
| คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6901/2567 : การปล่อยกู้โดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราและผลของโมฆะกรรมตามกฎหมาย
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการปล่อยกู้โดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย ทำให้สัญญาดังกล่าวตกเป็นโมฆะ และผู้ให้เงินกู้ไม่สามารถเรียกคืนเงินได้ตามข้อยกเว้นของลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 411 ศาลได้วินิจฉัยถึงสถานะของคู่ความในฐานะตัวแทนและผลของการชำระหนี้ที่ขัดต่อกฎหมาย รวมทั้งยืนยันหลักกฎหมายว่าการกระทำดังกล่าวไม่อยู่ในขอบเขตที่สามารถบังคับคืนได้ สรุปข้อเท็จจริง •โจทก์มอบหมายให้จำเลยนำเงินไปปล่อยกู้แก่บุคคลภายนอก โดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด (เกินร้อยละ 15 ต่อปี) และให้นำผลประโยชน์มาส่งคืนแก่โจทก์ •มีการโอนเงินจากบัญชีของโจทก์และมารดาไปยังจำเลยและมารดาจำเลยหลายครั้ง รวม 7 ครั้ง รวมเป็นเงิน 285,000 บาท •จำเลยกู้เงินจากโจทก์เพิ่มเติมอีก 5,000 บาท ซึ่งจำเลยไม่อุทธรณ์ในประเด็นนี้ •ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินทั้งหมด แต่ศาลอุทธรณ์แก้ให้คืนเฉพาะ 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย •โจทก์ฎีกาเพื่อขอให้คืนเงินอีก 285,000 บาท คำวินิจฉัยของศาลฎีกา •จำเลยเป็น ตัวแทน ของโจทก์ในกิจการปล่อยกู้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 797 •การปล่อยกู้โดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราเป็นการฝ่าฝืน ป.พ.พ. มาตรา 654 และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4(1) •สัญญาดังกล่าวเป็น โมฆะกรรม ไม่สามารถแยกต้นเงินออกจากดอกเบี้ยได้ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของกิจการที่ฝ่าฝืนกฎหมาย •แม้ ป.พ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง จะเปิดทางให้เรียกคืนได้ตามลาภมิควรได้ แต่ มาตรา 411 เป็นข้อยกเว้นที่ไม่ให้เรียกคืนได้หากการชำระหนี้นั้นขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี •โจทก์จึงไม่สามารถเรียกคืนเงิน 285,000 บาทได้ •พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1.สถานะของจำเลยในฐานะตัวแทน (ป.พ.พ. มาตรา 797) เมื่อโจทก์มอบหมายให้จำเลยปล่อยกู้แทน ถือว่าเป็นการมอบอำนาจให้ดำเนินการแทน ซึ่งหากกิจการนั้นฝ่าฝืนกฎหมาย ตัวแทนและตัวการย่อมต้องรับผลของความไม่ชอบนั้นร่วมกัน 2.ข้อห้ามดอกเบี้ยเกินอัตรา (ป.พ.พ. มาตรา 654 และ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ) การคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปีเป็นโมฆะ ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ดำเนินการ และแม้ต้นเงินจะไม่เกินอัตรา แต่หากเป็นส่วนหนึ่งของการปล่อยกู้ผิดกฎหมาย ย่อมกระทบทั้งสัญญา 3.ข้อยกเว้นการเรียกคืนเงิน (ป.พ.พ. มาตรา 411) แม้หลักทั่วไปจะให้คืนลาภมิควรได้ แต่หากเงินนั้นชำระเพื่อการที่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี เช่น ปล่อยกู้เกินอัตรา จะไม่สามารถเรียกคืนได้ 4.ผลต่อการบังคับสิทธิ การที่ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ตอกย้ำหลักว่าผู้ให้เงินกู้โดยรู้ว่าผิดกฎหมาย จะไม่สามารถฟ้องเรียกคืนได้ เพื่อป้องกันการใช้กระบวนการศาลรองรับกิจกรรมผิดกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 มาตรานี้บัญญัติว่า “ถ้ากำหนดดอกเบี้ยกันไว้สูงกว่าร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี” หลักการนี้เป็นข้อจำกัดที่กฎหมายกำหนดเพื่อป้องกันการเอาเปรียบในการกู้ยืมเงิน โดยถือเป็นข้อบังคับเด็ดขาด (mandatory rule) ที่คู่สัญญาไม่สามารถตกลงขัดต่อได้ หากมีการตกลงกันในสัญญาให้คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ส่วนที่เกินจะตกเป็นโมฆะ และให้ปรับลดลงมาอยู่ในเพดานที่กฎหมายกำหนด ตัวอย่างเช่น หากคู่สัญญากำหนดดอกเบี้ยไว้ 30% ต่อปี กฎหมายจะตัดส่วนเกิน 15% ออก เหลือเพียง 15% ที่บังคับใช้ได้ ข้อนี้มีผลทั้งในกรณีที่เป็นการกู้โดยตรงและในกรณีที่มีการมอบหมายให้บุคคลอื่นปล่อยกู้แทน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797 มาตรานี้กำหนดว่า “ตัวแทนเป็นผู้ซึ่งได้กระทำการแทนตัวการโดยชอบด้วยกฎหมาย” เมื่อบุคคลหนึ่งมอบหมายให้ผู้อื่นทำการแทนตนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การกระทำของตัวแทนภายในขอบอำนาจจะมีผลผูกพันต่อตัวการโดยตรง ตัวอย่างเช่น หากนาย ก. มอบหมายให้นาย ข. ปล่อยกู้แทน การปล่อยกู้ของนาย ข. จะถือว่าเป็นการกระทำของนาย ก. เอง ดังนั้น หากการปล่อยกู้ดังกล่าวฝ่าฝืนกฎหมาย เช่น คิดดอกเบี้ยเกินอัตรา ผลของความไม่ชอบย่อมผูกพันถึงตัวการด้วยเช่นกัน หลักการนี้สำคัญเพราะทำให้ผู้มอบหมายไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดโดยอ้างว่าตนไม่ได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4 (1) บทบัญญัตินี้ห้ามมิให้บุคคลใด “เรียกดอกเบี้ย เกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เว้นแต่กฎหมายจะบัญญัติเป็นอย่างอื่น” ถือเป็นกฎหมายพิเศษที่ตอกย้ำข้อจำกัดเรื่องอัตราดอกเบี้ยใน ป.พ.พ. มาตรา 654 แต่มีผลทางอาญากำกับไว้ด้วย กล่าวคือ หากฝ่าฝืนอาจมีโทษทางอาญา เช่น จำคุกหรือปรับ นอกเหนือจากผลทางแพ่งที่สัญญาตกเป็นโมฆะ ตัวอย่างเช่น การปล่อยเงินกู้ให้เพื่อนบ้านคิดดอกเบี้ย 5% ต่อเดือน (เท่ากับ 60% ต่อปี) ถือว่าผิดกฎหมายและอาจถูกดำเนินคดีอาญาได้ด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 วรรคสอง มาตรานี้กำหนดหลักทั่วไปว่า “ถ้าจะต้องคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรม ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับ” ซึ่งหมายความว่า เมื่อสัญญาตกเป็นโมฆะ เช่น สัญญาปล่อยกู้ผิดกฎหมาย คู่สัญญาจะต้องคืนสิ่งที่ได้รับจากอีกฝ่ายหนึ่งตามหลักลาภมิควรได้ (มาตรา 406 ถึง 412) อย่างไรก็ตาม หลักนี้ใช้ได้เฉพาะเมื่อไม่มีข้อยกเว้นที่กฎหมายกำหนด ตัวอย่างเช่น หากนาย ก. โอนเงินให้นาย ข. ตามสัญญาที่ตกเป็นโมฆะเพราะผิดแบบฟอร์ม นาย ข. ต้องคืนเงินให้ นาย ก. ตามหลักลาภมิควรได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 411 มาตรานี้เป็นข้อยกเว้นสำคัญของหลักลาภมิควรได้ โดยบัญญัติว่า “บุคคลใดได้กระทำการเพื่อชำระหนี้เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี บุคคลนั้นหาอาจเรียกร้องคืนทรัพย์สินที่ตนได้ให้ไปแล้วไม่” เจตนารมณ์คือเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้กระทำความผิดกฎหมายได้ประโยชน์จากกระบวนการยุติธรรม ตัวอย่างเช่น นาย ก. จ่ายเงินให้นาย ข. เพื่อเป็นค่าจ้างฆ่าคน หรือเพื่อแลกกับการกระทำผิดอื่น นาย ก. จะไม่สามารถฟ้องเรียกคืนเงินได้ ในกรณีคำพิพากษานี้ การที่โจทก์มอบเงินให้จำเลยไปปล่อยกู้โดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตรา ถือเป็นการชำระหนี้ที่ขัดต่อกฎหมาย ดังนั้น โจทก์จึงถูกปิดกั้นสิทธิที่จะเรียกเงินคืนโดยตรงตามมาตรานี้ การเชื่อมโยงหลักกฎหมายทั้งหมดกับข้อเท็จจริงคดี ในคดีนี้ โจทก์มอบเงินให้จำเลยไปปล่อยกู้แก่บุคคลภายนอก โดยคิดดอกเบี้ยเกิน 15% ต่อปี การกระทำนี้เข้าข่ายฝ่าฝืน ป.พ.พ. มาตรา 654 และ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ มาตรา 4(1) ทำให้สัญญาเป็นโมฆะตามมาตรา 150 ประกอบมาตรา 654 และ 172 วรรคสอง แม้หลักทั่วไปจะให้คืนลาภมิควรได้ แต่เมื่อมาตรา 411 เป็นข้อยกเว้น ก็ทำให้โจทก์ไม่สามารถเรียกคืนเงินได้ ผลที่เกิดขึ้นคือ แม้จำเลยจะได้รับเงินไปจำนวนมาก โจทก์ก็ไม่มีสิทธิใช้กระบวนการศาลเพื่อบังคับคืน เนื่องจากตนมีส่วนร่วมในกิจการที่ผิดกฎหมาย IRAC Analysis Issue (ประเด็นปัญหา) โจทก์สามารถเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินที่มอบให้ไปปล่อยกู้โดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราได้หรือไม่ Rule (กฎเกณฑ์) •ป.พ.พ. มาตรา 654: ห้ามคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี •ป.พ.พ. มาตรา 797: ตัวแทนมีอำนาจกระทำแทนตัวการ •ป.พ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง: การคืนทรัพย์จากโมฆะกรรมเป็นไปตามลาภมิควรได้ •ป.พ.พ. มาตรา 411: ข้อยกเว้นไม่ให้คืนทรัพย์หากเป็นการชำระหนี้ฝ่าฝืนกฎหมายหรือศีลธรรม •พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4(1) Application (การประยุกต์ใช้) เมื่อโจทก์ยอมรับว่ามอบเงินให้จำเลยไปปล่อยกู้เกินอัตราดอกเบี้ย จึงเข้าข่ายฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ และมาตรา 411 ทำให้ไม่สามารถเรียกคืนเงินได้ Conclusion (ข้อสรุป) โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืนเงิน 285,000 บาท ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ข้อคิดทางกฎหมาย •การทำธุรกรรมที่ฝ่าฝืนกฎหมาย แม้ผู้ให้เงินจะไม่ได้ปล่อยกู้เอง แต่หากมอบหมายให้ผู้อื่นกระทำแทน ก็จะถูกผูกพันด้วยผลทางกฎหมายเช่นเดียวกัน •ข้อยกเว้นใน ป.พ.พ. มาตรา 411 เป็นกลไกสำคัญในการป้องกันไม่ให้ผู้ฝ่าฝืนกฎหมายใช้สิทธิเรียกคืนทรัพย์ •ผู้ให้กู้ควรตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับกฎหมาย เพื่อป้องกันการสูญเสียสิทธิในการบังคับคดี English Summary The Supreme Court Decision No. 6901/2567 concerns a loan arrangement where the plaintiff authorized the defendant to lend money to third parties at an interest rate exceeding the legal limit of 15% per annum. The Court ruled that such an agreement was void under Section 654 of the Civil and Commercial Code and the Interest Rate Restriction Act B.E. 2560. Furthermore, under Section 411 CCC, the plaintiff could not reclaim the funds because the payment was made in violation of the law. The Court upheld the Appeal Court’s decision allowing repayment of only a separate THB 5,000 loan, rejecting the plaintiff’s claim for the remaining THB 285,000. สรุปย่อฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์โอนเงินให้จำเลยหลายครั้งรวม 285,000 บาท เพื่อให้นำไปปล่อยกู้โดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จึงถือว่าจำเลยเป็นตัวแทนโจทก์ในกิจการที่ฝ่าฝืนกฎหมาย สัญญาดังกล่าวตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 654 และ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ มาตรา 4(1) แม้หลักทั่วไปในมาตรา 172 วรรคสองจะให้คืนลาภมิควรได้ แต่เมื่อเป็นการชำระหนี้ที่ขัดต่อกฎหมายตามมาตรา 411 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกคืน ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ ยกฎีกาโจทก์ 1. ❓ คำถาม–คำตอบ คำถาม: การปล่อยกู้โดยคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี ถือเป็นนิติกรรมที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่? คำตอบ: ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 654 ที่บัญญัติห้ามมิให้เรียกดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี การปล่อยกู้ดังกล่าวจึงเป็น นิติกรรมโมฆะ ไม่ก่อสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมาย 2. คำถาม: การคิดดอกเบี้ยเกินอัตราตามที่กฎหมายกำหนดมีผลอย่างไรต่อความรับผิดทางอาญา? คำตอบ: การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4 (1) ซึ่งกำหนดโทษชัดเจนสำหรับผู้ที่เรียกหรือคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายอนุญาต 3. คำถาม: การที่โจทก์มอบเงินให้จำเลยไปปล่อยกู้ ถือว่าเป็นความสัมพันธ์ทางกฎหมายในลักษณะใด? คำตอบ: ถือว่าเป็นการมอบหมายให้จำเลยทำหน้าที่แทนโจทก์ในกิจการนั้น ๆ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 797 ดังนั้นจำเลยมีฐานะเป็น ตัวแทน ของโจทก์ในการปล่อยกู้ 4. คำถาม: หากนิติกรรมปล่อยกู้ดอกเบี้ยเกินอัตราเป็นโมฆะ คู่ความมีสิทธิเรียกคืนเงินต้นที่ส่งมอบไปหรือไม่? คำตอบ: โดยหลักทั่วไป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง หากนิติกรรมเป็นโมฆะต้องคืนทรัพย์สินที่ได้ไปโดยอาศัยโมฆะกรรมนั้น โดยใช้หลักลาภมิควรได้ แต่คดีนี้มีข้อยกเว้นตามมาตรา 411 5. คำถาม: เหตุใดโจทก์จึงไม่สามารถเรียกคืนเงินที่มอบให้จำเลยเพื่อนำไปปล่อยกู้ได้? คำตอบ: เพราะการชำระหนี้ดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายและศีลธรรมอันดี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 411 ที่กำหนดว่า หากบุคคลใดได้ชำระหนี้โดยฝ่าฝืนข้อห้ามดังกล่าว บุคคลนั้นไม่อาจเรียกร้องคืนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6901/2567 เมื่อโจทก์รับว่าโจทก์มอบหมายให้จำเลยนำเงินไปให้บุคคลภายนอกกู้ยืมโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดแล้วนำผลประโยชน์มามอบให้ จำเลยจึงเป็นตัวแทนของโจทก์ในกิจการดังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา 797 กรณีเช่นนี้จึงไม่สามารถแยกต้นเงินออกจากดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากบุคคลภายนอกเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดซึ่งตกเป็นโมฆะเช่นเดียวกับนิติกรรมกู้ยืมได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มอบเงินให้จำเลยนำไปปล่อยให้บุคคลภายนอกกู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งกฎหมายกำหนดห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 654 และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4 (1) นิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยตกเป็นโมฆะ การที่โจทก์มอบเงินให้จำเลยไปดำเนินการดังกล่าวจึงเป็นการชำระหนี้ฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 411 โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวได้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 294,609 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงิน 290,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยชำระเงิน 294,609 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงิน 290,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินตามมูลหนี้กู้ยืม 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดจึงให้ใช้อัตราที่ปรับเปลี่ยนบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ คำขออื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยากับนายภาณุพงศ์ ซึ่งเป็นน้องชายโจทก์ โจทก์ นางจำเนียร ซึ่งเป็นมารดาโจทก์ และจำเลยมีการสนทนากันผ่านแอปพลิเคชันเมสเซนเจอร์ โจทก์ใช้ชื่อ W. มารดาโจทก์ใช้ชื่อ N. จำเลยใช้ชื่อ K. ระหว่างวันที่ 23 เมษายน 2564 ถึงวันที่ 10 กรกฎาคม 2564 โจทก์โอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารของมารดาโจทก์และโจทก์เข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยและมารดาของจำเลยรวม 7 ครั้ง ครั้งที่ 1 วันที่ 23 เมษายน 2564 จำนวน 50,000 บาท ครั้งที่ 2 วันที่ 22 พฤษภาคม 2564 จำนวน 20,000 บาท ครั้งที่ 3 วันที่ 26 มิถุนายน 2564 จำนวน 30,000 บาท ครั้งที่ 4 วันที่ 5 กรกฎาคม 2564 จำนวน 100,000 บาท ครั้งที่ 5 วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 จำนวน 15,000 บาท ครั้งที่ 6 วันที่ 9 กรกฎาคม 2564 จำนวน 50,000 บาท ครั้งที่ 7 วันที่ 10 กรกฎาคม 2564 จำนวน 20,000 บาท ส่วนครั้งที่ 8 วันที่ 6 สิงหาคม 2564 ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ 5,000 บาท จำเลยไม่ฎีกา ประเด็นดังกล่าวจึงยุติ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์อีกจำนวน 285,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยได้หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เมื่อโจทก์รับว่าโจทก์มอบหมายให้จำเลยนำเงินไปให้บุคคลภายนอกกู้ยืมโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดแล้วนำผลประโยชน์มามอบให้ จำเลยจึงเป็นตัวแทนของโจทก์ในกิจการดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797 กรณีเช่นนี้จึงไม่สามารถแยกต้นเงินออกจากดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากบุคคลภายนอกเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดซึ่งตกเป็นโมฆะเช่นเดียวกับนิติกรรมกู้ยืมได้ ประกอบกับแม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติว่า ถ้าจะต้องคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรม ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้แห่งประมวลกฎหมายนี้มาใช้บังคับ แต่มาตรา 411 บัญญัติเป็นข้อยกเว้นว่า บุคคลใดได้กระทำการเพื่อชำระหนี้เป็นการอันฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี ท่านว่าบุคคลนั้นหาอาจจะเรียกร้องคืนทรัพย์ได้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มอบเงินให้จำเลยนำไปปล่อยให้บุคคลภายนอกกู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งกฎหมายกำหนดห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 และเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4 (1) นิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยตกเป็นโมฆะ การที่โจทก์มอบเงินให้จำเลยไปดำเนินการดังกล่าวจึงเป็นการชำระหนี้ฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินในส่วนนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
|





