ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




การสละประเด็นข้อพิพาท, อำนาจศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (3), อัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายแพ่งใหม่

 ท นาย อาสา ฟรี

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ 

•  คำพิพากษาศาลฎีกา 1201/2567

•  ข้อพิพาทที่ดิน ศาลฎีกา

•  การสละประเด็นข้อพิพาท

•  สิทธิการครอบครองที่ดิน

•  ค่าชดเชยความเสียหายที่ดิน

•  อำนาจศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (3)

•  อัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายแพ่งใหม่

ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1201/2567 สรุปได้ว่า คู่ความตกลงยอมรับเรื่องความเป็นเจ้าของที่ดินและสละข้อพิพาทเรื่องนี้ จึงไม่ต้องสืบพยานเพิ่มเติมและศาลไม่ต้องพิจารณาอีก โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองงดรุกล้ำที่ดินและเรียกค่าเสียหาย 500,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้ 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ครอบครองที่ดินตามแนวเขตที่ยอมรับและจำเลยรุกล้ำ ศาลฎีกาพิพากษากลับให้จำเลยชดใช้ 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามอัตราใหม่ โดยให้ค่าธรรมเนียมเป็นพับ

หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษานี้ ประกอบด้วย มาตรา 84 (3) และ มาตรา 99 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้:

1.มาตรา 84 (3) ระบุว่า หากคู่ความได้ยอมรับข้อเท็จจริงบางประการต่อศาลแล้ว ข้อเท็จจริงนั้นไม่จำเป็นต้องสืบพยานเพิ่มเติมอีก ศาลสามารถพิจารณาข้อเท็จจริงดังกล่าวได้เลย เนื่องจากถือว่าคู่ความมีเจตนาไม่โต้แย้งเรื่องนี้อีกต่อไป ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่คู่ความยอมรับร่วมกันจึงสามารถใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการสืบพยานอีก

2.มาตรา 99 วรรคหนึ่ง กล่าวถึงอำนาจของศาลในการสั่งให้ตรวจสอบหลักฐานบุคคล วัตถุ หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องในคดี หากเห็นว่าจำเป็นสำหรับการพิจารณาคดี โดยศาลอาจสั่งให้ผู้เชี่ยวชาญดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อความชัดเจน เช่น การรังวัดที่ดินในคดีที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทเรื่องที่ดิน เป็นต้น

หลักการทั้งสองมาตรานี้มีบทบาทสำคัญในคดีนี้ โดยมาตรา 84 (3) อนุญาตให้ศาลรับข้อเท็จจริงที่คู่ความยอมรับได้โดยไม่ต้องสืบพยานเพิ่มเติม ซึ่งช่วยให้กระบวนการพิจารณารวดเร็วขึ้น ขณะที่มาตรา 99 วรรคหนึ่งให้อำนาจศาลในการสั่งตรวจสอบหลักฐาน เพื่อให้เกิดความชัดเจนในข้อพิพาท

 

คำพิพากษาศาลฎีกา 1201/2567, ข้อพิพาทที่ดิน ศาลฎีกา, การสละประเด็นข้อพิพาท, สิทธิการครอบครองที่ดิน, ค่าชดเชยความเสียหายที่ดิน, อำนาจศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (3), อัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายแพ่งใหม่,

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1201/2567

ในวันนัดเดินเผชิญสืบ คู่ความทั้งสองฝ่ายลงชื่อรับรองความถูกต้องของแผนผังและแถลงสละประเด็นพิพาท ข้อ 2 ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสอง กรณีจึงไม่จำต้องสืบพยานและวินิจฉัยประเด็นพิพาท ข้อ 2 อีกต่อไป ข้อเท็จจริงจึงเป็นไปตามที่คู่ความยอมรับกันในความรับรู้ของศาลตามหลักความประสงค์ของคู่ความ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (3) และมาตรา 99 วรรคหนึ่ง โดยไม่ต้องใช้พยานหลักฐาน ไม่ต้องอาศัยกฎเกณฑ์เรื่องหน้าที่นำสืบ เรื่องการรับฟังพยานหลักฐานหรือเรื่องการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1201/2567

ในวันนัดเดินเผชิญสืบ คู่ความทั้งสองฝ่ายลงชื่อรับรองความถูกต้องของแผนผังและแถลงสละประเด็นพิพาท ข้อ 2 ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสอง กรณีจึงไม่จำต้องสืบพยานและวินิจฉัยประเด็นพิพาท ข้อ 2 อีกต่อไป ข้อเท็จจริงจึงเป็นไปตามที่คู่ความยอมรับกันในความรับรู้ของศาลตามหลักความประสงค์ของคู่ความ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (3) และมาตรา 99 วรรคหนึ่ง โดยไม่ต้องใช้พยานหลักฐาน ไม่ต้องอาศัยกฎเกณฑ์เรื่องหน้าที่นำสืบ เรื่องการรับฟังพยานหลักฐานหรือเรื่องการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานแต่อย่างใด

*โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

*จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง

*ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 10,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ

*โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์

*ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ คืนค่าธรรมเนียมใช้แทน 5,000 บาท แก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่ศาลสั่งคืนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีทั้งสองศาลให้เป็นพับ

*โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

*ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความว่า โจทก์มีชื่อเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ข.) เลขที่ 274 เนื้อที่ 19 ไร่ 61 ตารางวา จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการมีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนในที่ดินโฉนดเลขที่ 15537 และจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนในที่ดินโฉนดเลขที่ 15530 วันที่ 17 สิงหาคม 2563 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดน่านจัดทำแผนที่พิพาท จำเลยทั้งสองไม่ไปนำชี้และไม่รับรองแผนที่พิพาท วันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 ชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า 1) โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ 2) ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสอง 3) โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสองหรือไม่ เพียงใด วันที่ 5 มีนาคม 2564 ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบที่พิพาท โจทก์และจำเลยทั้งสองรับรองความถูกต้องของแนวเขตตามแผนผัง คู่ความแถลงสละประเด็นข้อพิพาทในข้อ 2

*พิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ซึ่งยกประเด็นข้อพิพาทข้อ 2) ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสอง ซึ่งคู่ความสละแล้วขึ้นวินิจฉัยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 บัญญัติว่า การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใดจะต้องกระทำโดยอาศัยพยานหลักฐานในสำนวนคดีนั้น เว้นแต่ (3) ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล มาตรา 99 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้าศาลเห็นว่าจำเป็นที่จะต้องตรวจบุคคล วัตถุ สถานที่ หรือตั้งผู้เชี่ยวชาญตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 129 และ 130 เมื่อศาลเห็นสมควร ไม่ว่าการพิจารณาคดีจะอยู่ในชั้นใด หรือเมื่อมีคำขอของคู่ความฝ่ายใดภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 87 และ 88 ให้ศาลมีอำนาจออกคำสั่งกำหนดการตรวจหรือการแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญเช่นว่านั้นได้ ดังนี้ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ข.) เลขที่ 274 จำเลยทั้งสองนำรถแบ็กโฮและรถไถเกรดเข้าไปปรับไถพื้นที่และโค่นไม้ยืนต้นจำนวนมาก เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองปรับถมที่ดินโฉนดเลขที่ 15537 ของจำเลยทั้งสองโดยมิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เช่นนี้ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า 1) โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ 2) ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสอง 3) โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสองหรือไม่ เพียงใด ดังที่ศาลชั้นต้นกำหนดและให้โจทก์นำสืบก่อน โดยโจทก์อ้างตนเองเป็นพยาน และมีนายสถาพรเบิกความสนับสนุนในทำนองเดียวกันว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ข.) เลขที่ 274 ซึ่งเป็นมรดกตกทอดสืบจากบรรพบุรุษมากว่า 100 ปี โดยที่ราบลุ่มใช้ทำนา ที่ดอนใช้ทำสวนปลูกต้นผลไม้ เช่น ขนุน ไผ่ ฉำฉา แนวเขตการครอบครองทำประโยชน์ด้านทิศใต้จรดร่องน้ำ (หมายถึงลำเหมืองสาธารณประโยชน์) จำเลยทั้งสองบุกรุกที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศใต้ (ในกรอบสีเขียว) ตามแผนที่พิพาท โดยนำรถแบ็กโฮและรถเกรดเข้าไปปรับไถพื้นที่และโค่นไม้ยืนต้นเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 4 มีนาคม 2564 ในวันดังกล่าวนายวิษณุ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดน่านมาศาลตามที่โจทก์ขอหมายเรียกไว้ ศาลชั้นต้นสอบคู่ความและนายวิษณุได้ความว่า ที่พิพาทได้มีการรังวัดสอบเขตแน่นอนแล้ว ขอให้ศาลไปเดินเผชิญสืบเพื่อเจ้าพนักงานที่ดินจะนำชี้หลักเขตให้เห็นสภาพที่แท้จริง ศาลชั้นต้นนัดเดินเผชิญสืบวันที่ 5 มีนาคม 2564 วันดังกล่าวมีโจทก์ ทนายโจทก์ จำเลยทั้งสอง ทนายจำเลยทั้งสอง นายวิษณุ และนายภานุวัฒน์ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดน่านมาพร้อม เจ้าพนักงานที่ดินขึงเชือกฟางตามหลักหมุดในภาพถ่ายแนบท้ายรายงานกระบวนพิจารณาประกอบแผนผัง ซึ่งคู่ความทั้งสองฝ่ายลงชื่อรับรองความถูกต้องและแถลงสละประเด็นข้อ 2) ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสอง แล้วศาลชั้นต้นให้สืบพยานจำเลยทั้งสองต่อไป จำเลยทั้งสองมีจำเลยที่ 2 อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ เนื่องจากหลักเขตไม่แน่นอน ที่ดินโฉนดเลขที่ 15537 เป็นของจำเลยทั้งสอง การปรับไถพื้นที่จำเลยทั้งสองอาศัยแนวเขตจาก GOOGLE MAP และให้ช่างรังวัดสอบเขตที่ดิน ต้นไม้ที่ตัดอยู่ในเขตที่ดินของจำเลยทั้งสอง ดังนี้ เมื่อพิจารณารายงานกระบวนพิจารณาการเดินเผชิญสืบลงวันที่ 5 มีนาคม 2564 ภาพถ่ายแนบท้ายรายงาน ประกอบแผนผัง ซึ่งคู่ความทั้งสองฝ่ายลงชื่อรับรองความถูกต้องตรงกับที่โจทก์และจำเลยทั้งสองนำสืบว่า โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ข.) เลขที่ 274 ในฟ้องตามแนวเขตด้านทิศใต้จนจรดลำเหมืองสาธารณประโยชน์ ซึ่งส่วนหนึ่งครอบที่ดินโฉนดเลขที่ 15537 (ในกรอบสีน้ำเงิน) และที่ดินโฉนดเลขที่ 15530 (ในกรอบสีแดง) ที่จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม แต่เมื่อหักที่ดินของจำเลยที่ 2 ทั้งสองแปลงออกแล้ว จำเลยทั้งสองยังคงบุกรุกแผ้วถางที่ดินและต้นผลไม้ที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์อยู่ประมาณ 2 ไร่เศษ คือที่พิพาทในกรอบสีเขียว เยี่ยงนี้ กรณีจึงไม่จำต้องสืบพยานและวินิจฉัยประเด็นพิพาทข้อ 2) ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสองต่อไป ที่คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงสละประเด็นข้อ 2) จึงเป็นไปดังที่คู่ความได้ยอมรับข้อเท็จจริงกันในความรับรู้ของศาลแล้วตามหลักความประสงค์ของคู่ความ (principle of party disposition) ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 (3) และมาตรา 99 วรรคหนึ่ง การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นชอบแล้ว ข้อเท็จจริงย่อมฟังเป็นยุติว่า จำเลยทั้งสองบุกรุกแผ้วถางที่ดินและต้นไม้ที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์อยู่ประมาณ 2 ไร่เศษ คือที่พิพาทในกรอบสีเขียวโดยไม่ต้องใช้พยานหลักฐาน ไม่ต้องอาศัยกฎเกณฑ์เรื่องหน้าที่นำสืบ เรื่องการรับฟังพยานหลักฐานหรือเรื่องการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานแต่อย่างใด ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่มีอำนาจยกประเด็นข้อพิพาทข้อ 2) ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสอง ซึ่งคู่ความสละและยุติแล้วขึ้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์กับพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

*คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อต่อไปว่า โจทก์เสียหายเพียงใด โดยโจทก์ฎีกาว่า โจทก์เสียหายเป็นเงินจำนวน 500,000 บาท นั้น โจทก์มิได้นำสืบให้ศาลเห็นว่า จำเลยทั้งสองไถปรับดินและโค่นต้นไม้ของโจทก์คิดคำนวณเป็นเงินดังกล่าวได้อย่างไร ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้ 250,000 บาท ไม่ชอบไม่ถูกต้องอย่างไร ที่ชอบที่ถูกต้องควรเป็นจำนวนเท่าใด เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง จึงไม่เห็นสมควรวินิจฉัย และที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ 250,000 บาท เหมาะสมแล้ว

*อนึ่ง ตามที่ได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 มาตรา 4 ยกเลิกความในมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ไม่กระทบถึงอัตราดอกเบี้ยในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ และมาตรา 7 ให้นำบทบัญญัติมาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ใช้แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 มีผลใช้บังคับในวันที่ 11 เมษายน 2564 จึงให้ใช้อัตราดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ในอัตราใหม่ดังกล่าว การกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา

*พิพากษากลับว่า ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ข.) เลขที่ 274 หมู่ที่ 4 ซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์ตามแผนผัง เว้นแต่ที่ดินโฉนดเลขที่ 15537 และที่ดินโฉนดเลขที่ 15530 ในกรอบสีน้ำเงินและสีแดง ให้จำเลยทั้งสองร่วมชำระเงิน 250,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปีแต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอท้ายฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามชั้นศาลให้เป็นพับ




เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความแพ่ง

การเข้ารับมรดกความกรณีคดีถึงที่สุดแล้วได้หรือไม่และเป็นการขัดต่อ ป.วิ.แพ่ง มาตรา 42 หรือไม่
ใครบ้างมีคุณสมบัติเป็นบุคคลที่จะเข้าแทนที่คู่ความผู้มรณะได้, ศาลฎีกาวินิจฉัยคู่ความผู้มรณะ
คำสั่งคดีมีมูลเป็นที่สุดห้ามอุทธรณ์, การเพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ, สิทธิในการขอพิจารณาใหม่
คดีก่อนคู่ความตกลงท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะคดี, ฟ้องซ้ำในคดีแพ่ง, สิทธิขับไล่จากที่ดินกรรมสิทธิ์รวม,
ฟ้องแย้งในคดีแพ่ง, การผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน, การเรียกเงินมัดจำคืนตามสัญญา
สัญญาประนีประนอมยอมความตกลงยุติคดี-ฟ้องซ้ำ
พิพากษาที่เกินคำขอและขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 1548 อันเป็นการไม่ชอบ
ฟ้องแย้งของจำเลยแตกต่างกันกับคำฟ้องเดิม
ค่าสินไหมทดแทนที่จำนวนเงินไม่แน่นอนต้องนำสืบพยาน
ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
ข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์
ฟ้องปลูกสร้างผิดต่อข้อบัญญัติของกรุงเทพมหานคร
ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขอ
คดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์มีทุนทรัพย์
รับฟังพยานหลักฐานฝ่าฝืนกฎหมาย
ภาษีโรงเรือนและที่ดิน
หน้าที่ในการเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน
ขาดนัดยื่นคำให้การ-สิทธิถามค้าน การพิจารณาผิดระเบียบ
โจทก์ร่วมไม่จำต้องจัดทำคำให้การใหม่เพื่อแก้คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลย
วันนัดชี้สองสถาน
ห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
คำร้องสอด
การส่งคำสั่งอายัดของเจ้าพนักงานบังคับคดี
สิทธิในฐานะผู้รับจำนอง -ขอรับชำระหนี้ได้ก่อนเจ้าหนี้อื่น
การบรรยายคำฟ้องที่มิได้ระบุวัน เวลาที่แน่ชัดว่าเป็นวันที่เท่าใด ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
ยื่นฟ้องคดีอันไม่มีข้อพิพาทแต่ได้มีบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องในคดี
การยื่นคำร้องในชั้นบังคับคดีไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
ส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลยไม่ครบหน้าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คู่ความจะนำคดีเรื่องที่เคยพิพาทมาฟ้องกันใหม่อีกไม่ได้
การยื่นอุทธรณ์คำสั่งภายในกำหนด 1 เดือน
ฟ้องขับไล่- แสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลา 8 วัน
เพิกถอนการขายทอดตลาดหากเป็นประวิงให้ชักช้าต้องรับผิดชดค่าสินไหมทดแทน
ผู้สวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้เป็นผู้มีส่วนได้เสีย เพิกถอนการขายทอดตลาด
ฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้น-ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์
ในคดีเดิมเป็นเพียงคู่ความตกลงยุติคดีไม่ดำเนินการต่อเท่านั้นไม่เป็นฟ้องซ้ำ
การยื่นและการส่งคำคู่ความในคดีฟอกเงิน
ให้คู่ความฝ่ายที่แพ้คดีต้องชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียม
ค่าขาดไร้อุปการะเป็นหนี้ที่แบ่งแยกเป็นส่วนแต่ละคน
เจ้าหนี้ผู้รับจำนองขอรับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดที่ดิน
การมีอยู่ขององค์กรสาธารณประโยชน์ที่ได้รับรองแล้ว
กระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษา-ฟ้องซ้ำ
ยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีเพื่อเป็นคู่ความฝ่ายที่สามในคดีอาญา
อายัดเงินปันผลของหุ้นได้แม้จะพ้นระยะเวลา 10 ปีแล้ว
เจ้าหนี้บุริมสิทธิ มิได้ร้องขอให้บังคับคดีภายในสิบปี
คำสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง นอกฟ้องนอกประเด็น
สิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนของผู้รับจำนอง
ฟ้องซ้ำ คดีถึงที่สุดห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก
โจทก์และจำเลยต่างมีสภาพเป็น"เจ้าหนี้" และ "ลูกหนี้" ตามคำพิพากษา
จำเลยไม่ใช่บุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลออกคำบังคับ
ไม่เกินห้าหมื่นบาทห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
การร้องขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดต้องอ้างว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของทรัพย์
เงื่อนเวลาเริ่มต้น-สิ้นสุดให้สันนิษฐานว่าเพื่อประโยชน์แก่ฝ่ายลูกหนี้
นำใบแต่งทนายความซึ่งปลอมลายมือชื่อไปทำสัญญายอม
อำนาจว่าความหรือดำเนินกระบวนพิจารณาของทนายความในศาล
ฟ้องเคลือบคลุม, สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข, วางประจำไว้หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ
ค่าเสียหายตามคำพิพากษาและค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทน
ผู้ร้องสอดต้องมีส่วนได้เสียกับคู่ความเดิมถือเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม
แก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยเป็นข้อยกเว้นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 180
ยื่นเอกสารฝ่าฝืนต่อกฎหมายไม่อาจรับฟังเป็นพยานได้(ยื่นชั้นอุทธรณ์ฎีกา)
จำเลยฟ้องแย้ง-โจทก์ทิ้งฟ้อง ไม่มีผลให้ฟ้องแย้งตกไป
อำนาจปกครองบุตร-มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลใด?
ดุลพินิจสั่งค่าฤชาธรรมเนียมคำนึงความสุจริตของคู่ความ
พินัยกรรมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่?ไม่มีประเด็นข้อพิพาท
มีเส้นทางอื่นออกไม่ตัดสิทธิขอคุ้มครองประโยชน์
คำขอให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา
คำร้องขอขยายระยะเวลาในการวางเงินค่าธรรมเนียมตามมาตรา 229
ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์แล้วคดีอยู่ในอำนาจศาลอุทธรณ์
คำสั่งรับหรือไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย
ไม่รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
การส่งหมายนัดไต่สวน-สำเนาคำร้องไม่ชอบ
คำสั่งให้โจทก์นำส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้อง
เพิกถอนการขายทอดตลาด
คำฟ้องโจทก์ไม่มีลายมือชื่อของผู้เรียงพิมพ์
คณะบุคคลไม่อาจเป็นคู่ความในคดีได้
มอบอำนาจให้ฟ้องคดีไว้ล่วงหน้าก่อนเกิดสิทธิฟ้อง
หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนระบุชื่อศาลผิด
หน้าที่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐาน
อำนาจฟ้องที่รัฐเป็นผู้เสียหาย
ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
วินิจฉัยนอกเหนือไปจากคำฟ้องและคำให้การ
เข้าเป็นโจทก์ร่วมต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยด้วย
ใครมีอำนาจอนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้
การถอนการบังคับคดี | คำพิพากษาถูกกลับชั้นที่สุด
ยังไม่ผิดสัญญายังไม่มีเหตุขอออกหมายบังคับคดีได้
แจ้งคำสั่งขายทอดตลาดแก่ผู้มีส่วนได้เสีย คู่สมรสไม่มีชื่อในโฉนดที่ดิน
คำสั่งศาลที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งไม่ชอบ
ขอให้เพิกถอนการพิจารณาคดีของศาล มีพยานหลักฐานใหม่
ผู้เสียหายฐานละเมิดอำนาจศาล