

ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ โจทก์ฟ้องให้จำเลยรื้อถอนบ้านพร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดิน จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยเช่าที่ดินจากเจ้าของเดิมจนเมื่อครบสัญญาเช่าแล้วได้เช่ากันต่อมาโดยไม่มีกำหนดเวลาจำเลยต่อเติมอาคารไปเป็นเงินไม่น้อยกว่า 200,000 บาท จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง และเห็นว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องที่มีเงื่อนไข ซึ่งถือว่าเป็นฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2549 ฟ้องแย้งของจำเลยที่เรียกค่าเสียหายเป็นค่ารื้อถอนอาคารที่จำเลยได้ก่อสร้างบนที่ดินตามฟ้องจากโจทก์เป็นฟ้องแย้งที่ขึ้นอยู่กับข้ออ้างตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ให้การต่อสู้ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยหรือไม่ หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยให้การ จำเลยก็ไม่ต้องรื้อถอนอาคารออกไป ค่าเสียหายตามฟ้องแย้งของจำเลยย่อมไม่เกิดขึ้น และศาลชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ หากข้อต่อสู้ตามคำให้การฟังไม่ได้ ศาลก็ต้องพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารออกไป เมื่อนั้นค่าเสียหายที่จำเลยฟ้องแย้งก็อาจจะเกิดมีขึ้นได้ข้ออ้างตามฟ้องแย้งจึงเป็นเรื่องที่จะต้องฟังผลของคดีเป็นสำคัญมิได้มีข้อโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ระหว่างจำเลยกับโจทก์ในขณะที่จำเลยฟ้องแย้ง เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ซึ่งถือว่าเป็นฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2543 โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6271 เนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน 94 ตารางวา จากนางวิภา รังสินธุ์ ปรากฏว่ามีบ้านเลขที่ 742 หมู่ที่ 1 ตำบลท่าถ่าน ของจำเลยปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวเนื้อที่ประมาณ 41 ตารางวา โจทก์มีความประสงค์จะใช้ประโยชน์ในที่ดินจึงแจ้งจำเลยรื้อถอนบ้านพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนบ้านดังกล่าวพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์และไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนบ้านพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 742 ตามฟ้อง จำเลยเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 6271 ดังกล่าวบางส่วนจากนายสุวรรณ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2527 มีกำหนด 3 ปี เมื่อครบกำหนดเวลาเช่า นายสุวรรณให้จำเลยเช่าที่ดินต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา ต่อมาปี 2534 นายสุวรรณจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่นางวิภา นางวิภาย่อมต้องรับโอนซึ่งสิทธิและหน้าที่ของนายสุวรรณ นางวิภาเก็บค่าเช่าที่ดินจากจำเลยตลอดมา ซึ่งระหว่างนั้นจำเลยได้ปลูกสร้างและปรับปรุงต่อเติมอาคารในลักษณะเป็นการถาวรเป็นเงินไม่น้อยกว่า 200,000 บาท ซึ่งจะต้องตกเป็นส่วนควบของที่ดินตามสัญญาเช่าที่ดินท้ายคำให้การจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา หากโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทก็ต้องรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้บอกเลิกสัญญาต่อจำเลย การที่จำเลยต้องรื้อถอนบ้านและอาคารทำให้จำเลยได้รับความเสียหายที่ได้ก่อสร้างไปเป็นเงิน 200,000 บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขหรือไม่ เห็นว่า เมื่อคำขอบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยที่เรียกค่าเสียหายเป็นค่ารื้อถอนอาคารที่จำเลยได้ก่อสร้างบนที่ดินตามฟ้องจากโจทก์นั้นขึ้นอยู่กับข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อความตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ให้การต่อสู้คำฟ้องของโจทก์ซึ่งอยู่ในประเด็นแห่งคดีว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยหรือไม่ และหากข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยให้การต่อสู้คดีจำเลยก็ไม่ต้องรื้อถอนอาคารออกไปจากที่ดินดังกล่าว ค่าเสียหายตามฟ้องแย้งของจำเลยย่อมไม่เกิดขึ้น และศาลชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ ในทางตรงข้ามหากข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยฟังไม่ได้ ศาลก็ต้องพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารออกไปจากที่ดินตามคำขอบังคับตามฟ้องของโจทก์ เมื่อนั้นค่าเสียหายที่จำเลยฟ้องแย้งก็อาจจะเกิดมีขึ้นได้ ดังนั้น ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามที่จำเลยฟ้องแย้งจึงเป็นเรื่องที่จะต้องฟังผลของคดีนี้เป็นสำคัญหาได้มีข้อโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ระหว่างจำเลยกับโจทก์ในขณะที่จำเลยฟ้องแย้งไม่ เห็นได้ชัดว่าฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องที่มีเงื่อนไข ซึ่งถือว่าเป็นฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ. ฟ้องแย้งจำเลยทั้งสองจึงเป็นเรื่องเดียวกับฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาพิพากษารวมกันได้ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ฟ้องแย้งจำเลยทั้งสองเกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้กำจัดจำเลยทั้งสองมิให้รับมรดกที่ดินพิพาทเพราะปิดบังพินัยกรรมห้ามจำเลยทั้งสองยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่ามิได้ปิดบังพินัยกรรม โจทก์และจำเลยทั้งสองรวมทั้งทายาทอื่นตกลงแบ่งมรดกโดยจำเลยทั้งสองได้ที่ดินพิพาท และจำเลยทั้งสองเข้าครอบครองเป็นส่วนสัดแล้ว โจทก์ไม่มีส่วนในที่ดินพิพาทอีก คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องและห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ดังนี้ หากเป็นจริงโจทก์ก็สิ้นความเป็นทายาทไม่มีสิทธิเรียกร้องเอามรดกที่ดิน ดังนั้นฟ้องแย้งจำเลยทั้งสองก็เพื่อจะได้มรดกที่ดินแต่ฝ่ายเดียวเช่นกันฟ้องแย้งจำเลยทั้งสองจึงเป็นเรื่องเดียวกับฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาพิพากษารวมกันได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6868/2546 โจทก์ฟ้องขอให้กำจัดจำเลยมิให้รับมรดกที่ดินพิพาทเพราะปิดบังพินัยกรรม จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า มิได้ปิดบังพินัยกรรมโจทก์และจำเลยรวมทั้งทายาทอื่นตกลงแบ่งมรดกโดยจำเลยได้ที่ดินพิพาท และจำเลยเข้าครอบครองเป็นส่วนสัดแล้ว โจทก์ไม่มีส่วนในที่ดินพิพาทอีก คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องและห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ดังนี้เป็นเรื่องพิพาทกันเกี่ยวกับการรับมรดกที่ดินพิพาทนั่นเอง คำฟ้องโจทก์ที่ขอให้กำจัดจำเลยมิให้รับมรดก จึงเป็นการฟ้องเรียกร้องเอามรดกที่ดินพิพาทเป็นของตนแต่ฝ่ายเดียว ส่วนฟ้องแย้งจำเลยที่ว่ามีการตกลงแบ่งมรดกและจำเลยเข้าครอบครองมรดกที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดแล้วทั้งคดีโจทก์ขาดอายุความ หากเป็นจริงโจทก์ก็สิ้นความเป็นทายาทไม่มีสิทธิเรียกร้องเอามรดกที่ดินพิพาท จึงเป็นเรื่องเดียวกับฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาพิพากษารวมกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรบุญธรรมของนายตา ใจอุด และนางขันแก้ว ใจอุด จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และนางทองม้วน แก้วกำเนิด เป็นบุตรของนางขันแก้วกับนายอินทร์ แก้วกำเนิด นายตาและนางขันแก้วเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่11365 เนื้อที่ 9 ไร่ 1 งาน 63.8 ตารางวา โดยจดทะเบียนถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ต่อมาวันที่30 ตุลาคม 2532 นางขันแก้ว ถึงแก่กรรม นายตาได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวในส่วนของตนให้แก่บุคคลอื่น หลังจากนั้นนายตาก็ถึงแก่กรรม จึงยังคงเหลือที่ดินมรดกของนางขันแก้วครึ่งหนึ่งเป็นเนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน 81.9 ตารางวา ที่จะตกแก่ทายาทนางขันแก้วครั้นวันที่ 15 กันยายน 2543 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำขอรับมรดกที่ดินแปลงดังกล่าวของนางขันแก้วโดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองเป็นทายาทนางขันแก้ว ก่อนถึงแก่กรรมเจ้ามรดกไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ให้แก่ผู้ใดและมีทายาทมีสิทธิที่ได้รับมรดกเพียง 3 คน คือ จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และนางทองม้วนซึ่งนางทองม้วนขอสละสิทธิไม่รับทรัพย์มรดกและเหลือทายาทเพียง 2 คน คือ จำเลยทั้งสอง เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ให้และได้ดำเนินการปิดประกาศให้ทราบทั่วกัน โจทก์ทราบความดังกล่าวได้ยื่นคำคัดค้านการโอนมรดกโดยแจ้งความจริงว่านางขันแก้วมีทายาทผู้มีสิทธิรับมรดก 4 คน คือ โจทก์จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และนางทองม้วน ที่จำเลยทั้งสองให้การต่อเจ้าพนักงานที่ดินจึงเป็นความเท็จ ภายหลังโจทก์ทราบว่านางขันแก้วได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับที่ดินแปลงดังกล่าวโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้เก็บพินัยกรรมไว้ โจทก์จึงแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบเจ้าพนักงานที่ดินได้เรียกให้จำเลยทั้งสองนำพินัยกรรมมาแสดง การกระทำของจำเลยทั้งสองมีเจตนาปิดบังพินัยกรรมและเจตนาเบียดบังทรัพย์มรดกโดยไม่ชอบ จึงถูกกำจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควร ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ถูกจำกัด (ที่ถูกกำจัด) มิให้รับมรดกของนางขันแก้ว ใจอุด ในที่ดินโฉนดเลขที่11365 ตำบลหนองช้างคืน อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน และไม่ให้จำเลยทั้งสองยุ่งเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นบุตรบุญธรรมของเจ้ามรดกทั้งสองจริงดังคำฟ้อง โจทก์ฟ้องคดีเกี่ยวกับมรดกเกิน 1 ปีแล้ว คดีจึงขาดอายุความ เจ้ามรดกทั้งสองได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับที่ดิน 3 แปลง ของเจ้ามรดกทั้งสอง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่13514, 14512 และ 11365 กำหนดให้ที่ดิน 2 แปลงแรกเป็นของโจทก์ ส่วนแปลงที่ 3ให้แก่จำเลยทั้งสอง โจทก์และนางทองม้วนซึ่งเป็นมารดาโจทก์ บุคคลทั่วไปและทายาททราบเรื่องดีว่าใครได้ทรัพย์มรดกเท่าใด ในระหว่างเจ้ามรดกทั้งสองยังมีชีวิตอยู่เจ้ามรดกทั้งสองและทายาทตกลงกันว่าให้แบ่งมรดกตามข้อกำหนดในพินัยกรรม โดยมารดาโจทก์และนายตาได้ไปขอรับพินัยกรรมจากผู้ใหญ่บ้าน ทายาททุกคนร่วมกันตกลงแบ่งมรดก โจทก์ได้ขอให้เจ้ามรดกทั้งสองขายที่ดินโฉนดเลขที่ 13514 นำเงินไปชำระหนี้ที่โจทก์เป็นหนี้บุคคลอื่นทายาททุกคนยินยอมกระทำการแบ่งมรดกตามส่วนที่กำหนดในพินัยกรรมด้วยการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินตามพินัยกรรมข้อ 2 โดยโจทก์และมารดาโจทก์ตลอดจนจำเลยทั้งสองได้ดำเนินการแบ่งส่วนที่ดินเท่า ๆ กันต่างเก็บดอกผลเพื่อประโยชน์ของตน จำเลยที่ 1 นำพินัยกรรมมาเก็บรักษาไว้ด้วยความยินยอมของมารดาโจทก์ โจทก์ทราบเรื่องดี ปี 2532 นางขันแก้วถึงแก่กรรม ทายาทต่างครอบครองมรดกเรื่อยมา โจทก์ได้ขอรับมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 14512 โดยให้นายตาดำเนินการโอนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ และโจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินนี้กับเจ้าหนี้ต่อมาปี 2537 โจทก์และมารดาโจทก์ขอให้นายตาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 11365 เฉพาะส่วนของโจทก์และมารดาโจทก์ตามพินัยกรรม โจทก์และมารดาโจทก์ประสงค์จะนำเงินไปชำระหนี้ ผู้ซื้อได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์และมารดาโจทก์ จำเลยทั้งสองก็ยังคงทำประโยชน์ในที่ดินตามส่วนที่กำหนดในพินัยกรรมเรื่อยมาจำเลยทั้งสองเข้าใจโดยสุจริตว่าโจทก์และมารดาโจทก์ได้รับมรดกส่วนของตนเองไปครบถ้วนแล้ว จึงแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่ามีทายาทคือจำเลยทั้งสอง โจทก์ทราบเรื่องจึงมาคัดค้าน จำเลยทั้งสองมิได้ปิดบังพินัยกรรม ทั้งการที่ทายาทขอประกาศรับมรดกโดยไม่ระบุว่ามีบุคคลอื่นเป็นทายาทด้วยนั้นไม่เป็นการปิดบังทรัพย์มรดกโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้องและให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งห้ามโจทก์เข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 11365 ในส่วนที่เป็นมรดกของจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2544 รับคำให้การของจำเลยทั้งสอง ส่วนฟ้องแย้งมีคำสั่งว่า ไม่ปรากฏว่าโจทก์กระทำการอย่างใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลยทั้งสองที่จะห้ามโจทก์ยุ่งเกี่ยว ทั้งไม่เกี่ยวกับเรื่องขอกำจัดมิให้รับมรดกตามฟ้องเดิมจึงไม่รับฟ้องแย้ง คืนค่าขึ้นศาล จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ฟ้องแย้งจำเลยทั้งสองเกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้กำจัดจำเลยทั้งสองมิให้รับมรดกที่ดินพิพาทเพราะปิดบังพินัยกรรมห้ามจำเลยทั้งสองยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่ามิได้ปิดบังพินัยกรรม โจทก์และจำเลยทั้งสองรวมทั้งทายาทอื่นตกลงแบ่งมรดกโดยจำเลยทั้งสองได้ที่ดินพิพาท และจำเลยทั้งสองเข้าครอบครองเป็นส่วนสัดแล้ว โจทก์ไม่มีส่วนในที่ดินพิพาทอีก คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องและห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ดังนี้เห็นได้ว่าเป็นเรื่องพิพาทกันเกี่ยวกับการรับมรดกที่ดินพิพาทนั่นเองคำฟ้องโจทก์ที่ขอให้กำจัดจำเลยทั้งสองมิให้รับมรดกที่ดินพิพาท จึงเป็นการฟ้องเรียกร้องเอามรดกที่ดินพิพาทเป็นของตนแต่ฝ่ายเดียว ส่วนฟ้องแย้งจำเลยทั้งสองที่ว่ามีการตกลงแบ่งมรดกและจำเลยทั้งสองเข้าครอบครองมรดกที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดแล้วทั้งคดีโจทก์ขาดอายุความ หากเป็นจริงโจทก์ก็สิ้นความเป็นทายาทไม่มีสิทธิเรียกร้องเอามรดกที่ดินพิพาทรวมทั้งไม่มีสิทธิยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาท ดังนี้ฟ้องแย้งจำเลยทั้งสองก็เพื่อจะได้มรดกที่ดินพิพาทแต่ฝ่ายเดียวเช่นกันฟ้องแย้งจำเลยทั้งสองจึงเป็นเรื่องเดียวกับฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาพิพากษารวมกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177วรรคสาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องแย้งไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้รับฟ้องแย้งจำเลยทั้งสองไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้ววินิจฉัยตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา"
|