

การสละประเด็นข้อพิพาท, อำนาจศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (3), อัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายแพ่งใหม่ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ • คำพิพากษาศาลฎีกา 1201/2567 • ข้อพิพาทที่ดิน ศาลฎีกา • การสละประเด็นข้อพิพาท • สิทธิการครอบครองที่ดิน • ค่าชดเชยความเสียหายที่ดิน • อำนาจศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (3) • อัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายแพ่งใหม่ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1201/2567 สรุปได้ว่า คู่ความตกลงยอมรับเรื่องความเป็นเจ้าของที่ดินและสละข้อพิพาทเรื่องนี้ จึงไม่ต้องสืบพยานเพิ่มเติมและศาลไม่ต้องพิจารณาอีก โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองงดรุกล้ำที่ดินและเรียกค่าเสียหาย 500,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้ 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ครอบครองที่ดินตามแนวเขตที่ยอมรับและจำเลยรุกล้ำ ศาลฎีกาพิพากษากลับให้จำเลยชดใช้ 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามอัตราใหม่ โดยให้ค่าธรรมเนียมเป็นพับ หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษานี้ ประกอบด้วย มาตรา 84 (3) และ มาตรา 99 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้: 1.มาตรา 84 (3) ระบุว่า หากคู่ความได้ยอมรับข้อเท็จจริงบางประการต่อศาลแล้ว ข้อเท็จจริงนั้นไม่จำเป็นต้องสืบพยานเพิ่มเติมอีก ศาลสามารถพิจารณาข้อเท็จจริงดังกล่าวได้เลย เนื่องจากถือว่าคู่ความมีเจตนาไม่โต้แย้งเรื่องนี้อีกต่อไป ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่คู่ความยอมรับร่วมกันจึงสามารถใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการสืบพยานอีก 2.มาตรา 99 วรรคหนึ่ง กล่าวถึงอำนาจของศาลในการสั่งให้ตรวจสอบหลักฐานบุคคล วัตถุ หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องในคดี หากเห็นว่าจำเป็นสำหรับการพิจารณาคดี โดยศาลอาจสั่งให้ผู้เชี่ยวชาญดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อความชัดเจน เช่น การรังวัดที่ดินในคดีที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทเรื่องที่ดิน เป็นต้น หลักการทั้งสองมาตรานี้มีบทบาทสำคัญในคดีนี้ โดยมาตรา 84 (3) อนุญาตให้ศาลรับข้อเท็จจริงที่คู่ความยอมรับได้โดยไม่ต้องสืบพยานเพิ่มเติม ซึ่งช่วยให้กระบวนการพิจารณารวดเร็วขึ้น ขณะที่มาตรา 99 วรรคหนึ่งให้อำนาจศาลในการสั่งตรวจสอบหลักฐาน เพื่อให้เกิดความชัดเจนในข้อพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1201/2567 ในวันนัดเดินเผชิญสืบ คู่ความทั้งสองฝ่ายลงชื่อรับรองความถูกต้องของแผนผังและแถลงสละประเด็นพิพาท ข้อ 2 ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสอง กรณีจึงไม่จำต้องสืบพยานและวินิจฉัยประเด็นพิพาท ข้อ 2 อีกต่อไป ข้อเท็จจริงจึงเป็นไปตามที่คู่ความยอมรับกันในความรับรู้ของศาลตามหลักความประสงค์ของคู่ความ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (3) และมาตรา 99 วรรคหนึ่ง โดยไม่ต้องใช้พยานหลักฐาน ไม่ต้องอาศัยกฎเกณฑ์เรื่องหน้าที่นำสืบ เรื่องการรับฟังพยานหลักฐานหรือเรื่องการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานแต่อย่างใด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1201/2567 ในวันนัดเดินเผชิญสืบ คู่ความทั้งสองฝ่ายลงชื่อรับรองความถูกต้องของแผนผังและแถลงสละประเด็นพิพาท ข้อ 2 ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสอง กรณีจึงไม่จำต้องสืบพยานและวินิจฉัยประเด็นพิพาท ข้อ 2 อีกต่อไป ข้อเท็จจริงจึงเป็นไปตามที่คู่ความยอมรับกันในความรับรู้ของศาลตามหลักความประสงค์ของคู่ความ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (3) และมาตรา 99 วรรคหนึ่ง โดยไม่ต้องใช้พยานหลักฐาน ไม่ต้องอาศัยกฎเกณฑ์เรื่องหน้าที่นำสืบ เรื่องการรับฟังพยานหลักฐานหรือเรื่องการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานแต่อย่างใด *โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ *จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง *ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 10,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ *โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ *ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ คืนค่าธรรมเนียมใช้แทน 5,000 บาท แก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่ศาลสั่งคืนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีทั้งสองศาลให้เป็นพับ *โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา *ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความว่า โจทก์มีชื่อเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ข.) เลขที่ 274 เนื้อที่ 19 ไร่ 61 ตารางวา จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการมีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนในที่ดินโฉนดเลขที่ 15537 และจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนในที่ดินโฉนดเลขที่ 15530 วันที่ 17 สิงหาคม 2563 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดน่านจัดทำแผนที่พิพาท จำเลยทั้งสองไม่ไปนำชี้และไม่รับรองแผนที่พิพาท วันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 ชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า 1) โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ 2) ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสอง 3) โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสองหรือไม่ เพียงใด วันที่ 5 มีนาคม 2564 ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบที่พิพาท โจทก์และจำเลยทั้งสองรับรองความถูกต้องของแนวเขตตามแผนผัง คู่ความแถลงสละประเด็นข้อพิพาทในข้อ 2 *พิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ซึ่งยกประเด็นข้อพิพาทข้อ 2) ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสอง ซึ่งคู่ความสละแล้วขึ้นวินิจฉัยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 บัญญัติว่า การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใดจะต้องกระทำโดยอาศัยพยานหลักฐานในสำนวนคดีนั้น เว้นแต่ (3) ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล มาตรา 99 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้าศาลเห็นว่าจำเป็นที่จะต้องตรวจบุคคล วัตถุ สถานที่ หรือตั้งผู้เชี่ยวชาญตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 129 และ 130 เมื่อศาลเห็นสมควร ไม่ว่าการพิจารณาคดีจะอยู่ในชั้นใด หรือเมื่อมีคำขอของคู่ความฝ่ายใดภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 87 และ 88 ให้ศาลมีอำนาจออกคำสั่งกำหนดการตรวจหรือการแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญเช่นว่านั้นได้ ดังนี้ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ข.) เลขที่ 274 จำเลยทั้งสองนำรถแบ็กโฮและรถไถเกรดเข้าไปปรับไถพื้นที่และโค่นไม้ยืนต้นจำนวนมาก เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองปรับถมที่ดินโฉนดเลขที่ 15537 ของจำเลยทั้งสองโดยมิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เช่นนี้ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า 1) โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ 2) ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสอง 3) โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสองหรือไม่ เพียงใด ดังที่ศาลชั้นต้นกำหนดและให้โจทก์นำสืบก่อน โดยโจทก์อ้างตนเองเป็นพยาน และมีนายสถาพรเบิกความสนับสนุนในทำนองเดียวกันว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ข.) เลขที่ 274 ซึ่งเป็นมรดกตกทอดสืบจากบรรพบุรุษมากว่า 100 ปี โดยที่ราบลุ่มใช้ทำนา ที่ดอนใช้ทำสวนปลูกต้นผลไม้ เช่น ขนุน ไผ่ ฉำฉา แนวเขตการครอบครองทำประโยชน์ด้านทิศใต้จรดร่องน้ำ (หมายถึงลำเหมืองสาธารณประโยชน์) จำเลยทั้งสองบุกรุกที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศใต้ (ในกรอบสีเขียว) ตามแผนที่พิพาท โดยนำรถแบ็กโฮและรถเกรดเข้าไปปรับไถพื้นที่และโค่นไม้ยืนต้นเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 4 มีนาคม 2564 ในวันดังกล่าวนายวิษณุ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดน่านมาศาลตามที่โจทก์ขอหมายเรียกไว้ ศาลชั้นต้นสอบคู่ความและนายวิษณุได้ความว่า ที่พิพาทได้มีการรังวัดสอบเขตแน่นอนแล้ว ขอให้ศาลไปเดินเผชิญสืบเพื่อเจ้าพนักงานที่ดินจะนำชี้หลักเขตให้เห็นสภาพที่แท้จริง ศาลชั้นต้นนัดเดินเผชิญสืบวันที่ 5 มีนาคม 2564 วันดังกล่าวมีโจทก์ ทนายโจทก์ จำเลยทั้งสอง ทนายจำเลยทั้งสอง นายวิษณุ และนายภานุวัฒน์ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดน่านมาพร้อม เจ้าพนักงานที่ดินขึงเชือกฟางตามหลักหมุดในภาพถ่ายแนบท้ายรายงานกระบวนพิจารณาประกอบแผนผัง ซึ่งคู่ความทั้งสองฝ่ายลงชื่อรับรองความถูกต้องและแถลงสละประเด็นข้อ 2) ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสอง แล้วศาลชั้นต้นให้สืบพยานจำเลยทั้งสองต่อไป จำเลยทั้งสองมีจำเลยที่ 2 อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ เนื่องจากหลักเขตไม่แน่นอน ที่ดินโฉนดเลขที่ 15537 เป็นของจำเลยทั้งสอง การปรับไถพื้นที่จำเลยทั้งสองอาศัยแนวเขตจาก GOOGLE MAP และให้ช่างรังวัดสอบเขตที่ดิน ต้นไม้ที่ตัดอยู่ในเขตที่ดินของจำเลยทั้งสอง ดังนี้ เมื่อพิจารณารายงานกระบวนพิจารณาการเดินเผชิญสืบลงวันที่ 5 มีนาคม 2564 ภาพถ่ายแนบท้ายรายงาน ประกอบแผนผัง ซึ่งคู่ความทั้งสองฝ่ายลงชื่อรับรองความถูกต้องตรงกับที่โจทก์และจำเลยทั้งสองนำสืบว่า โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ข.) เลขที่ 274 ในฟ้องตามแนวเขตด้านทิศใต้จนจรดลำเหมืองสาธารณประโยชน์ ซึ่งส่วนหนึ่งครอบที่ดินโฉนดเลขที่ 15537 (ในกรอบสีน้ำเงิน) และที่ดินโฉนดเลขที่ 15530 (ในกรอบสีแดง) ที่จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม แต่เมื่อหักที่ดินของจำเลยที่ 2 ทั้งสองแปลงออกแล้ว จำเลยทั้งสองยังคงบุกรุกแผ้วถางที่ดินและต้นผลไม้ที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์อยู่ประมาณ 2 ไร่เศษ คือที่พิพาทในกรอบสีเขียว เยี่ยงนี้ กรณีจึงไม่จำต้องสืบพยานและวินิจฉัยประเด็นพิพาทข้อ 2) ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสองต่อไป ที่คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงสละประเด็นข้อ 2) จึงเป็นไปดังที่คู่ความได้ยอมรับข้อเท็จจริงกันในความรับรู้ของศาลแล้วตามหลักความประสงค์ของคู่ความ (principle of party disposition) ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 (3) และมาตรา 99 วรรคหนึ่ง การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นชอบแล้ว ข้อเท็จจริงย่อมฟังเป็นยุติว่า จำเลยทั้งสองบุกรุกแผ้วถางที่ดินและต้นไม้ที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์อยู่ประมาณ 2 ไร่เศษ คือที่พิพาทในกรอบสีเขียวโดยไม่ต้องใช้พยานหลักฐาน ไม่ต้องอาศัยกฎเกณฑ์เรื่องหน้าที่นำสืบ เรื่องการรับฟังพยานหลักฐานหรือเรื่องการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานแต่อย่างใด ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่มีอำนาจยกประเด็นข้อพิพาทข้อ 2) ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสอง ซึ่งคู่ความสละและยุติแล้วขึ้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์กับพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น *คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อต่อไปว่า โจทก์เสียหายเพียงใด โดยโจทก์ฎีกาว่า โจทก์เสียหายเป็นเงินจำนวน 500,000 บาท นั้น โจทก์มิได้นำสืบให้ศาลเห็นว่า จำเลยทั้งสองไถปรับดินและโค่นต้นไม้ของโจทก์คิดคำนวณเป็นเงินดังกล่าวได้อย่างไร ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้ 250,000 บาท ไม่ชอบไม่ถูกต้องอย่างไร ที่ชอบที่ถูกต้องควรเป็นจำนวนเท่าใด เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง จึงไม่เห็นสมควรวินิจฉัย และที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ 250,000 บาท เหมาะสมแล้ว *อนึ่ง ตามที่ได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 มาตรา 4 ยกเลิกความในมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ไม่กระทบถึงอัตราดอกเบี้ยในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ และมาตรา 7 ให้นำบทบัญญัติมาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ใช้แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 มีผลใช้บังคับในวันที่ 11 เมษายน 2564 จึงให้ใช้อัตราดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ในอัตราใหม่ดังกล่าว การกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา *พิพากษากลับว่า ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ข.) เลขที่ 274 หมู่ที่ 4 ซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์ตามแผนผัง เว้นแต่ที่ดินโฉนดเลขที่ 15537 และที่ดินโฉนดเลขที่ 15530 ในกรอบสีน้ำเงินและสีแดง ให้จำเลยทั้งสองร่วมชำระเงิน 250,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปีแต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอท้ายฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามชั้นศาลให้เป็นพับ |