![](https://www.peesirilaw.com/images/column_1718776501/lawyer-under-800-129.jpg)
![](/images_profiles/heading2.jpg)
ฟ้องปลูกสร้างผิดต่อข้อบัญญัติของกรุงเทพมหานคร ฟ้องปลูกสร้างอาคารผิดต่อข้อบัญญัติของกรุงเทพมหานคร ศาลชั้นต้นให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของวัดให้มีระยะห่างตามข้อบัญญัติของกรุงเทพมหานคร ศาลฎีกาเห็นว่าการก่อสร้างอาคารผิดต่อข้อบัญญัติของกรุงเทพมหานครหรือไม่ เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะต้องดำเนินการแก่จำเลยวัดไม่มีสิทธิฟ้องเพราะเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานหากวัดเห็นว่าหน้าต่างของอาคารเมื่อเปิดแล้วจะรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของวัดก็มีสิทธิฟ้องห้ามเปิดหน้าต่างได้ พิพากษาให้ปิดช่องหน้าต่างอาคารของจำเลย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4846/2552 โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างอาคารที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ให้มีระยะห่างจากที่ดินของโจทก์ไม่น้อยกว่า 2 เมตร โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย หากจำเลยทั้งสองเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ให้โจทก์เข้าดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างอาคารตึกแถวที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 106162 ตำบลดอกไม้ (คลองประเวศฝั่งใต้) อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร โดยให้อาคารดังกล่าวมีระยะห่างจากที่ดินของโจทก์เป็นไปตามข้อบัญญัติของกรุงเทพมหานคร เรื่อง การควบคุมการก่อสร้างอาคารกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ กำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้ จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารให้เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.2522 ข้อ 74 นั้น เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองก่อสร้างอาคารผิดต่อข้อบัญญัติของกรุงเทพมหานครหรือไม่ เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะต้องดำเนินการแก่จำเลยทั้งสอง โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามข้อบัญญัติของกรุงเทพมหานครดังกล่าวได้ หากโจทก์เห็นว่าหน้าต่างของอาคารที่จำเลยทั้งสองก่อสร้างเมื่อเปิดแล้วจะรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องห้ามมิให้จำเลยทั้งสองเปิดหน้าต่างล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์เท่านั้น การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารพอแปลได้ว่าโจทก์ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองเปิดหน้าต่างหรือส่วนของอาคารรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาขึ้นมา แต่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยทั้งสองก่อสร้างอาคารรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์หรือไม่ นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองก่อสร้างอาคารรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์กว้างประมาณ 50 เซนติเมตร ยาวประมาณ 16 เมตร จำเลยทั้งสองให้การว่า มิได้ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินโจทก์หากแต่ปลูกสร้างบนที่ดินของจำเลยที่ 1 จึงเป็นคดีที่โต้เถียงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกัน จึงเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ตีราคาที่ดินส่วนที่พิพาทกันเพื่อให้คู่ความเสียค่าขึ้นศาลในส่วนนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงระวางที่ดิน เลขที่ดิน หน้าสำรวจ ตำบล อำเภอ และจังหวัดที่ตั้งของที่ดินส่วนที่พิพาทซึ่งมีสภาพเป็นทางเข้าวัดโจทก์แล้วเห็นว่ามีราคาไม่ถึง 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จำเลยทั้งสองฎีกาโต้แย้งการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองที่ให้รื้ออาคารจำเลยทั้งสองเข้าไป 2 เมตร คงให้จำเลยทั้งสองรื้ออาคารเฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์กับให้จำเลยทั้งสองปิดช่องหน้าต่างหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของอาคารของจำเลยทั้งสองมิให้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.
|