

คำสั่งคดีมีมูลเป็นที่สุดห้ามอุทธรณ์, การเพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ, สิทธิในการขอพิจารณาใหม่ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ คำสั่งคดีมีมูลเป็นที่สุดห้ามอุทธรณ์, การเพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ, สิทธิในการขอพิจารณาใหม่ *คำสั่งให้คดีมีมูลตาม ป.วิ.อ. มาตรา 170 ถือเป็นคำสั่งเด็ดขาดที่ห้ามอุทธรณ์หรือฎีกา ยกเว้นการคัดค้านกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ซึ่งสามารถยื่นเพิกถอนได้ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง* ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีในส่วนอาญาถึงที่สุดแล้วตาม ป.วิ.อ. มาตรา 170 ซึ่งบัญญัติว่าคำสั่งให้คดีมีมูลถือเป็นคำสั่งเด็ดขาดที่ไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้ ยกเว้นการคัดค้านเรื่องกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ โดยศาลชั้นต้นมีอำนาจเพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าวได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในกรณีนี้ จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาภายในกำหนดเวลา ศาลชั้นต้นจึงสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาและจัดไต่สวนมูลฟ้องใหม่ แต่โจทก์ไม่สามารถนำพยานเข้าสืบได้ ทำให้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในส่วนของจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 สั่งให้พิจารณาคดีส่วนแพ่งต่อไป แต่โจทก์ฎีกาว่าศาลชั้นต้นไม่คืนค่าขึ้นศาล ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่ง จึงไม่มีเหตุให้คืนค่าขึ้นศาล และพิพากษายืนตามคำตัดสินเดิม สรุป คำสั่งให้คดีมีมูลตามมาตรา 170 เป็นคำสั่งเด็ดขาด ไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้ แต่การคัดค้านเรื่องกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบยังสามารถทำได้ในกรอบของกฎหมายที่กำหนด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1714/2567 คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาดตามบทบัญญัติมาตรา 170 แห่ง ป.วิ.อ. ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ฎีกา หมายถึงเฉพาะคำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลเท่านั้น แต่หากเป็นการคัดค้านเรื่องผิดระเบียบ คู่ความฝ่ายที่ได้รับความเสียหายอาจยกขึ้นกล่าวอ้างได้ และศาลชั้นต้นอาจมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และ พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 จึงไม่ต้องห้ามจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแต่อย่างใด และไม่ทำให้คดีในส่วนอาญาถึงที่สุด
***โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงิน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2563 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาตั้งแต่การส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยที่ 1 ทราบนัดโดยชอบแล้ว คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด จำเลยที่ 1 ไม่อาจขอให้พิจารณาใหม่ได้ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 ใหม่ และนัดไต่สวนมูลฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ในวันที่ 22 สิงหาคม 2565 ครั้นถึงวันนัดโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ ศาลชั้นต้นจึงพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์อุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งคำฟ้องของโจทก์ในคดีส่วนแพ่งสำหรับจำเลยที่ 1 ต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง *ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีในส่วนอาญาถึงที่สุดแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 ซึ่งบัญญัติว่า คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด คู่ความไม่สามารถอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้ ดังนั้นศาลชั้นต้นรับคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้เฉพาะคดีในส่วนแพ่งเท่านั้น แต่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาคดีในส่วนอาญาให้ยกฟ้องโจทก์ด้วยจึงไม่ชอบ เห็นว่า คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาดตามบทบัญญัติมาตรา 170 ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ฎีกา หมายถึงเฉพาะคำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลเท่านั้น แต่หากเป็นการคัดค้านเรื่องผิดระเบียบ คู่ความฝ่ายที่ได้รับความเสียหายอาจยกขึ้นกล่าวอ้างได้ และศาลชั้นต้นอาจมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 จึงไม่ต้องห้ามจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแต่อย่างใด และไม่ทำให้คดีในส่วนอาญาถึงที่สุดตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ทราบว่าถูกฟ้องเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2565 แต่กลับยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่วันที่ 2 พฤษภาคม 2565 เกินกำหนดแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์แห่งข้ออ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง และเกินกำหนดสิบห้าวันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 ประกอบมาตรา 199 จัตวา วรรคหนึ่ง จึงไม่ชอบนั้น ในข้อนี้ได้ความตามคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2565 ว่าจำเลยที่ 1 ทราบเรื่องการถูกฟ้องเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2565 เนื่องจากโจทก์ส่งข้อความและสำเนาคำฟ้องมาทางแอปพลิเคชันไลน์แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบและแจ้งให้เดินทางไปศาลวันที่ 2 พฤษภาคม 2565 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ทราบว่ามีการส่งหมายนัดไต่สวนมูลฟ้องของศาลชั้นต้นมาถึงตน กระทั่งวันที่ 25 เมษายน 2565 จำเลยที่ 1 มอบหมายให้ทนายความไปตรวจสำนวนที่ศาลชั้นต้น จึงทราบว่าโจทก์นำพยานเข้าไต่สวนเสร็จแล้วและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ประทับรับฟ้องจำเลยทั้งสองไว้พิจารณา จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ทราบกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2565 ซึ่งเป็นวันที่ทนายจำเลยที่ 1 ไปตรวจสำนวนที่ศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ วันที่ 2 พฤษภาคม 2565 จึงไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ทราบพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 ส่วนที่อ้างว่า จำเลยยื่นเกินกำหนดสิบห้าวันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 ประกอบมาตรา 199 จัตวา วรรคหนึ่งนั้น บทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติการขอให้พิจารณาคดีใหม่ในคดีแพ่ง ข้อกล่าวอ้างของโจทก์จึงเป็นคนละกรณีกับคดีนี้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 1 โดยไม่รับฟังคำพยานของโจทก์สองปากที่ไต่สวนมูลฟ้องมาแล้วเป็นการไม่ชอบนั้น เมื่อพิจารณารายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ฉบับลงวันที่ 22 สิงหาคม 2565 ซึ่งเป็นวันนัดไต่สวนมูลฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า ทนายโจทก์แถลงว่า ประสงค์จะนำนายเทียรชัยกับนางสาววรรณธิดามาเป็นพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แต่พยานทั้งสองปากเห็นว่าได้เบิกความแล้วเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 และศาลมีคำสั่งให้คดีมีมูลไปแล้ว จึงไม่เดินทางมาศาล และจะไม่มาเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องอีก ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า การนัดไต่สวนมูลฟ้องครั้งนี้เนื่องจากส่งหมายนัดไต่สวนมูลฟ้องและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 ไม่ชอบ จึงกำหนดวันนัดไต่สวนมูลฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ขึ้นมาใหม่ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมาเบิกความเท่ากับโจทก์ไม่มีพยานมาไต่สวนให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ถือว่าคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ไม่มีมูล และพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 การที่ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนมูลฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ทำให้กระบวนพิจารณาเดิมตั้งแต่การส่งหมายนัดไต่สวนและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 ตลอดจนคำสั่งที่ให้คดีมีมูลสำหรับจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นอันยกเลิกไป ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องใหม่เฉพาะจำเลยที่ 1 โจทก์ยังต้องนำพยานมาไต่สวน แม้ว่านายเทียรชัย ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ และนางสาววรรณธิดา จะมาเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วครั้งหนึ่ง แต่ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ในวันที่ 22 สิงหาคม 2565 ทนายโจทก์ยังมีหน้าที่นำพยานเข้าไต่สวนเพื่อให้ได้ความว่าคดีสำหรับจำเลยที่ 1 มีมูล หากพยานทั้งสองไม่มาศาลในวันนัดดังกล่าว ทนายโจทก์อาจแถลงขอให้ศาลชั้นต้นเลื่อนการไต่สวนออกไปก่อนเพื่อติดตามพยานทั้งสองมาไต่สวนในนัดหน้า หรือแถลงขอให้ศาลชั้นต้นนำคำเบิกความของพยานทั้งสองที่เคยเบิกความมาแล้วในชั้นไต่สวนมูลฟ้องครั้งแรกมาเป็นคำเบิกความพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องในครั้งนี้ โดยคู่ความตกลงกันก็ย่อมทำได้ แต่ทนายโจทก์หาทำเช่นนั้นไม่ กลับแถลงยืนยันว่าพยานทั้งสองจะไม่มาเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องอีก จึงถือได้ว่าเป็นความบกพร่องของทนายโจทก์เองที่ไม่มีพยานมาสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยฟังว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ฟังได้ว่าคดีสำหรับจำเลยที่ 1 มีมูล จึงเป็นการพิพากษาโดยชอบแล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในส่วนแพ่ง 60,000 บาท แต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลเฉพาะจำเลยที่ 1 โดยไม่คืนเงินค่าขึ้นศาลดังกล่าวให้แก่โจทก์ย่อมขัดต่อกฎหมายนั้น คดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียว แต่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ร่วมกันรับผิดคืนเงินให้แก่โจทก์ด้วย ค่าขึ้นศาลดังกล่าวจึงเป็นค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ต้องชำระในคดีส่วนแพ่ง ไม่เกี่ยวข้องกับในคดีส่วนอาญาแต่อย่างใด อีกทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งคำฟ้องของโจทก์ในคดีส่วนแพ่งสำหรับจำเลยที่ 1 ต่อไปด้วย ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นไม่มีคำสั่งให้คืนค่าขึ้นศาล 60,000 บาท แก่โจทก์จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาปลีกย่อยของโจทก์ในประเด็นอื่นไม่มีผลทำให้คำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่วินิจฉัยให้ *พิพากษายืน
• คำสั่งคดีมีมูล ป.วิ.อ. มาตรา 170 • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1714/2567 • อุทธรณ์ฎีกาคำสั่งคดีมีมูล • หลักกฎหมายคำสั่งคดีมีมูล • คดีแพ่งและอาญาในศาลแขวง • การเพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ • การยื่นฎีกาคดีอาญา • คำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับมาตรา 170 • บทวิเคราะห์คำสั่งคดีมีมูล • การพิจารณาคดีใหม่ในส่วนแพ่ง สรุปคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1714/2567 มีสาระสำคัญดังนี้: คำสั่งให้คดีมีมูลตาม ป.วิ.อ. มาตรา 170 ถือว่าเป็นคำสั่งที่เด็ดขาด คู่ความไม่สามารถอุทธรณ์ฎีกาได้ ยกเว้นหากมีการกระทำผิดกระบวนการ คู่ความที่เสียหายสามารถยื่นคำร้องขอเพิกถอนได้ โดยศาลชั้นต้นสามารถพิจารณาเพิกถอนกระบวนการที่ผิดระเบียบนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับศาลแขวงและศาลจังหวัด กรณีนี้ จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิตามกฎหมายในการยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ในคดีนี้ โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองคืนเงิน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย และลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 83, 341 ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีมีมูลและรับฟ้อง จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนการพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาและมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณา พร้อมนัดไต่สวนมูลฟ้องใหม่ แต่โจทก์ไม่มีพยานมาสืบ ทำให้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 โจทก์อุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การไม่มีพยานในวันนัดแสดงให้เห็นว่าคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ไม่มีมูล การที่โจทก์ไม่สามารถนำนักพยานเข้าสืบได้ในวันนัดถือเป็นความบกพร่องของโจทก์ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งยกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1 โดยชอบแล้ว สำหรับค่าขึ้นศาล 60,000 บาทที่โจทก์เรียกร้องคืน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าค่าดังกล่าวเกี่ยวข้องกับคดีแพ่งซึ่งยังคงดำเนินการอยู่ในศาลชั้นต้นและไม่เกี่ยวข้องกับคดีอาญา จึงไม่สามารถคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์ได้ ดังนั้น ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 มีสาระสำคัญดังนี้: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 มาตรา 170 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา วางหลักเกี่ยวกับการพิจารณาว่าคดีมีมูล โดยเมื่อศาลไต่สวนพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์แล้วเห็นว่าคดีมีมูลก็จะมีคำสั่งรับฟ้อง คำสั่งนี้ถือเป็นคำสั่งเด็ดขาด ซึ่งหมายความว่าคู่ความไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งนี้ต่อไปได้อีก อย่างไรก็ตาม หากมีการคัดค้านกระบวนการที่ไม่ชอบ เช่น การไม่ส่งหมายหรือสำเนาคำฟ้องให้คู่ความครบถ้วน การผิดระเบียบต่างๆ ก็อาจถือว่ากระบวนพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมาย คู่ความที่ได้รับความเสียหายสามารถยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนี้ได้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 มาตรา 27 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กล่าวถึงสิทธิคู่ความที่ได้รับความเสียหายจากกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายสามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนการที่ผิดระเบียบนั้นได้ เพื่อให้การพิจารณาคดีดำเนินไปอย่างถูกต้องและเป็นธรรม มาตรา 27 ยังระบุให้การยื่นคำร้องเพื่อขอเพิกถอนกระบวนพิจารณานี้ต้องดำเนินการภายในแปดวันนับตั้งแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบถึงการกระทำที่ผิดระเบียบ หรือมีพฤติการณ์ให้เข้าใจได้ว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น การใช้มาตรา 27 ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับคดีอาญา เช่น การส่งหมายผิดพลาด หรือการไม่ปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติ ถือว่ามีผลให้กระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นถูกเพิกถอนไป ซึ่งในกรณีบทความข้างต้น การที่ศาลสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบส่งผลให้คำสั่งคดีมีมูลถูกยกเลิกไป *****คำสั่งให้คดีมีมูลตาม ป.วิ.อ. มาตรา 170 ถือว่าเป็นคำสั่งที่เด็ดขาด คู่ความไม่สามารถอุทธรณ์ฎีกาได้ หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 ระบุว่า ในกรณีที่ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ศาลจะสั่งให้คดีนั้นดำเนินไปตามกระบวนการพิจารณา ซึ่งคำสั่งให้คดีมีมูลถือว่าเป็นคำสั่งที่เด็ดขาด คู่ความไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งดังกล่าวได้ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ เช่น การยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาในบางกรณีที่เกี่ยวข้องกับสิทธิและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ การกำหนดให้คำสั่งนี้เด็ดขาดมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันความล่าช้าในกระบวนพิจารณาคดีและเพื่อให้การดำเนินคดีอาญาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า "คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด" ซึ่งหมายความว่าคู่ความไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งดังกล่าวได้ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับหลักการนี้ มีดังนี้: 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3629/2562: ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งที่ว่าคดีไม่มีมูล ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยลักษณะอุทธรณ์ฎีกา มิใช่โจทก์สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาได้ทุกคดีเสมอไป ฎีกาย่อ: ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 170 วรรคหนึ่ง คำสั่งศาลที่ให้คดีมีมูลเด็ดขาด ไม่อาจอุทธรณ์หรือฎีกาได้ ยกเว้นคำสั่งว่าคดีไม่มีมูลที่ต้องเป็นไปตามกฎหมาย คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีไม่มีมูลและเป็นเรื่องทางแพ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามอุทธรณ์ โจทก์ฎีกาว่าคดีมีมูล แต่ประเด็นนี้ไม่ได้ยกขึ้นโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามฎีกาตามกฎหมาย แม้โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัยได้ 2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4096/2562: ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่าฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาดตามมาตรา 170 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจหยิบยกข้อเท็จจริงสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ศาลชั้นต้นสั่งว่ามีมูลแล้วขึ้นมาทบทวนและวินิจฉัยยกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องได้ 3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1268/2558: ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ให้ประทับฟ้องในข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับข้อหาตามมาตรา 326 ด้วย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีมีมูลและให้ประทับฟ้องสำหรับข้อหาดังกล่าวแล้ว ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามขั้นตอนในชั้นพิจารณา ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จึงไม่มีอำนาจหยิบยกข้อเท็จจริงในข้อหาที่ศาลชั้นต้นสั่งว่ามีมูลแล้วขึ้นมาทบทวนและวินิจฉัยยกฟ้องข้อหาดังกล่าวในชั้นไต่สวนมูลฟ้องได้อีก ฎีกาย่อ: ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 167 และ 170 วรรคหนึ่ง หากศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องและดำเนินการพิจารณาต่อไป คำสั่งดังกล่าวถือเป็นเด็ดขาด ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่มีอำนาจหยิบยกข้อเท็จจริงในข้อหาที่ศาลชั้นต้นสั่งว่ามีมูลแล้วขึ้นมาทบทวนและวินิจฉัยยกฟ้องข้อหาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องอีก 4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 505/2562: ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาดตามมาตรา 170 วรรคหนึ่ง ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีซึ่งอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่กรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้ ฎีกาย่อ: โจทก์ฟ้องจำเลยฐานยักยอกตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคแรก โดยศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีไม่มีมูลและพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าที่ดินเป็นของโจทก์และจำเลยเบียดบังที่ดินดังกล่าว แต่การอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการคัดค้านดุลพินิจของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องเป็นไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 170, 193 และ 193 ทวิ ที่ใช้บังคับในชั้นไต่สวนมูลฟ้องด้วยเช่นกัน โจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงตามกฎหมาย.
5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3875/2529: ในคดีที่ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อโจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์จำต้องพิจารณาข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง เพื่อวินิจฉัยปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ เมื่อเห็นว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาต่อไปว่าคดีโจทก์มีมูลพอที่ศาลจะประทับฟ้องไว้พิจารณาได้หรือไม่ การขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเป็นกระบวนการที่ศาลสามารถสั่งให้แก้ไขหรือยกเลิกการดำเนินคดีที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่คู่ความ มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ ดังนี้: 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 986/2563: ศาลวินิจฉัยว่าหากมีการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย ศาลมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนพิจารณานั้น เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปด้วยความยุติธรรม ฎีกาย่อ: โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์หลายครั้ง โดยครั้งที่ 3 ศาลชั้นต้นอนุญาตถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 และครั้งที่ 4 ศาลยกคำร้องเพราะอ้างเหตุเดิม ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องวินิจฉัยว่ามีพฤติการณ์พิเศษในการขยายเวลาอุทธรณ์หรือไม่ โดยหยิบยกเรื่องใบอนุญาตทนายความของทนายโจทก์ร่วมที่หมดอายุเป็นข้อกฎหมาย แต่เมื่อคดีขึ้นศาลฎีกา ทนายโจทก์ร่วมแสดงหลักฐานว่าได้ต่อใบอนุญาตแล้ว บัตรสมาชิกระบุวันออก 19 ธันวาคม 2560 และหมดอายุ 19 ธันวาคม 2562 จึงมีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ร่วมได้ คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่พิพากษายกอุทธรณ์โดยอ้างว่าใบอนุญาตหมดอายุ จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 และ ป.วิ.อ. มาตรา 15 2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 927/2563: ในกรณีที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายจนมีคำพิพากษาแล้ว หากไม่มีข้อผิดพลาดหรือการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบจะไม่สามารถทำได้ ฎีกาย่อ: ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้โจทก์ตามฟ้องโดยไม่มีข้อผิดพลาดหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำพิพากษาจึงผูกพันคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 ข้ออ้างของจำเลยที่ยื่นภายหลังเกือบ 6 ปีว่าโจทก์ฟ้องผิดตัวเนื่องจากมีคนร้ายปลอมแปลงเอกสาร ไม่ใช่ข้อผิดพลาดในกระบวนพิจารณา แต่เป็นข้อที่จำเลยต้องยกขึ้นต่อสู้ในชั้นพิจารณาเดิม กรณีนี้ไม่มีเหตุให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ 3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5094/2561: ศาลพิจารณาว่าการยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบต้องทำภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และหากมีการดำเนินการที่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย ศาลมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนพิจารณานั้น ฎีกาย่อ: ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคแรก คู่ความฝ่ายเสียหายหรือศาลเห็นสมควรมีสิทธิยื่นขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ แต่บุคคลภายนอกไม่มีสิทธิ ศาลชั้นต้นเคยพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยจำเลยขาดนัด และมีการขายที่ดินพิพาทไปให้บุคคลอื่นก่อนจำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ การให้คู่ความกลับสู่ฐานะเดิมจึงเป็นไปไม่ได้ หากพิจารณาใหม่แล้วโจทก์ยังชนะคดี การเพิกถอนโฉนดและรายการจดทะเบียนจึงไม่จำเป็น ศาลมีอำนาจเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้ามาในคดีตามมาตรา 57(3) แต่การพิจารณาและเพิกถอนใบแทนโฉนดโดยไม่เรียกบุคคลภายนอกเข้ามา เป็นการกระทบสิทธิและผิดระเบียบตามมาตรา 145 วรรคสอง สมควรเพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าว. 4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2780/2562: โจทก์ที่อ้างว่าตนเสียหายจากการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ต้องยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 เพื่อขอเพิกถอนการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาย่อ: โจทก์ที่อ้างว่าเสียหายจากกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ต้องยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 ซึ่งเป็นศาลที่เกิดข้อผิดระเบียบ เพื่อพิจารณาและเพิกถอนหมายนัดฟังคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่สามารถยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาได้ เพราะข้อผิดระเบียบไม่ได้เกิดขึ้นในกระบวนพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่มีอำนาจเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลล่างตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 และ ป.วิ.อ. มาตรา 15 5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11418/2557: ศาลวินิจฉัยว่าการเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบสามารถทำได้บางส่วนหรือทั้งหมด ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงและผลกระทบของการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ฎีกาย่อ: การแต่งตั้งทนายความของจำเลยที่ 4 ระบุชื่อผู้ลงนามที่ไม่ใช่ผู้บัญชาการทหารเรือ โดยไม่มีหนังสือมอบอำนาจหรือพยานเอกสารสนับสนุน จึงไม่เป็นไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 61 และถือว่าเป็นการกระทำของบุคคลภายนอก ไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 4 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ชอบที่จะวินิจฉัยเรื่องนี้เพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม ความบกพร่องดังกล่าวไม่กระทบกระบวนพิจารณาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และแก้ไขได้ง่าย ศาลฎีกาจึงไม่เห็นพ้องกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ด้วย คำพิพากษาเหล่านี้แสดงถึงการบังคับใช้กฎหมายในการเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปด้วยความยุติธรรมและถูกต้องตามกฎหมาย บทวิเคราะห์ จากตัวอย่างคำพิพากษาข้างต้น จะเห็นได้ว่าศาลฎีกายึดถือแนวทางเดียวกันในการวินิจฉัยว่าคำสั่งให้คดีมีมูลตามมาตรา 170 เป็นคำสั่งที่เด็ดขาด เพื่อป้องกันการล่าช้าในกระบวนการพิจารณาคดี อย่างไรก็ตาม คู่ความยังคงสามารถยื่นคำร้องในกรณีที่เกี่ยวข้องกับสิทธิหรือหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญได้ หากเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวละเมิดสิทธิพื้นฐานของตน การทำความเข้าใจในหลักการนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ทั้งในฐานะโจทก์และจำเลย เพื่อปฏิบัติและใช้สิทธิของตนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ****การเพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ ความหมายของการเพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ การเพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบเกิดขึ้นเมื่อมีการดำเนินการใดๆ ในคดีที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนหรือกฎระเบียบของกฎหมาย ตัวอย่างเช่น การส่งหมายผิดระเบียบ การไม่แจ้งข้อมูลสำคัญให้คู่ความทราบ หรือการพิจารณาคดีโดยไม่เปิดโอกาสให้คู่ความฝ่ายหนึ่งมีโอกาสแสดงพยานหลักฐานอย่างเหมาะสม การกระทำดังกล่าวส่งผลให้คู่ความฝ่ายที่ได้รับความเสียหายสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบได้ หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา oมาตรา 170: คำสั่งให้คดีมีมูลถือเป็นคำสั่งเด็ดขาด แต่การเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบไม่ถูกจำกัดไว้ภายใต้บทบัญญัตินี้ 2.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง oมาตรา 27: เปิดโอกาสให้ศาลพิจารณาเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเมื่อคู่ความฝ่ายที่ได้รับความเสียหายยื่นคำร้อง 3.พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 oมาตรา 4: บัญญัติให้ศาลแขวงใช้กระบวนพิจารณาเฉพาะที่ระเบียบกำหนด 4.พระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 oมาตรา 3: บัญญัติการนำกฎระเบียบของศาลแขวงไปใช้ในศาลจังหวัด
|