด จึงเป็นการยื่นเอกสารฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่อาจรับเป็นพยานหลักฐานได้ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 จำคุก 3 เดือน จำเลยอุทธรณ์ จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ว่า จำเลยออกเช็ค และเช็คถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามใบคืนเช็ค มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยชอบหรือไม่ คดีนี้ได้ความว่าศาลชั้นต้นนัดพร้อมเพื่อกำหนดวันนัดพิจารณาวันที่ 3 มีนาคม 2549 และมีคำสั่งให้นัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยในวันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เวลา 9 นาฬิกา ครั้นถึงวันนัดโจทก์นำพยานเข้าสืบ 2 ปาก แล้วแถลงหมดพยานจำเลยอ้างตนเองเข้าเบิกความเป็นพยานแล้วแถลงว่ายังมีพยานอีก 1 ปาก คือนางสาววราภรณ์ แต่ไม่สามารถนำพยานมาเบิกความได้ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้งดสืบนางสาววราภรณ์ ซึ่งในวันเดียวกัน จำเลยยื่นคำแถลงโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นโดยอ้างว่า นางสาววราภรณ์รับราชการอยู่ที่โรงพยาบาลโพธาราม ต้องขอให้ศาลออกหมายเรียกมาเป็นพยาน เห็นว่า ก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย หากนางสาววราภรณ์เป็นพยานสำคัญดังที่จำเลยอ้าง จำเลยชอบที่จะดำเนินการเพื่อขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกพยานเสียแต่เนิ่น ๆ แต่จำเลยหากระทำไม่ ทั้งตามอุทธรณ์และฎีกาของจำเลยมิได้อ้างถึงเหตุขัดข้องเช่นว่านั้นแต่ประการใด พฤติการณ์ของจำเลยส่อว่าประสงค์จะขอเลื่อนการสืบพยานจำเลยไปเพื่อประวิงให้ชักช้า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานจำเลยดังกล่าวชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสอง และมาตรา 104 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 แล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายมีว่า สัญญากู้เงินที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นผู้ทำไว้ให้แก่โจทก์เป็นเอกสารปลอมหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า สัญญากู้เงินมีการขูดลบตกเติมข้อความในสัญญาหลายแห่งโดยไม่มีการลงลายมือชื่อกำกับไว้ จึงเป็นเอกสารปลอมรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ เห็นว่า ลำพังเหตุดังกล่าวแต่ประการเดียวยังไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ว่าสัญญากู้เงินเป็นเอกสารปลอม ที่จำเลยเบิกความว่าจำเลยแจ้งความดำเนินคดีแก่โจทก์ว่าปลอมสัญญากู้เงินดังกล่าวก็เป็นเพียงคำเบิกความของจำเลยหามีพยานหลักฐานใดมาสนับสนุน สำหรับสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีที่จำเลยอ้างว่าแจ้งความดำเนินคดีเรื่องเอกสารปลอม จำเลยมิได้อ้างส่งต่อศาลชั้นต้น แต่เพิ่งแนบมาท้ายอุทธรณ์และฎีกาโดยไม่ปรากฏเหตุขัดข้องใด จึงเป็นการยื่นเอกสารฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่อาจรับเป็นพยานหลักฐานได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่รับฟังเอกสารดังกล่าวและเห็นว่าข้ออ้างของจำเลยไม่มีหลักฐานแต่เป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน มาตรา 86 เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานใดเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังไม่ได้ก็ดีหรือเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้ แต่ได้ยื่นฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ให้ศาลปฏิเสธไม่รับพยานหลักฐานนั้นไว้ มาตรา 104 ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอ ให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น
|