

คดีก่อนคู่ความตกลงท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะคดี, ฟ้องซ้ำในคดีแพ่ง, สิทธิขับไล่จากที่ดินกรรมสิทธิ์รวม, ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ คดีก่อนคู่ความตกลงท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะคดี, ฟ้องซ้ำในคดีแพ่ง, สิทธิขับไล่จากที่ดินกรรมสิทธิ์รวม, "ศาลยกฟ้องโจทก์ในคดีใหม่ ชี้เป็นฟ้องซ้ำประเด็นเดิมที่เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ตามหลัก ป.วิ.พ. มาตรา 145 และ 148" *คดีก่อนมีประเด็นว่าโจทก์ทั้งเจ็ดมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสิบห้าออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายหรือไม่ ซึ่งที่ดินพิพาทในคดีก่อนและคดีนี้เป็นแปลงเดียวกัน แม้โจทก์จะเปลี่ยนลักษณะคำขอเป็นการเรียกทรัพย์คืน แต่ก็ยังมีประเด็นเดียวกับคดีก่อน โจทก์ยอมรับว่าศาลยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นนี้โดยตรง เนื่องจากคำพิพากษาก่อนเป็นไปตามคำท้าของคู่ความที่ยกฟ้องโจทก์ไปแล้ว คำพิพากษานั้นจึงมีผลผูกพันว่าจำเลยมีสิทธิในที่ดินพิพาทตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่สามารถฟ้องประเด็นเดิมอีก เพราะจะเป็นการฟ้องซ้ำที่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1858/2567 คดีก่อนมีประเด็นว่า โจทก์ทั้งเจ็ดมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสิบห้าออกไปจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสิบห้าได้หรือไม่ ซึ่งที่ดินพิพาทในคดีก่อนก็คือที่ดินพิพาทแปลงเดียวกันกับคดีนี้ แม้คดีนี้โจทก์จะเปลี่ยนรูปคดีจากเรื่องขับไล่และเรียกค่าเสียหายเป็นการเรียกทรัพย์คืนและเรียกค่าเสียหาย แต่ก็มีคำขอให้จำเลยออกไปจากสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาทแปลงเดิมเหมือนคดีก่อน ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับว่า ประเด็นข้อนี้มีอยู่แล้วในคดีก่อนเป็นแต่ศาลยังมิได้วินิจฉัย เพราะศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ไปตามคำท้า แม้ในคดีก่อนศาลจะมิได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีโดยตรง เนื่องจากคู่ความตกลงท้ากันเฉพาะผลคดีแพ่งเรื่องอื่นเป็นข้อแพ้ชนะ แต่เมื่อศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีก่อนไปตามคำท้าของคู่ความให้โจทก์แพ้คดีโดยพิพากษายกฟ้องไปแล้ว คำพิพากษาคดีก่อนย่อมผูกพันคู่ความว่าจำเลยมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่อาจฟ้องจำเลยให้ออกไปจากที่ดินพิพาทเป็นคดีนี้ได้อีก มิฉะนั้นผู้ที่แพ้คดีตามคำท้าก็จะนำคดีมาฟ้องร้องใหม่อีกโดยไม่จบสิ้น อีกทั้งคู่ความในคดีก่อนและคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกัน และคดีก่อนได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีที่มีประเด็นเดียวกันและคดีถึงที่สุดแล้วมาฟ้องใหม่อีกเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 อีกด้วย ***โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยดำเนินการเกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่บนที่ดินกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ ให้พ้นจากที่ดินกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย พร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไป และส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทคืนโจทก์ กับให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะดำเนินการแล้วเสร็จ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องและคำให้การ แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า มีคดีที่เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 3165 รวม 4 คดี คดีแรก คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 476/2556 และ 1055/2556 หมายเลขแดงที่ 1051 - 1052/2557 ของศาลชั้นต้น โจทก์คดีนี้และเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอีกหกคนเป็นโจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขับไล่เทศบาลตำบลบ้านหมอเป็นจำเลยที่ 1 นายสุทธิชัย เป็นจำเลยที่ 2 ออกจากที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่า เจ้าของที่ดินพิพาทคนเดิมได้ยกที่ดินดังกล่าวให้แก่ทางราชการตั้งแต่ปี 2498 เพื่อใช้ที่ดินเพื่อสาธารณประโยชน์ นายชาญจดทะเบียนการได้มาซึ่งที่ดินเป็นการขัดต่อกฎหมาย นายชาญจึงไม่มีอำนาจโอนที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ด จำเลยทั้งสองทำสัญญาเช่าที่ดินกับนายชาญเนื่องจากสำคัญผิด นิติกรรมการเช่าเป็นโมฆะ โจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าและค่าเสียหาย คดีดังกล่าวถึงที่สุดในชั้นฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งเจ็ด ให้จำเลยทั้งสองและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ทั้งเจ็ด 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721 - 722/2560 ในระหว่างฟ้องคดีแรกนั้น ได้มีการฟ้องคดีที่ 2 คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 306/2557 หมายเลขแดงที่ 561/2558 ของศาลชั้นต้น โดยนายชาติชาย โจทก์ที่ 3 ในคดีแรก เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีแรกในข้อหาละเมิด ขับไล่ ในที่ดินพิพาทแปลงเดิม ในส่วนที่จำเลยทั้งสองเข้ามาทำถนน ปักป้ายบอกชื่อถนน ชื่อซอย ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าถนนในที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะสามารถขับรถเข้าไปได้ ขอให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนถนนพร้อมป้ายชื่อออกจากที่ดิน และห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งหกฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองในที่ดินพิพาทแปลงเดียวกันต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแรกแล้ว และคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างพิจารณา การที่โจทก์กับพวกมายื่นฟ้องขับไล่ให้จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทอีก จึงเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลเดียวกันในระหว่างพิจารณา เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามกฎหมาย ระหว่างการพิจารณาของคดีที่ 2 ได้มีการฟ้องคดีที่ 3 เป็นคดีผู้บริโภคเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2558 โดยมีโจทก์ทั้งเจ็ดเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสิบห้าซึ่งเป็นผู้เช่าในที่ดินแปลงเดียวกันเป็นจำเลย ให้ขับไล่จำเลยแต่ละรายและเรียกค่าเสียหาย 15 คดี ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ 143/2558 ถึง ผบ 157/2558 โดยโจทก์ที่ 2 และจำเลยที่ 3 คือโจทก์และจำเลยคดีนี้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 9 ในคดีดังกล่าวให้การต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทบางส่วนเป็นถนนสาธารณะ บางส่วนเป็นสถานที่ราชการ บางส่วนเป็นสวนสาธารณะ โจทก์ทั้งเจ็ดไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 9 อาศัยอยู่ และไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน โจทก์ทั้งเจ็ดจึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 4 ที่ 8 และที่ 10 ถึงที่ 15 ให้การทำนองเดียวกันว่า ไม่เคยทำสัญญาเช่ากับโจทก์ทั้งเจ็ด บิดามารดาจำเลยที่ 4 ที่ 8 และที่ 10 ถึงที่ 15 อาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยสงบ โดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมานานกว่า 50 ปี ที่ดินพิพาทที่ใช้ปลูกสร้างบ้านจึงตกเป็นของบิดามารดาจำเลยที่ 4 ที่ 8 และที่ 10 ถึงที่ 15 โดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์ทั้งเจ็ดจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 7 ให้การว่า จำเลยที่ 7 ปลูกสร้างบ้านโดยไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นเจ้าของที่ดิน จำเลยที่ 7 จ่ายค่าเช่าแล้ว เมื่อยังไม่ครบกำหนดชำระค่าเช่า จำเลยที่ 7 จึงไม่ต้องจ่ายค่าเช่าอีก ระหว่างพิจารณาคู่ความตกลงท้ากันให้เอาผลคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีที่ 2 คือคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 306/2557 ของศาลชั้นต้น ระหว่างนายชาติชาย โจทก์ กับเทศบาลตำบลบ้านหมอ ที่ 1 นายสุทธิชัย ที่ 2 จำเลย เป็นผลแพ้ชนะในคดี หากในคดีที่ 2 ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ทั้งเจ็ดในคดีที่ 3 ยอมแพ้โดยยอมให้ยกฟ้อง หากในคดีที่ 2 ศาลพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี จำเลยทั้งสิบห้ายอมแพ้คดีโดยจะยอมออกจากที่ดินพิพาท และยอมชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งเจ็ดโดยให้ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดให้ตามที่เห็นสมควร ศาลชั้นต้นในคดีที่ 3 อนุญาตให้เป็นไปตามที่คู่ความท้ากัน ปรากฏว่าคดีที่ 2 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีที่ 2 และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1051 – 1052/2557 ของศาลชั้นต้น มีคู่ความรายเดียวกันและประเด็นข้อพิพาทเป็นอย่างเดียวกัน ซึ่งฝ่ายโจทก์สามารถขอให้ขับไล่รวมไปในคดีก่อนได้ แต่หาได้กระทำไม่ และคำขอบังคับของคดีแรกและคดีที่ 2 คือขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาท และศาลได้วินิจฉัยไว้ในคดีแรกแล้วว่าที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่บนที่ดินมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน และพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารโดยให้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ดังนั้น การวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้ในคดีแรก โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งหกจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีที่ 2 อีก พิพากษายกฟ้อง ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 561/2558 ของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน คดีที่ 2 ถึงที่สุด จำเลยทั้งสิบห้าในคดีที่ 3 จึงชนะคดีตามคำท้า ซึ่งศาลชั้นต้นคดีที่ 3 วินิจฉัยว่า คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 306/2557 หมายเลขแดงที่ 561/2558 ของศาลชั้นต้นถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง จำเลยทั้งสิบห้าจึงเป็นฝ่ายชนะคดีตามคำท้า และพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2564 เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 109/2558 ถึง ผบ 123/2558 ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 มีการฟ้องคดีนี้เป็นคดีที่ 4 โดยโจทก์ที่ 2 ในคดีที่ 3 เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ในคดีที่ 3 เป็นจำเลย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ เห็นว่า ในคดีก่อนคือคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 109/2558 ถึง ผบ 123/2558 ที่โจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ที่ 2 และจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยที่ 3 คดีมีประเด็นว่า โจทก์ทั้งเจ็ดมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสิบห้าออกไปจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสิบห้าได้หรือไม่ ซึ่งที่ดินพิพาทในคดีก่อนก็คือที่ดินพิพาทแปลงเดียวกันกับคดีนี้ แม้คดีนี้โจทก์จะเปลี่ยนรูปคดีจากเรื่องขับไล่และเรียกค่าเสียหายเป็นการเรียกทรัพย์คืนและเรียกค่าเสียหาย แต่ก็มีคำขอให้จำเลยออกไปจากสิ่งปลูกสร้างบ้านในที่ดินพิพาทแปลงเดิมเหมือนคดีก่อน ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับว่าประเด็นข้อนี้มีอยู่แล้วในคดีก่อนเป็นแต่ศาลยังมิได้วินิจฉัย เพราะศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ไปตามคำท้า แม้ในคดีก่อนศาลจะมิได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีโดยตรง เนื่องจากคู่ความตกลงท้ากันเฉพาะผลคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 306/2557 หมายเลขแดงที่ 561/2558 เป็นข้อแพ้ชนะ แต่เมื่อศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีก่อนไปตามคำท้าของคู่ความให้โจทก์แพ้คดีโดยพิพากษายกฟ้องไปแล้ว คำพิพากษาคดีก่อนย่อมผูกพันคู่ความว่า จำเลยมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทโดยโจทก์ขับไล่ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ดังนั้น โจทก์ซึ่งแพ้คดีและถูกยกฟ้องไปแล้วในคดีก่อน จึงไม่อาจฟ้องจำเลยให้ออกไปจากที่ดินพิพาทเป็นคดีนี้ได้อีกต่อไป มิฉะนั้นผู้ที่แพ้คดีตามคำท้าก็จะนำคดีมาฟ้องร้องใหม่อีกโดยไม่จบสิ้น อีกทั้งคู่ความในคดีก่อนและคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกัน และคดีก่อนได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีที่มีประเด็นเดียวกันและคดีถึงที่สุดแล้วมาฟ้องใหม่อีก เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 อีกด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ • ฟ้องซ้ำในคดีแพ่ง • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 • สิทธิขับไล่จากที่ดินกรรมสิทธิ์รวม • การฟ้องขับไล่และคำพิพากษาถึงที่สุด • กฎหมายเกี่ยวกับการฟ้องซ้ำ • คำพิพากษาผูกพันคู่ความ • หลักกฎหมายเรื่องฟ้องซ้อน • การบังคับรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาท *สรุปคำพิพากษาโดยย่อ: โจทก์ฟ้องจำเลยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ และเรียกค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์ จำเลยขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กลับคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่ แต่จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทเดียวกันกับคดีแพ่งก่อนหน้านี้ที่ศาลเคยพิพากษาให้จำเลยชนะ โดยโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้เป็น "ฟ้องซ้ำ" ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 และ 148 เนื่องจากประเด็นข้อพิพาทและคู่ความเหมือนเดิม ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ยกฟ้อง พร้อมกำหนดให้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลเป็นพับ *การอธิบายหลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง และมาตรา 148 ที่เกี่ยวข้อง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง มาตรานี้กำหนดว่า "คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่ถึงที่สุด ย่อมมีผลผูกพันคู่ความในคดีนั้น" ซึ่งหมายความว่า เมื่อคดีใดได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุด คู่ความในคดีไม่สามารถนำประเด็นเดียวกันมาฟ้องร้องต่อศาลอีกได้ เพื่อป้องกันการเกิดกรณีที่คู่ความอาจยื่นฟ้องคดีเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก อันจะเป็นการรบกวนกระบวนการยุติธรรมและสร้างภาระให้ศาล ในบทความนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ในคดีนี้เคยแพ้คดีมาก่อนในคดีที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทเดียวกัน และคำพิพากษาในคดีก่อนถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยในประเด็นเดียวกันอีก เพราะคำพิพากษาคดีก่อนมีผลผูกพันตามมาตรา 145 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 มาตรานี้ระบุว่า "ห้ามมิให้คู่ความฟ้องคดีซ้ำ เมื่อคดีนั้นมีข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และคู่ความเดียวกัน และศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว" หลักการนี้มุ่งป้องกันการฟ้องซ้ำ ซึ่งอาจทำให้กระบวนการพิจารณาคดีไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นการใช้อำนาจศาลโดยไม่ชอบ ในบทความ ศาลฎีกาพิจารณาเห็นว่า โจทก์ได้นำข้อพิพาทเดิมมาฟ้องในรูปแบบใหม่ แม้เปลี่ยนลักษณะคำขอจากการขับไล่เป็นการเรียกทรัพย์คืน แต่ประเด็นหลักคือการฟ้องให้ออกจากที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นประเด็นที่เคยพิจารณาในคดีเดิมแล้ว ศาลจึงเห็นว่าเป็นการฟ้องซ้ำที่ต้องห้ามตามมาตรา 148 สรุป ทั้งสองมาตราเน้นป้องกันการฟ้องคดีซ้ำในประเด็นข้อพิพาทและคู่ความเดียวกัน เพื่อคุ้มครองความมั่นคงในคำพิพากษาที่ถึงที่สุด และป้องกันการเสียเวลาในกระบวนการยุติธรรม ศาลฎีกาในบทความนี้ใช้หลักกฎหมายตามมาตรา 145 และ 148 เป็นเหตุผลสำคัญในการยกฟ้องคดีดังกล่าว **ฟ้องซ้ำในคดีแพ่ง: หลักกฎหมายและแนวปฏิบัติ การฟ้องซ้ำในคดีแพ่งเป็นประเด็นทางกฎหมายที่สำคัญ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิในการดำเนินคดีของคู่ความและความเป็นที่สุดของคำพิพากษา เพื่อให้ความยุติธรรมมีความชัดเจนและมั่นคง การฟ้องซ้ำต้องพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยเฉพาะมาตรา 145 และมาตรา 148 ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้: ความหมายของการฟ้องซ้ำ การฟ้องซ้ำ หมายถึง การที่คู่ความนำคดีที่มีข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และคู่ความเดียวกันกับคดีที่เคยมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว มาฟ้องต่อศาลอีกครั้ง ซึ่งเป็นการกระทำที่ต้องห้ามตามกฎหมาย เนื่องจากอาจก่อให้เกิดความล่าช้าและซ้ำซ้อนในกระบวนการพิจารณาคดี หลักกฎหมายเกี่ยวกับการฟ้องซ้ำ 1.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง มาตรานี้กำหนดว่า: "คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่ถึงที่สุด ย่อมมีผลผูกพันคู่ความในคดีนั้น" หลักการนี้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว คู่ความไม่สามารถนำข้อพิพาทเดียวกันกลับมาฟ้องร้องอีก คำพิพากษาถึงที่สุดจึงมีผลเป็นข้อยุติในประเด็นที่ได้พิจารณาไปแล้ว 2.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 มาตรานี้ระบุว่า: "ห้ามมิให้คู่ความฟ้องคดีซ้ำ เมื่อคดีนั้นมีข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และคู่ความเดียวกัน และศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว" มาตรานี้เน้นถึงการป้องกันการฟ้องซ้ำ ซึ่งอาจทำให้คดีไม่มีที่สิ้นสุด และกระบวนการยุติธรรมถูกใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีเป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ เพื่อพิจารณาว่าคดีใดเข้าข่ายการฟ้องซ้ำ ต้องตรวจสอบตามเกณฑ์ต่อไปนี้: 1.ข้อเท็จจริงในคดีเดียวกัน คดีใหม่ต้องเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่เคยพิจารณาในคดีก่อน เช่น ที่ดินพิพาท สิ่งปลูกสร้าง หรือคู่ความเดิมที่มีข้อขัดแย้ง 2.ข้อกฎหมายเดียวกัน คดีใหม่ต้องเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายที่เคยวินิจฉัยในคดีก่อน หากข้อกฎหมายในคดีใหม่แตกต่าง อาจไม่เข้าข่ายฟ้องซ้ำ 3.คู่ความเดียวกัน คู่ความในคดีใหม่ต้องเป็นบุคคลเดียวกันกับคดีก่อน ทั้งในฐานะโจทก์และจำเลย 4.คำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุด คดีก่อนต้องมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุด ซึ่งหมายความว่าไม่มีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาอีกต่อไป ตัวอย่างคดีเกี่ยวกับการฟ้องซ้ำ จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 406/2567 โจทก์เคยฟ้องจำเลยในคดีเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเดียวกัน โดยศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยชนะคดี ต่อมาโจทก์นำคดีใหม่มาฟ้องเกี่ยวกับที่ดินเดิมในรูปแบบใหม่ แม้จะเปลี่ยนลักษณะคำขอ แต่ศาลเห็นว่าเป็นข้อพิพาทเดิมที่เคยวินิจฉัยแล้ว คดีนี้จึงถือเป็นฟ้องซ้ำ และศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องตามหลักกฎหมายข้างต้น ผลกระทบของการฟ้องซ้ำ 1.กระบวนการยุติธรรมเสียเวลา การฟ้องซ้ำทำให้ศาลต้องพิจารณาเรื่องเดิมซ้ำซ้อน ซึ่งส่งผลต่อเวลาและทรัพยากรของศาล 2.คู่ความเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม คู่ความอาจต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น 3.ความมั่นคงของคำพิพากษาถูกลดทอน การฟ้องซ้ำอาจทำให้คำพิพากษาที่เคยมีผลถึงที่สุดถูกตั้งข้อสงสัย ซึ่งส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม แนวปฏิบัติในการป้องกันการฟ้องซ้ำ 1.ตรวจสอบสถานะคดีเดิม ก่อนฟ้องคดีใหม่ คู่ความควรตรวจสอบว่าคดีเดิมมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วหรือไม่ 2.ศึกษาประเด็นข้อพิพาทอย่างรอบคอบ หากคดีใหม่มีลักษณะคล้ายคลึงกับคดีเดิม ควรพิจารณาว่าประเด็นข้อพิพาทเหมือนกันหรือแตกต่าง 3.ปรึกษาทนายความ การขอคำแนะนำจากทนายความผู้เชี่ยวชาญจะช่วยลดความเสี่ยงในการฟ้องซ้ำ สรุป การฟ้องซ้ำในคดีแพ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักกฎหมายและอาจส่งผลเสียต่อกระบวนการยุติธรรม ทั้งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 และ 148 ต่างเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาความมั่นคงในคำพิพากษา คู่ความควรใช้สิทธิในการดำเนินคดีอย่างระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการฟ้องซ้ำเพื่อให้ระบบยุติธรรมมีประสิทธิภาพและเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น **คู่ความตกลงท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะคดี: แนวทางและผลทางกฎหมาย การตกลงท้ากันในคดีความเป็นแนวปฏิบัติที่เกิดขึ้นในกระบวนการพิจารณาคดี โดยคู่ความทั้งสองฝ่ายอาจตกลงร่วมกันให้ผลของคดีหนึ่งมีผลเป็นข้อยุติในอีกคดีหนึ่ง หากผลคดีเป็นไปในทิศทางใด คู่ความฝ่ายที่แพ้จะยอมรับคำพิพากษาโดยไม่มีการโต้แย้ง ซึ่งวิธีการนี้ช่วยลดความซับซ้อนและความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ หลักการดังกล่าวมีแนวทางและผลทางกฎหมายที่สำคัญดังนี้: ความหมายของการตกลงท้ากัน การตกลงท้ากันในบริบทของคดีความ หมายถึง การที่คู่ความในคดีตกลงให้ผลคำพิพากษาของคดีหนึ่งเป็นข้อยุติในข้อพิพาทของคดีที่เกี่ยวเนื่องกัน เช่น หากฝ่ายใดแพ้ในคดีแรก จะยอมรับผลของคำพิพากษาในคดีที่สองโดยไม่มีการโต้แย้ง วิธีนี้เป็นการประหยัดเวลาและทรัพยากรของทั้งศาลและคู่ความ โดยไม่ต้องพิจารณาคดีหลายครั้งในประเด็นเดียวกัน หลักกฎหมายเกี่ยวกับการตกลงท้ากัน 1.ความผูกพันตามคำพิพากษา เมื่อคู่ความตกลงท้ากันและศาลได้มีคำพิพากษาตามข้อตกลง คำพิพากษานั้นย่อมมีผลผูกพันคู่ความในทุกประเด็นที่ตกลงกันไว้ตามหลักประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ซึ่งกำหนดให้คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดมีผลเป็นข้อยุติในคดีนั้น 2.การยอมรับผลคดี การตกลงท้ากันแสดงถึงเจตนาของคู่ความที่จะยอมรับผลคดีตามคำพิพากษา หากฝ่ายที่แพ้กลับนำคดีเดียวกันมาฟ้องใหม่ อาจถือว่าเป็นการฟ้องซ้ำที่ต้องห้ามตามมาตรา 148 ขั้นตอนและการตกลงท้ากันในทางปฏิบัติ 1.การกำหนดเงื่อนไขในคำท้า คู่ความจะต้องตกลงกันอย่างชัดเจนว่าผลของคดีใดจะมีผลต่อการตัดสินคดีที่เกี่ยวข้อง เช่น การยอมรับผลคำพิพากษาในคดีแรกว่าจะมีผลผูกพันโดยตรงต่อคดีถัดไป 2.การบันทึกข้อตกลง ข้อตกลงดังกล่าวมักถูกบันทึกไว้ในเอกสารทางคดี หรืออาจมีการแจ้งต่อศาลเพื่อให้มีผลทางกฎหมาย หากคู่ความฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามคำท้า อาจถูกยกฟ้องได้ทันที 3.การใช้ดุลพินิจของศาล แม้ว่าคู่ความจะตกลงท้ากัน แต่ศาลยังคงมีอำนาจตรวจสอบว่าเงื่อนไขในคำท้ามีความเหมาะสมและไม่ขัดต่อกฎหมายหรือกระบวนการยุติธรรม ผลของการตกลงท้ากัน 1.ลดข้อพิพาทที่ซ้ำซ้อน การตกลงท้ากันช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อพิพาทในคดีที่เกี่ยวเนื่องกัน และลดจำนวนคดีที่ต้องพิจารณาในศาล 2.เพิ่มความรวดเร็วในกระบวนการยุติธรรม คู่ความสามารถยุติข้อพิพาทได้รวดเร็วขึ้น โดยไม่ต้องดำเนินคดีหลายครั้งในประเด็นเดียวกัน 3.ผูกพันตามคำพิพากษา คำพิพากษาที่เกิดจากการตกลงท้ากันจะมีผลผูกพันทั้งคู่ความ และไม่สามารถนำคดีเดิมมาฟ้องซ้ำได้อีก ตัวอย่างกรณีเกี่ยวกับการตกลงท้ากัน จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 406/2567 คู่ความตกลงกันว่า หากคดีหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทศาลตัดสินให้ฝ่ายใดแพ้ คดีอื่นที่เกี่ยวข้องจะถือผลคดีดังกล่าวเป็นข้อยุติ เมื่อศาลวินิจฉัยให้โจทก์แพ้ในคดีแรก โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีอื่นในประเด็นเดียวกันอีก คำพิพากษานั้นมีผลผูกพันคู่ความตามมาตรา 145 และถือเป็นการฟ้องซ้ำหากนำคดีมาฟ้องใหม่ ข้อควรระวังในการตกลงท้ากัน 1.ตรวจสอบเงื่อนไขคำท้าอย่างรอบคอบ คู่ความควรพิจารณาเงื่อนไขที่กำหนดในคำท้า เพื่อป้องกันการเสียเปรียบในกรณีที่คำพิพากษาไม่เป็นไปตามคาด 2.ความโปร่งใสในข้อตกลง การตกลงควรมีการบันทึกไว้อย่างชัดเจน เพื่อป้องกันข้อโต้แย้งในภายหลัง 3.ปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด หากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามคำท้า อาจส่งผลให้ศาลยกฟ้องหรือมีคำสั่งที่ไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายนั้น สรุป การตกลงท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะคดีเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยลดความซับซ้อนในกระบวนการพิจารณาคดี โดยอาศัยความสมัครใจของคู่ความและการตรวจสอบของศาล แม้จะช่วยลดข้อพิพาทที่ซ้ำซ้อนและเพิ่มความรวดเร็วในการยุติคดี แต่ก็ต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังและโปร่งใส เพื่อให้เกิดผลทางกฎหมายที่ชอบธรรมและยุติธรรมที่สุด
|