ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




โมฆียะบันทึกข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ & กลฉ้อฉล (ฎีกา 1406-1407/2567)

คำพิพากษาศาลฎีกา 1406-1407/2567, โมฆียะบันทึกข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ, กลฉ้อฉลจนโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 159, พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 24, 37 วรรคสอง, 45, สัญญาจ้างก่อสร้างและข้อพิพาทเงินประกันผลงาน, อำนาจคณะอนุญาโตตุลาการ, คำชี้ขาดข้อพิพาท, วิเคราะห์คำพิพากษาสิทธิอนุญาโตตุลาการ, แนวคำวินิจฉัยศาลฎีกาอนุญาโตตุลาการ, บทความกฎหมายอนุญาโตตุลาการ

    ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการที่คู่สัญญาในสัญญาจ้างก่อสร้างตกลงระบุให้ข้อพิพาทนั้นให้คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยตาม พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 (พ.อ. 2545) แต่หลังจากนั้นมีการทำบันทึกข้อตกลงระหว่างคู่สัญญา ซึ่งผู้ร้องอ้างว่าได้ลงชื่อโดยหลงเชื่อเพราะถูกกลฉ้อฉลจนบันทึกข้อตกลงนั้นเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 159 และเมื่อคณะอนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัยว่า พฤติการณ์ดังกล่าวถึงขนาดเป็นการถูกกลฉ้อฉล ก็เป็นเหตุให้ผู้ร้องมีสิทธิบอกล้างบันทึกข้อตกลงได้ และคำชี้ขาดนั้นอยู่ในขอบเขตแห่งข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการ จึงชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้อุทธรณ์โดยโต้แย้งดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการ

ข้อเท็จจริง

1. คู่กรณีทั้งสองฝ่ายเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยผู้คัดค้าน (ซึ่งต่อมาเป็นจำเลยในศาลฎีกา) ทำสัญญาร่วมกับ การไฟฟ้านครหลวง รับจ้างก่อสร้างบ่อพักและร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินในโครงการถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า (ช่วง 1) กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2558

2. ต่อมา เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2558 ผู้ร้อง (ผู้รับจ้างย่อย) ตกลงรับจ้างจากผู้คัดค้าน โดยราคา 194,796,700 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 13,635,769 บาท รวมเป็นเงิน 208,432,469 บาท

3. ในสัญญาจ้างระบุข้อ 25 ว่า “ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นตามสัญญานี้ คู่สัญญาตกลงระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ ณ สถาบันอนุญาโตตุลาการ (กรุงเทพมหานคร) (ส.อ.ท.) เป็นผู้ชี้ขาด”

4. ผู้ร้องส่งมอบงานงวดสุดท้ายและแจ้งให้ผู้คัดค้านชำระเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายจำนวน 12,716,063.01 บาท แต่ผู้คัดค้านยังไม่ชำระ

5. เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563 ผู้ร้องกับผู้คัดค้านได้ทำ “บันทึกข้อตกลง” โดยผู้ร้องลงชื่อในบันทึกดังกล่าว ต่อมาผู้ร้องได้ส่งหนังสือขอบอกล้างบันทึกข้อตกลงนั้น

6. วันที่ 23 มิถุนายน 2564 ผู้ร้องยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อ ส.อ.ท. เพื่อให้มีคำชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชำระเงินแก่ผู้ร้อง

7. ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านและคำร้องให้คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยขอบอำนาจตาม พ.อ. 2545 มาตรา 24 โดยคณะอนุญาโตตุลาการกำหนดประเด็นข้อพิพาท ได้แก่

o ข้อ 1 ผู้คัดค้านจะต้องชำระเงินประกันผลงานและค่าจ้างงวดสุดท้ายแก่ผู้ร้องหรือไม่ และจะชำระเพียงใด

o ข้อ 2 บันทึกข้อตกลงลงวันที่ 14 มกราคม 2563 มีผลใช้บังคับตามกฎหมายได้หรือไม่ เพียงใด

o ข้อ 3 ผู้ร้องมีสิทธิเสนอข้อพิพาทนี้ต่ออนุญาโตตุลาการหรือไม่

8. วันที่ 10 มีนาคม 2565 คณะอนุญาโตตุลาการออกคำชี้ขาดในข้อพิพาทแดงหมายเลข 21/2564 ให้ผู้คัดค้านชำระเงินจำนวน 9,615,070.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี นับแต่วันออกคำชี้ขาด จนกว่าจะชำระเสร็จ พร้อมให้ผู้คัดค้านรับผิดชำระค่าใช้จ่ายในชั้นอนุญาโตตุลาการ ได้แก่ ค่าป่วยการ ค่าบริการผู้แทนบุคคลช่วยเหลือฝ่ายผู้ร้อง จำนวน 10,000 บาท และอื่น ๆ

9. ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อ ศาลฎีกา โดยโต้แย้งว่า (ก) คำชี้ขาดมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีและมิได้ระบุเหตุผลให้ชัดแจ้ง → เป็นเหตุให้การยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดจะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตาม พ.อ. 2545 มาตรา 45 (ข) บันทึกข้อตกลงเป็นไปด้วยความสมัครใจ จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย (ค) คำชี้ขาดเป็นการวินิจฉัยข้อพิพาทที่ไม่อยู่ในขอบเขตแห่งสัญญาอนุญาโตตุลาการ เป็นคำชี้ขาดเกินขอบเขตของข้อพิพาทตามข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ

10. ศาลชั้นต้น (ศาล ฯ) พิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ให้ผู้คัดค้านชำระเงิน – พร้อมดอกเบี้ย – และชำระค่าป่วยการ/ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในชั้นอนุญาโตตุลาการ พร้อมกำหนดค่าทนายความในศาลอุทธรณ์ ฯลฯ

11. ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่มีข้อโต้แย้งนั้นถือเป็น “รับฟังได้” และประเด็นโต้แย้งของผู้คัดค้านเป็นการโต้แย้งดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งศาลฎีกาไม่เข้าไปวินิจฉัยโดยตรง ตาม พ.อ. 2545 มาตรา 45 และเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า (ก) บันทึกข้อตกลงนั้นเกิดจากการหลงเชื่อโดยถูกกลฉ้อฉลจนถึงขนาด ทำให้เป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 159 (ข) ข้อพิพาททั้งหมดอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ จึงอยู่ในอำนาจของคณะอนุญาโตตุลาการตาม พ.อ. 2545 มาตรา 24 (ค) คำชี้ขาดนั้นได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีและได้ระบุเหตุผลวินิจฉัยโดยชัดแจ้งตาม พ.อ. 2545 มาตรา 37 วรรค 2 เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้วจึงเห็นว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นสมควรให้ยืน

ประเด็นสำคัญที่สุดของ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1406-1407/2567 อยู่ที่การตีความ พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 และ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 159 ซึ่งเป็นแกนกลางของข้อพิพาททั้งหมด ดังนี้

🔹 กฎหมายที่ใช้หลักในการอธิบายคดีนี้

1. ป.พ.พ. มาตรา 159 — ว่าด้วย “โมฆียะกรรมเพราะถูกกลฉ้อฉล”

ใช้เป็นหลักในการวินิจฉัยว่าบันทึกข้อตกลงที่ผู้ร้องลงชื่อภายใต้การหลอกลวงของผู้คัดค้าน เป็นโมฆียะ และผู้ร้องมีสิทธิบอกล้างได้

2. พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 — ว่าด้วย “อำนาจของคณะอนุญาโตตุลาการ”

ใช้ยืนยันว่าข้อพิพาทเรื่องเงินประกันผลงานและค่าจ้างงวดสุดท้าย เป็นข้อพิพาทที่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ

3. มาตรา 37 วรรค สอง — ว่าด้วย “การระบุเหตุผลในคำชี้ขาด”

ศาลฎีกายืนยันว่าคณะอนุญาโตตุลาการได้ระบุเหตุผลไว้อย่างชัดแจ้ง จึงเป็นคำชี้ขาดที่ชอบด้วยกฎหมาย

4. มาตรา 45 — ว่าด้วย “เหตุแห่งการอุทธรณ์คำชี้ขาด”

ใช้เป็นเกณฑ์ว่า การอุทธรณ์ที่เป็นเพียงการโต้แย้งดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการ ไม่เข้าเหตุให้ศาลฎีการับวินิจฉัย

🔑 Key Words หลัก 5 ประเด็นสำคัญของคดี (พร้อมขยายสั้น ๆ)

1. “กลฉ้อฉล” (Fraud or Deceit)

o ศาลถือว่าผู้ร้องถูกหลอกให้ลงชื่อในบันทึกข้อตกลงโดยเชื่อว่าผู้คัดค้านจะจ่ายเงิน หากไม่เซ็นจะไม่ได้รับเงิน ถือเป็นการหลอกลวงถึงขนาด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 159

2. “โมฆียะ” (Voidable Contract)

o บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆียะ และเมื่อผู้ร้องบอกล้างแล้ว สัญญานั้นไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย

3. “ขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ” (Scope of Arbitration Agreement)

o ข้อพิพาทเกี่ยวกับเงินค่าจ้างและเงินประกันผลงานถือว่าเกิดจากสัญญาจ้าง ซึ่งอยู่ในขอบเขตที่คู่สัญญาตกลงให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดตาม มาตรา 24

4. “คำชี้ขาดชอบด้วยเหตุผล” (Reasoned Award)

o คณะอนุญาโตตุลาการระบุเหตุผลแห่งการวินิจฉัยไว้ชัดแจ้ง ตรงตาม มาตรา 37 วรรค สอง จึงเป็นคำชี้ขาดที่สมบูรณ์

5. “การอุทธรณ์ที่ไม่เข้าเหตุ” (Non-appealable Ground)

o การอุทธรณ์ของผู้คัดค้านเป็นเพียงการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยาน ไม่ใช่การฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือศีลธรรม จึงไม่อยู่ในเหตุที่จะให้อุทธรณ์ได้ตาม มาตรา 45

สรุปแก่นคดี:

ศาลฎีกาเน้นว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต้องได้รับความคุ้มครอง เว้นแต่จะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง ในคดีนี้ คณะอนุญาโตตุลาการใช้ดุลพินิจถูกต้องตามกฎหมาย การอ้างว่า “บันทึกข้อตกลงเป็นโมฆียะเพราะกลฉ้อฉล” จึงเป็นประเด็นหลักที่ศาลยืนยันว่า คำชี้ขาดนั้นชอบด้วย พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 และ ป.พ.พ. มาตรา 159.

คำวินิจฉัย

1. ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริง (เช่น ผู้ร้องส่งมอบงาน ร้องขอค่าจ้างงวดสุดท้าย ผู้คัดค้านยังไม่ชำระ) ไม่ได้ถูกโต้แย้งโดยคู่ความในให้นับว่าเป็นข้อเท็จจริงรับฟังได้ในชั้นนี้

2. ในประเด็นที่ผู้คัดค้านอ้างว่า “บันทึกข้อตกลงนั้นเป็นไปโดยความสมัครใจ” ศาลเห็นว่าเป็นการโต้แย้งดุลพินิจ (discretion) ของคณะอนุญาโตตุลาการในการรับฟังพยานหลักฐานและพิเคราะห์ข้อเท็จจริง ซึ่งศาลฎีกาไม่มีอำนาจเข้าไปทบทวนในรายละเอียด ยกเว้นกรณีที่ขัดต่อวิธีพิจารณาหรือบทกฎหมาย หรือความสงบเรียบร้อย/ศีลธรรมอันดีของประชาชน ตาม พ.อ. 2545 มาตรา 45 โดยในกรณีนี้ไม่ปรากฏว่าอนุญาโตตุลาการฝ่าฝืนวิธีพิจารณาหรือบทกฎหมาย

3. ในประเด็นว่า “คำชี้ขาดอยู่นอกขอบเขตของข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการ” ศาลพิจารณาว่า สัญญาจ้างก่อสร้างได้กำหนดให้ข้อพิพาทใด ๆ ที่เกิดขึ้นตามสัญญาให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด (ข้อ 25) ดังนั้นเมื่อผู้ร้องยื่นข้อพิพาทเรื่องเงินประกันผลงานและเงินค่าจ้างงวดสุดท้าย ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องจากสัญญาจ้างก่อสร้าง ก็อยู่ในขอบเขตของอนุญาโตตุลาการตาม พ.อ. 2545 มาตรา 24

4. ในประเด็น “บันทึกข้อตกลงเป็นโมฆะ” ศาลเห็นว่า พยานหลักฐานรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านได้ว่าจ้างงานใหม่ไปทำโดยผู้ร้องถูกหลอกให้เซ็นบันทึกข้อตกลงภายใต้ความเชื่อว่าได้รับเงินประกันและค่าจ้างบางส่วน และหากไม่เซ็นผู้คัดค้านจะไม่จ่ายเงินใด ๆ ซึ่งเป็นพฤติการณ์ “กล ฉ้อฉล” จนทำให้บันทึกข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 159

5. เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้ว ศาลเห็นว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้นเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี มีเหตุผลวินิจฉัยอย่างชัดเจนตาม พ.อ. 2545 มาตรา 37 วรรค 2 และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงให้ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ประเด็นทางกฎหมายที่น่าสนใจ

กรณีที่บันทึกข้อตกลง ระหว่างคู่สัญญาในสัญญาจ้างก่อสร้าง หากผู้หนึ่งถูกกล ฉ้อฉลจนลงชื่อโดยความเข้าใจผิดหรือถูกบังคับให้เซ็น จะอาจทำให้บันทึกข้อตกลงนั้นเป็น โมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 159

ความสำคัญของข้อ 25 ในสัญญาจ้างก่อสร้างที่ระบุไว้ว่า “ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นตามสัญญานี้ให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด” ถือว่าเป็นการกำหนด ขอบเขตแห่งข้อพิพาท ตาม พ.อ. 2545 มาตรา 24

ในระบบอนุญาโตตุลาการ ภายใต้ พ.อ. 2545 กรณีที่คู่ความโต้แย้งคือ ดุลพินิจของคณะอนุญาโตตุลาการ (เช่น พยานหลักฐาน น้ำหนักพยาน) ศาลฎีกาจะไม่เข้าไปวินิจฉัยซ้ำตามมาตรา 45 เว้นแต่มีการฝ่าฝืนวิธีพิจารณาหรือบทกฎหมาย

คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจะได้รับการคุ้มครอง หากเป็นการชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีและมีการระบุเหตุผลชัดเจนตาม พ.อ. 2545 มาตรา 37 วรรค 2

IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion)

Issue (ประเด็นปัญหา)

ประเด็น 1: บันทึกข้อตกลงลงวันที่ 14 มกราคม 2563 ที่ผู้ร้องลงชื่อโดยอ้างว่าถูกกล ฉ้อฉล ถือว่าเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 159 หรือไม่?

ประเด็น 2: ข้อพิพาทเรื่องเงินประกันผลงานและค่าจ้างงวดสุดท้ายนี้อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการตาม พ.อ. 2545 มาตรา 24 หรือไม่?

ประเด็น 3: คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี และได้ระบุเหตุผลชัดเจนตาม พ.อ. 2545 มาตรา 37 วรรค 2 หรือไม่?

ประเด็น 4: การอุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่โต้แย้งดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการนั้น ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยหรือไม่ ตาม พ.อ. 2545 มาตรา 45?

Rule (กฎกฎหมายที่เกี่ยวข้อง)

ป.พ.พ. มาตรา 159: “การแสดงความสมัครใจภายใต้การชักจูงโดยใช้คำเท็จ หรือการกระทำที่จงใจให้หลงเชื่อ หรือการบังคับให้กระทำสัญญา ถือว่าเป็นความประพฤติอันชอบไม่ว่าจะเป็นโดยการข่มขู่หรือโดยการใช้กลฉ้อฉล ให้สัญญานั้นเป็นโมฆะ”

พ.อ. 2545 มาตรา 24: “คณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจพิจารณาข้อพิพาทซึ่งคู่สัญญาตกลงเสนอไว้ ตามข้อ 24 วรรค 1”

พ.อ. 2545 มาตรา 37 วรรค 2: “คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการต้องวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี และต้องระบุเหตุผลแห่งการวินิจฉัยไว้อย่างชัดแจ้ง”

พ.อ. 2545 มาตรา 45: “การอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาอันเนื่องจากคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการให้ยกขึ้นเฉพาะกรณีที่คำชี้ขาดนั้นขัดต่อวิธีพิจารณาหรือฝ่าฝืนบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน”

Application (การประยุกต์ใช้กับกรณีนี้)

ในกรณีของคู่ความนี้ มีข้อเท็จจริงที่ไม่โต้แย้งคือ ผู้ร้องได้ส่งมอบงานและเรียกร้องเงินค่าจ้างงวดสุดท้าย แต่ผู้คัดค้านไม่จ่าย จากนั้นมีการทำบันทึกข้อตกลงโดยผู้ร้องลงชื่อภายใต้เงื่อนไขที่ผู้ร้องเชื่อว่าผู้คัดค้านจะจ่ายเงิน หากไม่ลงชื่อจะไม่จ่ายเงินใด ๆ ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่เข้าองค์ประกอบ “กล ฉ้อฉล” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 159

สัญญาจ้างก่อสร้างได้กำหนดให้ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นตามสัญญานี้ตกอยู่ภายใต้อนุญาโตตุลาการ (ข้อ 25) ทำให้ข้อพิพาทเรื่องเงินประกันผลงานและค่าจ้างงวดสุดท้ายอยู่ในขอบเขตตาม พ.อ. 2545 มาตรา 24

คณะอนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นทั้งสาม และได้ระบุเหตุผลโดยชัดแจ้งว่า พยานหลักฐานรับฟังได้ว่าผู้ร้องไม่ได้สละสิทธิ์ และผู้คัดค้านยังไม่ชำระเงิน ซึ่งสอดคล้องกับ พ.อ. 2545 มาตรา 37 วรรค 2

การอุทธรณ์ของผู้คัดค้านเป็นการโต้แย้งดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการ (การรับฟังหลักฐาน น้ำหนักพยาน ฯลฯ) ซึ่งตาม พ.อ. 2545 มาตรา 45 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จึงไม่อยู่ในเหตุให้ศาลฎีการับอุทธรณ์

Conclusion (ข้อสรุป)

ศาลฎีกาเห็นว่า บันทึกข้อตกลงในกรณีนี้เป็นโมฆะเนื่องจากมีพฤติการณ์กล ฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 159 ข้อพิพาทดังกล่าวอยู่ในขอบเขตของอนุญาโตตุลาการตาม พ.อ. 2545 มาตรา 24 คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเป็นไปตามข้อกฎหมาย (มาตรา 37 วรรค 2) และการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการไม่ใช่เหตุให้ศาลฎีการับวินิจฉัยตามมาตรา 45 ดังนั้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงควรได้รับการยืน

ข้อคิดทางกฎหมาย

คู่สัญญาในสัญญาจ้างก่อสร้างควรระมัดระวังในกรณีที่มีการทำบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติม – หากลงชื่อโดยขาดเจตนาหรือถูกชักจูงด้วยกล ฉ้อฉล อาจทำให้สัญญานั้นหรือบันทึกข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะได้

การตกลงให้ข้อพิพาทอยู่ภายใต้อนุญาโตตุลาการควรระบุขอบเขตอย่างชัดเจน เพื่อให้อนุญาโตตุลาการมีอำนาจชี้ขาดตาม พ.อ. 2545 มาตรา 24

ศาลฎีกาจะไม่เข้าไปวินิจฉัยดุลพินิจของคณะอนุญาโตตุลาการ – เช่นเรื่องน้ำหนักพยานหลักฐาน หรือวิธีพิจารณาโดยทั่วไป ยกเว้นกรณีที่มีการฝ่าฝืนวิธีพิจารณาหรือบทกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย/ศีลธรรมอันดีของประชาชน

การระบุเหตุผลอย่างชัดแจ้งในคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ (ตามมาตรา 37 วรรค 2) เป็นสิ่งสำคัญ หากขาดจะเสี่ยงต่อการถูกเพิกถอนหรือไม่รับบังคับ

แนวคำถาม - ธงคำตอบ

🔹 ข้อที่ 1

คำถาม:

บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้าง (ผู้ร้อง) ทำสัญญารับจ้างก่อสร้างกับบริษัทผู้ว่าจ้าง (ผู้คัดค้าน) โดยตกลงให้ข้อพิพาทใด ๆ ที่เกิดจากสัญญานี้ให้ระงับโดยอนุญาโตตุลาการ ณ สถาบันอนุญาโตตุลาการ (กรุงเทพมหานคร) ภายหลังเมื่อผู้ร้องส่งมอบงานงวดสุดท้ายแล้ว ผู้คัดค้านไม่ยอมชำระค่าจ้างตามที่ตกลง ผู้ร้องจึงมีหนังสือเรียกร้อง และต่อมาได้ลงนามใน “บันทึกข้อตกลง” โดยเข้าใจว่าเป็นเพียงเอกสารเพื่อปิดบัญชี แต่แท้จริงผู้คัดค้านใช้ข้อความเท็จหลอกลวงให้ลงชื่อ โดยอ้างว่าจะชำระเงิน หากผู้ร้องไม่ลงชื่อจะไม่ได้รับเงินแม้แต่น้อย เมื่อภายหลังทราบข้อเท็จจริง ผู้ร้องจึงบอกล้างบันทึกข้อตกลงดังกล่าว และยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการเพื่อขอให้ชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชำระเงิน ผู้คัดค้านอ้างว่า “บันทึกข้อตกลงนั้นสมบูรณ์ใช้ได้ตามกฎหมาย เพราะผู้ร้องลงชื่อโดยสมัครใจ”

ให้วินิจฉัยว่า การลงชื่อในบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมีผลอย่างไรตามกฎหมาย และอนุญาโตตุลาการมีอำนาจวินิจฉัยข้อพิพาทนี้หรือไม่

ธงคำตอบ:

การที่ผู้ร้องลงนามในบันทึกข้อตกลงโดยถูกผู้คัดค้านใช้ กลฉ้อฉล หลอกลวงให้เชื่อว่าต้องลงชื่อเพื่อรับเงินที่เหลือจากการว่าจ้าง ถือเป็นการแสดงเจตนาโดยไม่สุจริตและเกิดจากการหลอกลวงถึงขนาด จึงเข้าลักษณะ โมฆียะกรรมอันเกิดแต่กลฉ้อฉล ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 159 ซึ่งบัญญัติว่า “โมฆียะกรรมอันเกิดแต่กลฉ้อฉล ท่านว่าบุคคลผู้ถูกกลฉ้อฉลจะบอกล้างก็ได้” เมื่อผู้ร้องได้บอกล้างบันทึกข้อตกลงดังกล่าวแล้ว ย่อมทำให้บันทึกนั้น ตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย

นอกจากนี้ ข้อพิพาทเรื่องบันทึกข้อตกลงและการเรียกร้องเงินประกันผลงานกับเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายเป็นข้อพิพาทที่ เกิดขึ้นจากสัญญาจ้างก่อสร้าง เดิม ซึ่งคู่สัญญาได้กำหนดไว้ในข้อ 25 ของสัญญาว่าให้ระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ ดังนั้น ข้อพิพาทนี้ย่อมอยู่ใน ขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ ตาม พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 ที่ให้อนุญาโตตุลาการมีอำนาจวินิจฉัย “ข้อพิพาทเกี่ยวกับการมีอยู่ การสมบูรณ์ หรือผลผูกพันแห่งสัญญา” ด้วย

ศาลฎีกาจึงเห็นว่า คณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจพิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาทในส่วนของบันทึกข้อตกลงดังกล่าวได้โดยชอบ และเมื่อพิจารณาพฤติการณ์ทั้งหมดแล้ว ถือได้ว่าบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นโมฆียะเพราะถูกกลฉ้อฉล ผู้ร้องมีสิทธิบอกล้างได้ คำชี้ขาดจึงชอบด้วยกฎหมาย

🔹 ข้อที่ 2

คำถาม:

ภายหลังคณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดให้บริษัทผู้ว่าจ้าง (ผู้คัดค้าน) ชำระเงินแก่บริษัทผู้รับเหมา (ผู้ร้อง) พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ผู้คัดค้านได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยอ้างว่า (1) คณะอนุญาโตตุลาการมิได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีและไม่ได้ให้เหตุผลชัดแจ้ง จึงเป็นคำชี้ขาดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และ (2) บันทึกข้อตกลงระหว่างคู่สัญญาเป็นการทำโดยสมัครใจ มีผลสมบูรณ์ จึงไม่อาจเพิกถอนได้ ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ:

ศาลฎีกาเห็นว่า การอุทธรณ์คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ สามารถกระทำได้เฉพาะในกรณีที่เข้าเงื่อนไขตาม พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 เท่านั้น ได้แก่กรณีที่คำชี้ขาดขัดต่อวิธีพิจารณา ฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือวินิจฉัยเกินขอบเขตแห่งข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ แต่ในคดีนี้ การอุทธรณ์ของผู้คัดค้านเป็นเพียงการ “โต้แย้งดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการ” ในการรับฟังพยานหลักฐานและการประเมินข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องถูกกลฉ้อฉลหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้ดุลพินิจในเนื้อหา ไม่ใช่การฝ่าฝืนวิธีพิจารณาหรือกฎหมาย

อีกทั้ง คณะอนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีครบถ้วนและได้ระบุเหตุผลไว้อย่างชัดแจ้ง ตาม มาตรา 37 วรรค สอง ที่บัญญัติให้ต้อง “ระบุเหตุผลแห่งคำชี้ขาด” ดังนั้น คำชี้ขาดนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การอุทธรณ์ของผู้คัดค้านจึงไม่อยู่ในเหตุที่ศาลฎีการับวินิจฉัยได้

ผลคือ ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์ของผู้คัดค้าน และพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ โดยให้ผู้คัดค้านชำระเงินตามคำชี้ขาดพร้อมดอกเบี้ยและค่าใช้จ่าย

✅ สรุปแนววินิจฉัยรวมของทั้งสองข้อ

คำพิพากษาฎีกานี้ตอกย้ำหลักสำคัญ 2 ประการในกระบวนการอนุญาโตตุลาการไทย คือ

1. หากคู่สัญญาแสดงเจตนาโดยถูก “กลฉ้อฉล” ย่อมทำให้สัญญาหรือบันทึกที่เกิดจากเจตนาดังกล่าวตกเป็น “โมฆียะ” และผู้ถูกฉ้อฉลมีสิทธิบอกล้างได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 159

2. ศาลจะไม่ก้าวล่วงไปวินิจฉัยแทนอนุญาโตตุลาการ เว้นแต่จะพบว่าคำชี้ขาดขัดต่อบทกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม มาตรา 45 แห่ง พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545


1.	ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 159 “โมฆียะกรรมอันเกิดแต่กลฉ้อฉล ท่านว่าบุคคลผู้ถูกกลฉ้อฉลจะบอกล้างก็ได้” 2.	พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 “เมื่อคู่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยกข้อคัดค้านว่าคณะอนุญาโตตุลาการไม่มีอำนาจ คณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจวินิจฉัยข้อคัดค้านนั้นได้ และให้ถือว่าคณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจวินิจฉัยข้อพิพาทเกี่ยวกับการมีอยู่ การสมบูรณ์ หรือผลผูกพันแห่งสัญญาที่คู่พิพาทได้ตกลงให้มีอนุญาโตตุลาการ รวมทั้งข้อพิพาทที่เกิดจากสัญญาดังกล่าวด้วย” 3.	พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 37 วรรคสอง “คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการต้องทำเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อโดยอนุญาโตตุลาการ หรืออนุญาโตตุลาการส่วนมาก ในกรณีมีหลายคน และต้องระบุเหตุผลแห่งคำชี้ขาด เว้นแต่คู่พิพาทจะตกลงกันเป็นอย่างอื่น ต้องระบุวันที่และสถานที่ทำคำชี้ขาดไว้ในคำชี้ขาดด้วย และให้ถือว่าสถานที่นั้นเป็นสถานที่ทำคำชี้ขาด” 4.	พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 “คู่พิพาทฝ่ายที่ประสงค์จะให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ให้ยื่นคำร้องต่อศาลและแสดงเหตุเพิกถอนได้เฉพาะในกรณีดังต่อไปนี้ (1) คู่พิพาทฝ่ายที่ยื่นคำร้องพิสูจน์ได้ว่า (ก) คู่พิพาทฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในสัญญาอนุญาโตตุลาการเป็นบุคคลไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถตามกฎหมายที่ใช้บังคับแก่บุคคลนั้น หรือ (ข) สัญญาอนุญาโตตุลาการมิใช่สัญญาที่มีผลผูกพันตามกฎหมายที่คู่พิพาทตกลงให้ใช้บังคับ หรือถ้ามิได้ตกลงกัน ให้เป็นไปตามกฎหมายไทย หรือ (ค) คู่พิพาทมิได้รับแจ้งแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการหรือมิได้รับแจ้งให้ทราบถึงกระบวนพิจารณาอนุญาโตตุลาการ หรือไม่สามารถทำคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาได้โดยเหตุอันมิใช่ความผิดของตนเอง หรือ (ง) คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยข้อพิพาทซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตแห่งข้อตกลงให้มีอนุญาโตตุลาการ หรือมีคำชี้ขาดเกินกว่าขอบเขตแห่งคำขอในคดีอนุญาโตตุลาการ แต่ถ้าข้อความที่อยู่นอกเหนือขอบเขตหรือเกินขอบเขตนั้นอาจแยกได้ ให้ศาลเพิกถอนเฉพาะส่วนนั้น หรือ (จ) องค์ประกอบของคณะอนุญาโตตุลาการหรือกระบวนพิจารณาอนุญาโตตุลาการไม่เป็นไปตามที่คู่พิพาทตกลงกันไว้หรือไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้และเป็นสาระสำคัญต่อคดี (2) ศาลเห็นเองว่า (ก) ข้อพิพาทตามคำชี้ขาดนั้นไม่อาจระงับโดยวิธีอนุญาโตตุลาการได้ตามกฎหมายไทย หรือ (ข) การยอมรับและการบังคับตามคำชี้ขาดจะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน”


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1406-1407/2567

การที่คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยว่า พฤติการณ์เป็นการถูกกลฉ้อฉลถึงขนาดจึงเป็นโมฆียะเป็นเหตุให้ผู้ร้องมีสิทธิบอกล้างบันทึกข้อตกลงได้ เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีและระบุเหตุผลแห่งการวินิจฉัยไว้โดยชัดแจ้งตาม พ.ร.บ.อนุโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 37 วรรคสอง การอุทธรณ์ทำนองว่า การทำบันทึกข้อตกลงเป็นไปด้วยความสมัครใจ จึงมีผลสมบูรณ์ใช้ได้ตามกฎหมายและมิได้ตกเป็นโมฆียะ เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและเนื้อหาในประเด็นที่คณะอนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัย โดยไม่ปรากฏว่าคณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยขัดต่อวิธีพิจารณาหรือฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงไม่เข้าเหตุที่จะอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

สัญญาพิพาทที่ระบุให้ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากสัญญานี้ คู่สัญญาตกลงระงับข้อพิพาทด้วยการอนุญาโตตุลาการ ณ สถาบันอนุญาโตตุลาการ (กรุงเทพมหานคร) จึงเป็นการกำหนดขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการไว้อย่างกว้าง เมื่อผู้ร้องยื่นคำเสนอข้อพิพาทให้ผู้คัดค้านชำระเงินประกันผลงานและเงินค่างานงวดสุดท้ายอันเนื่องมาจากการว่าจ้างก่อสร้างตามสัญญาดังกล่าว ซึ่งผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่าไม่ต้องรับผิดชำระเงินดังกล่าวแก่ผู้ร้อง ถือเป็นกรณีมีข้อพิพาทเกิดขึ้นตามสัญญาพิพาทดังกล่าว จึงอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการที่คณะอนุญาโตตุลาการจะวินิจฉัยได้และไม่ใช่คำชี้ขาดที่เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ส่วนประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับบันทึกข้อตกลงว่ามีผลใช้บังคับตามกฎหมายหรือไม่นั้น เมื่อบันทึกข้อตกลงทำขึ้นเนื่องจากผู้ร้องเรียกร้องเงินประกันผลงานและเงินค่างานงวดสุดท้าย ย่อมถือเป็นข้อพิพาทที่เกี่ยวเนื่องและเกิดขึ้นจากสัญญาจ้างก่อสร้างซึ่งต้องวินิจฉัยถึงสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจ้างก่อสร้างเช่นเดียวกัน ผู้ร้องย่อมมีสิทธิเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการและคณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดในส่วนบันทึกข้อตกลงดังกล่าวด้วย ซึ่งเป็นอำนาจในการวินิจฉัยขอบเขตอำนาจของตนรวมถึงความมีอยู่และความสมบูรณ์ของสัญญาอนุญาโตตุลาการตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกผู้ร้องในสำนวนแรกซึ่งเป็นผู้คัดค้านในสำนวนหลังว่า ผู้ร้อง และเรียกผู้คัดค้านในสำนวนแรกซึ่งเป็นผู้ร้องในสำนวนหลังว่า ผู้คัดค้าน

สำนวนแรก ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ โดยให้ผู้คัดค้านชำระเงิน 9,615,070.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ปี นับแต่วันที่ 10 มีนาคม 2565 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง และขอให้บังคับผู้คัดค้านรับผิดค่าป่วยการอนุญาโตตุลาการ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในชั้นอนุญาโตตุลาการ ค่าบริการผู้แทนหรือบุคคลเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในส่วนของผู้ร้องที่ชำระไปในชั้นอนุญาโตตุลาการรวมเป็นเงิน 113,663.50 บาท แก่ผู้ร้อง

ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ศาลปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ให้ผู้ร้องชำระค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในชั้นอนุญาโตตุลาการ ค่าป่วยการอนุญาโตตุลาการ และค่าบริการผู้แทนหรือบุคคลเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินกระบวนพิจารณาอนุญาโตตุลาการแทนผู้คัดค้าน

สำนวนหลัง ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 21/2564 ลงวันที่ 10 มีนาคม 2565 ให้ผู้ร้องชำระค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในชั้นอนุญาโตตุลาการ ค่าป่วยการอนุญาโตตุลาการ และค่าบริการผู้แทนหรือบุคคลเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินกระบวนพิจารณาอนุญาโตตุลาการแทนผู้คัดค้าน

ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ให้ผู้คัดค้านชำระเงิน 9,615,070.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 มีนาคม 2565 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ให้ผู้คัดค้านชำระค่าป่วยการอนุญาโตตุลาการและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ชั้นอนุญาโตตุลาการ ค่าบริการผู้แทนหรือบุคคลเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในส่วนของผู้ร้องที่ชำระไปในชั้นอนุญาโตตุลาการรวมเป็นเงิน 113,663.50 บาท ให้ยกคำร้องของผู้คัดค้าน กับให้ผู้คัดค้านใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ร้องทั้งสองสำนวน โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท ให้คืนค่าขึ้นศาลที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านเสียเกินมาฝ่ายละ 25,000 บาท แก่ผู้ร้องและผู้คัดค้าน

ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องและผู้คัดค้านมีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2558 ผู้คัดค้านทำสัญญาจ้างกับการไฟฟ้านครหลวงรับจ้างก่อสร้างบ่อพักและงานร้อยสายไฟฟ้าใต้ดิน ร่วมกับโครงการก่อสร้างถนนศรีนครินทร์ - ร่มเกล้า (ช่วงที่ 1) กรุงเทพมหานคร ต่อมาเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2558 ผู้ร้องตกลงรับจ้างก่อสร้างงานดังกล่าวกับผู้คัดค้านตกลงค่าจ้าง 194,796,700 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 13,635,769 บาท รวมเป็นเงิน 208,432,469 บาท โดยมีข้อตกลงว่าข้อพิพาทที่เกิดขึ้นตามสัญญานี้ คู่สัญญาตกลงระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ ณ สถาบันอนุญาโตตุลาการ (กรุงเทพมหานคร) เป็นผู้ชี้ขาด ผู้ร้องส่งมอบงานงวดสุดท้ายและแจ้งให้ผู้คัดค้านชำระค่าจ้างงวดสุดท้าย 12,716,063.01 บาท แต่ผู้คัดค้านไม่ชำระเงินค่าจ้างและเงินอื่น ๆ ตามที่ผู้ร้องเรียกร้อง ต่อมาเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563 ผู้ร้องกับผู้คัดค้านทำบันทึกข้อตกลง ภายหลังผู้ร้องมีหนังสือขอบอกล้างบันทึกข้อตกลงดังกล่าว และเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2564 ผู้ร้องยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อขอให้มีคำชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชำระเงินแก่ผู้ร้อง ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านและยื่นคำร้องขอให้คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยขอบอำนาจตามมาตรา 24 คณะอนุญาโตตุลาการมีคำสั่งเห็นควรรับฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานและจะวินิจฉัยคำร้องดังกล่าวในประเด็นข้อพิพาทที่ได้กำหนดไว้ และกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ข้อ 1 ผู้คัดค้านจะต้องชำระเงินประกันผลงานและค่าจ้างงวดสุดท้ายแก่ผู้ร้องหรือไม่ เพียงใด ข้อ 2 บันทึกข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านฉบับลงวันที่ 14 มกราคม 2563 มีผลใช้บังคับตามกฎหมายได้หรือไม่ เพียงใด ข้อ 3 ผู้ร้องมีสิทธิเสนอข้อพิพาทนี้ต่อคณะอนุญาโตตุลาการหรือไม่ ต่อมาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2565 คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชำระเงิน 9,615,070.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี นับแต่วันที่ได้มีคำชี้ขาด (วันที่ 10 มีนาคม 2565) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ให้ผู้คัดค้านรับผิดชำระค่าใช้จ่ายในชั้นอนุญาโตตุลาการ ค่าป่วยการอนุญาโตตุลาการ และค่าบริการผู้แทนหรือบุคคลเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินกระบวนพิจารณาอนุญาโตตุลาการฝ่ายละ 10,000 บาท ตามสำเนาคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 21/2565

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านประการแรกว่า การยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี และมิได้ระบุเหตุผลแห่งการวินิจฉัยโดยชัดแจ้ง เนื่องจากคู่พิพาทโต้แย้งกันตามคำเสนอข้อพิพาทและตามคำคัดค้านเฉพาะเพียงประเด็นเดียวว่าบันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ 14 มกราคม 2563 ตกเป็นโมฆียะเนื่องจากผู้คัดค้านทำกลฉ้อฉลต่อผู้ร้องเพื่อให้ลงชื่อในบันทึกข้อตกลงดังกล่าวหรือไม่เท่านั้น คณะอนุญาโตตุลาการจึงมิอาจนำข้อเท็จจริงอื่นที่คู่พิพาทมิได้โต้แย้งในคำเสนอข้อพิพาทและคำคัดค้านมาใช้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน แต่ปรากฏว่าไม่มีส่วนใดเลยในคำชี้ขาดที่วินิจฉัยว่าผู้คัดค้านได้ทำกลฉ้อฉลต่อผู้ร้องอย่างไร และกลฉ้อฉลนั้นถึงขนาดหรือไม่ จึงเป็นคำชี้ขาดที่มิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีและส่งผลให้เป็นคำชี้ขาดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น เห็นว่า ในชั้นอนุญาโตตุลาการผู้ร้องยื่นคำเสนอข้อพิพาทว่า ผู้ร้องทำสัญญาจ้างก่อสร้างกับผู้คัดค้าน ผู้ร้องส่งมอบงานงวดสุดท้ายตามกำหนดและแจ้งให้ผู้คัดค้านชำระค่างานงวดสุดท้าย แต่ผู้คัดค้านแจ้งว่าปิดงบการเงินประจำปีไปแล้วจะขอชำระบางส่วน ส่วนเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายจะชำระในลักษณะเป็นการจ้างงานใหม่ ผู้ร้องหลงเชื่อจึงยินยอมลงชื่อในบันทึกข้อตกลง แต่ผู้คัดค้านนำงานใหม่ไปว่าจ้างบุคคลอื่น การกระทำของผู้คัดค้านเป็นการฉ้อฉลให้ผู้ร้องลงชื่อในบันทึกข้อตกลงซึ่งผู้ร้องได้บอกล้างบันทึกข้อตกลงดังกล่าวแล้ว ขอให้คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชำระเงินประกันผลงานและเงินค่างานงวดสุดท้ายแก่ผู้ร้อง ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านตรวจสอบเอกสารแล้วปรากฏว่ามีแต่เงินประกันผลงานและเงินค่าจ้างค้างชำระเป็นจำนวนตามบันทึกข้อตกลงเท่านั้น จึงทำบันทึกข้อตกลงโดยผู้ร้องสละสิทธิที่จะเรียกร้องเงินอื่นใดอีก บันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นการจัดทำขึ้นตามความประสงค์ของคู่สัญญามิได้เกิดจากกลฉ้อฉล และถือได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ ผู้คัดค้านไม่ต้องรับผิดในเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายรวมถึงเงินประกันผลงานที่ผู้ร้องเรียกร้อง และผู้ร้องไม่มีสิทธิเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการเนื่องจากข้อพิพาทไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับสัญญาจ้าง คณะอนุญาโตตุลาการกำหนดประเด็นข้อพิพาทโดยความเห็นชอบของคู่พิพาททั้งสองฝ่าย ดังนี้ ข้อ 1 ผู้คัดค้านจะต้องชำระเงินประกันผลงานและค่าจ้างงวดสุดท้ายแก่ผู้ร้องหรือไม่ เพียงใด ข้อ 2 บันทึกข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านฉบับลงวันที่ 14 มกราคม 2563 มีผลใช้บังคับตามกฎหมายได้หรือไม่ เพียงใด และ ข้อ 3 ผู้ร้องมีสิทธิเสนอข้อพิพาทนี้ต่อคณะอนุญาโตตุลาการหรือไม่ ต่อมาคณะอนุญาโตตุลาการพิจารณาพยานหลักฐานและมีคำชี้ขาดวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าผู้คัดค้านยังไม่ได้จ่ายเงินประกันผลงานและเงินค่าจ้างงวดสุดท้าย และวินิจฉัยในประเด็นข้อพิพาทข้อ 2 ว่า หลังจากที่ได้ทำบันทึกข้อตกลงแล้ว กรรมการผู้ร้องได้โทรศัพท์พูดคุยกับทนายความของผู้คัดค้าน วิศวกรของผู้คัดค้าน และผู้จัดการโครงการ สอบถามเกี่ยวกับเรื่องเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายตลอดมา และต่อมาเมื่อปรากฏว่าผู้คัดค้านนำงานใหม่ไปว่าจ้างผู้อื่น ผู้ร้องจึงมีหนังสือขอบอกล้างข้อตกลง พยานหลักฐานของผู้ร้องมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า ผู้ร้องมิได้มีเจตนาสละสิทธิที่จะไม่เรียกร้องค่าจ้าง ค่างานเพิ่มเติม ค่าเสียหาย หรือเงินอื่นใดตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ที่ผู้ร้องลงลายมือชื่อในบันทึกข้อตกลงเนื่องจากผู้คัดค้านอ้างว่าเป็นแบบฟอร์มเพื่อใช้ในการปิดบัญชี และผู้ร้องต้องการรับเงินเป็นเงินประกันผลงานและค่าจ้างบางส่วนเพื่อนำไปชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ซึ่งผู้ร้องนัดหมายเอาไว้ล่วงหน้า อีกทั้งผู้ร้องยังเชื่อใจว่าผู้คัดค้านจะนำงานใหม่มาว่าจ้าง และหากผู้ร้องไม่ยินยอมลงลายมือชื่อในบันทึกข้อตกลง ผู้คัดค้านจะไม่ยินยอมจ่ายเงินใด ๆ เมื่อผู้ร้องบอกล้างข้อตกลงดังกล่าว ข้อตกลงในส่วนที่อ้างว่าผู้ร้องสละสิทธิเรียกร้องเงินค่าจ้างหรือเงินอื่นใดจึงไม่มีผลใช้บังคับ และมีคำชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชำระเงินค่าจ้างและเงินประกันผลงานรวมเป็นเงิน 9,615,070.72 บาท แก่ผู้ร้อง จึงเป็นกรณีที่คณะอนุญาโตตุลาการใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักจากพยานหลักฐานทั้งปวงแล้ววินิจฉัยว่าพฤติการณ์ดังกล่าวที่ปรากฏในคำชี้ขาดถือเป็นการถูกกลฉ้อฉลถึงขนาด จึงเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 159 เป็นเหตุให้ผู้ร้องมีสิทธิบอกล้างบันทึกข้อตกลงดังกล่าวได้ คำชี้ขาดในส่วนนี้จึงเป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีและระบุเหตุผลแห่งการวินิจฉัยไว้โดยชัดแจ้งตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 37 วรรคสอง การยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดดังกล่าวไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านทำนองว่า การทำบันทึกข้อตกลงเป็นไปด้วยความสมัครใจอันเกิดจากการคิดพิจารณาไตร่ตรองและมีอำนาจเจรจาต่อรองที่ทัดเทียมเสมอกัน บันทึกดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ใช้ได้ตามกฎหมายและมิได้ตกเป็นโมฆียะนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและเนื้อหาในประเด็นที่คณะอนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัย โดยไม่ปรากฏว่าคณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยขัดต่อวิธีพิจารณาหรือฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงไม่เข้าเหตุที่จะอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านประการต่อมาว่า คำชี้ขาดเป็นการวินิจฉัยข้อพิพาทที่ไม่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ หรือเป็นคำวินิจฉัยเกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาท และเป็นคำชี้ขาดที่ไม่สามารถจะระงับโดยการอนุญาโตตุลาการหรือไม่นั้น เมื่อพิเคราะห์ตามสัญญาจ้างก่อสร้าง ข้อ 25 ระบุให้ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นตามสัญญานี้ คู่สัญญาตกลงระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ ณ สถาบันอนุญาโตตุลาการ (กรุงเทพมหานคร) เป็นผู้ชี้ขาด ตามสัญญาดังกล่าวจึงกำหนดขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการไว้อย่างกว้าง เมื่อผู้ร้องยื่นคำเสนอข้อพิพาทให้ผู้คัดค้านชำระเงินประกันผลงานและเงินค่างานงวดสุดท้ายอันเนื่องมาจากการว่าจ้างก่อสร้างตามสัญญาจ้างก่อสร้างดังกล่าว ซึ่งผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่าไม่ต้องรับผิดชำระเงินดังกล่าวแก่ผู้ร้อง ถือเป็นกรณีมีข้อพิพาทที่เกิดขึ้นตามสัญญาจ้างก่อสร้างดังกล่าว จึงอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการที่คณะอนุญาโตตุลาการจะวินิจฉัยได้และไม่ใช่คำชี้ขาดที่เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ส่วนประเด็นข้อพิพาทในข้อ 2 เกี่ยวกับบันทึกข้อตกลงว่ามีผลใช้บังคับตามกฎหมายหรือไม่นั้น เมื่อบันทึกข้อตกลงทำขึ้นเนื่องจากผู้ร้องเรียกร้องเงินค่างานงวดสุดท้ายและเงินประกันผลงานตามสัญญาจ้างก่อสร้าง ย่อมถือเป็นข้อพิพาทที่เกี่ยวเนื่องและเกิดขึ้นจากสัญญาจ้างก่อสร้างซึ่งต้องวินิจฉัยถึงสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจ้างก่อสร้างเช่นเดียวกัน ผู้ร้องย่อมมีสิทธิเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการและคณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดในส่วนบันทึกข้อตกลงดังกล่าวด้วย ซึ่งเป็นอำนาจในการวินิจฉัยขอบเขตอำนาจของตนรวมถึงความมีอยู่และความสมบูรณ์ของสัญญาอนุญาโตตุลาการ ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 การที่คณะอนุญาโตตุลาการใช้ดุลพินิจพิจารณาจากพยานหลักฐานแล้วว่าผู้ร้องไม่มีเจตนาจะทำบันทึกข้อตกลงและได้บอกล้างบันทึกข้อตกลงดังกล่าวแล้ว การที่ผู้ร้องเรียกร้องให้ผู้คัดค้านจ่ายเงินประกันผลงานและค่าจ้างงวดสุดท้ายจึงเป็นข้อพิพาทตามสัญญาจ้างซึ่งกำหนดให้ระงับข้อพิพาทโดยการอนุญาโตตุลาการ ผู้ร้องจึงมีสิทธิเสนอข้อพิพาทนี้ต่อคณะอนุญาโตตุลาการได้ คำชี้ขาดดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยข้อพิพาทซึ่งอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการและไม่เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ จึงชอบด้วยกฎหมาย การยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าวไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการมานั้น จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

พิพากษายืน ให้ผู้คัดค้านใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนผู้ร้อง โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3425-3426/2566

ประเด็น: ขอบเขตอำนาจของคณะอนุญาโตตุลาการ / ศาลยังคงมีอำนาจตรวจสอบในประเด็นความสงบเรียบร้อยของประชาชน

สรุปข้อเท็จจริง: ในคดีนี้ คู่สัญญามีข้อตกลงอนุญาโตตุลาการและเกิดข้อพิพาทกันจนมีคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ จากนั้นฝ่ายหนึ่งยื่นให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาด อีกฝ่ายคัดค้านโดยอ้างว่าอนุญาโตตุลาการไม่มีอำนาจ หรือข้อตกลงอนุญาโตตุลาการไม่ผูกพันตน ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยอ้างอิงหลักตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 ว่าคณะอนุญาโตตุลาการย่อมมีอำนาจวินิจฉัยขอบเขตอำนาจของตนเอง รวมถึงปัญหาว่าสัญญาอนุญาโตตุลาการมีอยู่หรือมีผลผูกพันหรือไม่ (“competence-competence”) แต่ศาลฎีกาย้ำว่าประเด็นเรื่องความมีอยู่และความสมบูรณ์ของข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ ตลอดจนว่าคำชี้ขาดนั้นกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ศาลยังมีอำนาจตรวจสอบได้ เพราะมาตราดังกล่าวสัมพันธ์กับข้อยกเว้นในมาตรา 44 และ 45 ของ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ ซึ่งเปิดช่องให้ศาลปฏิเสธการบังคับคำชี้ขาดได้หากขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลจึงไม่ยอมปล่อยให้คำชี้ขาดผูกพันโดยอัตโนมัติในทุกกรณี แต่ตรวจสอบได้ว่าคำชี้ขาดนั้นอยู่บนข้อตกลงอนุญาโตตุลาการที่ชอบด้วยกฎหมายจริงหรือไม่

จุดเชื่อมกับฎีกา 1406-1407/2567: ทั้งสองคดีพูดถึง “อำนาจของคณะอนุญาโตตุลาการตามมาตรา 24” ในการวินิจฉัยว่าตนเองมีอำนาจ แต่คดี 1406-1407/2567 ศาลฎีกาตอกย้ำว่า ประเด็นการเรียกร้องเงินประกันผลงาน/ค่าจ้างงวดสุดท้าย เป็นข้อพิพาทตามสัญญาจ้างก่อสร้างโดยตรง จึงอยู่ในขอบเขตข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ ไม่ใช่เกินข้อตกลง ส่วนคดี 3425-3426/2566 ศาลเพิ่มมุม “ศาลยังคงกันพื้นที่ไว้” ว่า หากข้อตกลงอนุญาโตตุลาการเองไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือการบังคับคำชี้ขาดขัดต่อความสงบเรียบร้อย ศาลมีสิทธิไม่บังคับ แม้อนุญาโตตุลาการจะบอกว่าตนมีอำนาจแล้วก็ตาม กล่าวคือ คดี 1406-1407/2567 เน้น “ใช่ อยู่ในขอบเขตอำนาจอนุญาโตฯ” ส่วนคดี 3425-3426/2566 เน้น “แต่ศาลยังมีด่านสุดท้ายเรื่องความสงบเรียบร้อย”

2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4750-4751/2561

ประเด็น: ศาลตรวจสอบดุลพินิจของคณะอนุญาโตตุลาการได้มากน้อยแค่ไหน

สรุปข้อเท็จจริง: ในคดีนี้ คู่พิพาททางธุรกิจนำเรื่องขึ้นอนุญาโตตุลาการแล้วได้คำชี้ขาด จากนั้นมีการนำคดีเข้าสู่ศาลและโต้แย้งว่าคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐาน หนึ่งในคู่ความพยายามให้ศาลเข้ามาทบทวนเนื้อหาสาระ (merits) ของคำชี้ขาด เหมือนเป็นการอุทธรณ์ปกติในศาลทั่วไป ประเด็นคือ ศาลควร “ตรวจสอบใหม่หมด” หรือเพียงตรวจสอบกรอบตามกฎหมายอนุญาโตตุลาการ

แนววินิจฉัยที่ถูกสรุปเผยแพร่โดยสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม (TAI) คือ ศาลมีอำนาจตรวจสอบคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการได้เพียงจำกัด โดยยึดกรอบตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 เช่น ตรวจสอบว่ามีการฝ่าฝืนกระบวนพิจารณาอย่างร้ายแรงหรือไม่ คำชี้ขาดขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ หรือคำชี้ขาดออกนอกขอบเขตแห่งข้อพิพาทหรือไม่ แต่ศาลจะไม่ก้าวล่วงไปชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานใหม่แทนอนุญาโตตุลาการ

จุดเชื่อมกับฎีกา 1406-1407/2567: แนวคิดเดียวกันปรากฏอย่างเด่นชัด ศาลฎีกาในคดี 1406-1407/2567 ปฏิเสธการอุทธรณ์ที่ผู้คัดค้านพยายามโต้แย้งว่า “บันทึกข้อตกลงเป็นการลงชื่อโดยสมัครใจ” เพราะนั่นคือการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของคณะอนุญาโตตุลาการ ศาลฎีกาชี้ว่า ไม่ใช่เหตุอุทธรณ์ตามมาตรา 45 ของ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 ดังนั้น ทั้งสองคดีใช้หลักเดียวกัน: ศาลไม่ได้เป็นชั้นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงของอนุญาโตตุลาการ เว้นแต่จะเข้าเหตุในมาตรา 45 (เช่น ความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดี องค์ประกอบคณะอนุญาโตตุลาการไม่ชอบ หรือชี้ขาดเกินขอบเขต) ซึ่งสะท้อนการให้ความเคารพต่อคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการและหลัก finality ของอนุญาโตตุลาการ

3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3281/2562

ประเด็น: ความสมบูรณ์และผลผูกพันของข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ / คู่กรณีที่แท้จริง

สรุปข้อเท็จจริง: ในคดีนี้ คู่พิพาทโต้แย้งว่าข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการที่อ้างถึงนั้น “ใช้ไม่ได้” กับตน เช่น ตนไม่ใช่คู่สัญญาตามสัญญาที่มีข้ออนุญาโตตุลาการ จึงไม่ควรถูกบังคับให้ต้องไปชี้ขาดต่อหน้าคณะอนุญาโตตุลาการ หรือถูกบังคับตามคำชี้ขาดนั้น ศาลฎีกาได้สรุปในทำนองว่า ยังไม่ปรากฏเหตุที่ทำให้สัญญาอนุญาโตตุลาการเป็นโมฆะ และหากบุคคลนั้นเป็นคู่สัญญาตามสัญญาที่กำหนดให้ระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ ก็ต้องยอมรับกลไกดังกล่าว กล่าวคือ ใครที่เป็นคู่สัญญา ก็ถูกผูกพันด้วยข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ จะปฏิเสธว่า “ไม่ต้องไปอนุญาโตฯ หรอก” ไม่ได้เพียงเพราะไม่อยากไป

จุดเชื่อมกับฎีกา 1406-1407/2567: ในคดี 1406-1407/2567 ผู้คัดค้านอ้างว่าข้อพิพาทเกี่ยวกับบันทึกข้อตกลงภายหลัง (เช่น การสละสิทธิเรียกร้อง) ไม่ใช่ข้อพิพาทตามสัญญาจ้างก่อสร้างเดิม จึงไม่ควรอยู่ในอำนาจอนุญาโตตุลาการ ศาลฎีกาปฏิเสธข้ออ้างนี้ โดยเห็นว่า ข้อพิพาทเรื่องเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายและเงินประกันผลงาน ยังคง “เกิดจากสัญญาจ้างก่อสร้าง” เดิมโดยตรง แม้จะมีบันทึกข้อตกลงภายหลังมาพัวพัน จึงยังอยู่ในกรอบที่คู่สัญญาตกลงให้อนุญาโตตุลาการตัดสิน (มาตรา 24 พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545) แนวนี้สอดคล้องกับฎีกาที่ 3281/2562 ที่ยืนยันว่าผู้ที่อยู่ภายใต้สัญญาอนุญาโตตุลาการไม่อาจหลีกเลี่ยงกลไกอนุญาโตฯ ได้โดยอ้างทั่วไปว่า “ข้อตกลงอนุญาโตฯ เป็นโมฆะ” หากยังไม่มีเหตุโมฆะจริงตามกฎหมาย

4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4183/2565

ประเด็น: ความเป็นธรรมของข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ และการบังคับใช้เงื่อนไขอนุญาโตฯ เพียงช่องทางเดียว

สรุปข้อเท็จจริง: คดีนี้เกี่ยวข้องกับข้อสัญญาในสัญญาหนึ่งที่กำหนดให้ “ข้อพิพาททั้งหมดต้องระงับโดยอนุญาโตตุลาการเท่านั้น และไม่อาจนำคดีขึ้นสู่ศาลได้” ประเด็นคือ ข้อสัญญาดังกล่าวถือเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ ศาลฎีกา (ตามสรุปที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ทางการของศาลฎีกา) เห็นว่า ข้อสัญญาที่บังคับให้คู่สัญญาต้องไปอนุญาโตตุลาการเพียงอย่างเดียวโดยตัดสิทธิฟ้องศาล อาจถูกพิจารณาว่าเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม จึงต้องพิจารณาว่าเป็นการใช้อำนาจต่อรองที่เหนือกว่าอย่างไม่เป็นธรรมต่ออีกฝ่ายหรือไม่ แนวคำวินิจฉัยนี้สะท้อนหลักว่าศาลไม่ยอมให้กลไกอนุญาโตฯ ถูกใช้เป็นเครื่องมือกดทับผู้เสียเปรียบในเชิงโครงสร้าง

จุดเชื่อมกับฎีกา 1406-1407/2567: ในคดี 1406-1407/2567 ทั้งสองฝ่ายเป็นนิติบุคคลเอกชน (บริษัทก่อสร้างกับบริษัทผู้ว่าจ้าง) และต่างเป็นผู้เจรจาในสัญญาจ้างก่อสร้างเชิงพาณิชย์ ซึ่งระบุข้ออนุญาโตฯ ไว้อย่างชัดเจน ศาลฎีกาจึงยึดข้อตกลงอนุญาโตฯ ตามรูปสัญญาหลัก และยอมรับให้อนุญาโตตุลาการมีอำนาจเต็มตามมาตรา 24 ไม่เห็นว่าข้อสัญญาดังกล่าวเป็นการเอาเปรียบฝ่ายหนึ่งโดยไม่เป็นธรรม แต่คดี 4183/2565 ชี้ให้ผู้ศึกษาเห็นด้านกลับ: ถ้าข้อสัญญาอนุญาโตฯ มีลักษณะกีดกันสิทธิในศาลของ “ผู้ด้อยอำนาจต่อรอง” อย่างชัดเจน ศาลอาจมองว่าเงื่อนไขนั้นไม่เป็นธรรมและไม่อาจบังคับใช้อย่างเข้มงวดโดยอัตโนมัติ

5. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6025/2561

ประเด็น: การขอบังคับตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการต่อศาล และเงื่อนไขตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ

สรุปข้อเท็จจริง: คู่พิพาททางสัญญานำเรื่องเข้าสู่อนุญาโตตุลาการจนได้คำชี้ขาดให้ฝ่ายหนึ่งชำระเงิน อีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตาม ผู้ชนะในชั้นอนุญาโตฯ จึงยื่นต่อศาลเพื่อ “ให้ศาลมีคำสั่งบังคับตามคำชี้ขาด” ตามกระบวนการใน พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 42 เป็นต้นไป ฝ่ายแพ้ยกอุทธรณ์ในชั้นศาลฎีกาแย้งว่า คำชี้ขาดไม่ควรบังคับเพราะเห็นว่าไม่ถูกต้องในสาระ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ขั้นตอนการ “ขอบังคับคำชี้ขาด” ไม่ใช่ช่องทางให้นำข้อโต้แย้งในเนื้อหาคดี (merits) มาพิจารณาใหม่อีกครั้งเหมือนอุทธรณ์ปกติ ศาลจะตรวจสอบเพียงว่าคำชี้ขาดชอบด้วย พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการหรือไม่ เช่น ฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ หรือเกินขอบเขตข้อพิพาทหรือไม่ แต่จะไม่ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานแทนอนุญาโตตุลาการ

จุดเชื่อมกับฎีกา 1406-1407/2567: แนวนี้ตรงกับการวินิจฉัยใน 1406-1407/2567 ที่ศาลฎีกาปฏิเสธข้ออุทธรณ์ของผู้คัดค้านซึ่งโต้แย้งว่า “บันทึกข้อตกลงเป็นการยินยอมโดยเสมอภาค จึงสมบูรณ์ ไม่ใช่โมฆียะ” เพราะเป็นเพียงการโต้แย้งว่าคณะอนุญาโตตุลาการชั่งน้ำหนักพยานผิด ซึ่งไม่ใช่เหตุเพิกถอนหรือปฏิเสธการบังคับตามมาตรา 45 ดังนั้น ฎีกาที่ 6025/2561 ใช้เป็นตัวอย่างยืนยันหลักการว่า ขั้นตอนศาลหลังคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ ไม่ใช่การอุทธรณ์คดีข้อเท็จจริง แต่เป็นการตรวจสอบเชิงจำกัดภายใต้กรอบที่กฎหมายอนุญาโตตุลาการอนุญาต 




นิติกรรม

บอกล้างโมฆียะกรรม & เพิกถอนยึดทรัพย์ กลฉ้อฉล, ฉ้อโกง, (ฎีกา 5398/2567)
สัญญาเช่าโรงงาน โมฆียะ สำคัญผิด & ค่าเสียหาย(ฎีกา 7019/2567)
คดีสัญญาซื้อขายหน่วยลงทุน-พัฒนาที่ดิน,ลาภมิควรได้, โมฆะ,(ฎีกา 2358/2567)
ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉล & สิทธิผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง (ฎีกา 3107/2568)
เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินฉ้อฉล & หนี้เช่าซื้อ, เจ้าหนี้เสียเปรียบ (ฎีกา 1383/2568)
คดีแพ่งเรื่องสิทธิไถ่ถอนจำนอง, การยอมรับโดยปริยายในคดีจำนอง-ฎีกา 3553/2568
โมฆะการเปลี่ยนผู้รับผลประโยชน์ประกันชีวิต(ฎีกา 1/2568)
การเปลี่ยนผู้รับประโยชน์กรมธรรม์ประกันชีวิตโดยผู้อนุบาล ขัดต่อเจตนาผู้เอาประกัน โมฆะเพราะไม่ได้รับอนุญาตศาล(ฎีกาที่ 1/2568)
จำนองที่ดินเฉพาะส่วน และสิทธิของเจ้าของรวม,จำนอง, เจ้าของรวม, มาตรา 1361, (ฎีกาที่ 5423/2553)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7504/2567 : คดีผู้บริโภค กู้ยืมเงินตามสัญญากู้ การให้การไม่ชัดแจ้ง และการห้ามอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2568: เพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินมรดกที่ไม่สุจริต
(ฎ.432-433/2567) เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดิน ปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจ และการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ฎีกาที่ 7639/2560 : คดีเพิกถอนการขายที่ดินพิพาท ระหว่างสินส่วนตัวกับสินสมรส และปัญหาอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4084/2567 ผลของการบอกล้างโมฆียะกรรมและการชดใช้ค่าเสียหายจากค่าเสื่อมราคา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5661/2567: การสละที่ดินโครงการเป็นทางสาธารณะ และผลทางกฎหมายของการโอนขาย
การโอนสิทธิเรียกร้องและสิทธิฟ้องลูกหนี้ตามสัญญาซื้อขาย(ฎีกาที่ 6557/2567)
การปล่อยกู้โดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราและผลของโมฆะกรรมตามกฎหมาย(ฎีกาที่ 6901/2567)
ส่งมอบรถหลักประกันไม่ใช่การชำระหนี้แทนเงินกู้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 656(ฎีกาที่ 6964/2567)
สิทธิในสัญญาเช่าซื้อกับการตกทอดทางมรดก: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1366/2516
ผู้อนุบาลและคนไร้ความสามารถ, สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์เป็นโมฆียะ, การบอกล้างโมฆียะกรรม
เพิกถอนนิติกรรมวิกลจริต, การบอกล้างโมฆียกรรม, นิติกรรมของผู้ป่วยจิตเวช, โมฆียกรรมกลายเป็นโมฆะ
ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด, การขยายเวลาชำระหนี้, ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน
คดีเลิกสัญญาก่อสร้าง, สิทธิในเบี้ยปรับตามกฎหมาย, เบี้ยปรับในสัญญาก่อสร้าง
ความรับผิดของผู้รับประกันภัย, รถสูญหาย, ถูกเพลิงไหม, การละทิ้งความครอบครองรถยนต์
คดีเกี่ยวกับการบุกรุกป่าสงวน, ข้อกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินรัฐ, สิทธิการครอบครองที่ดินชั่วคราว
กฎหมายกู้ยืมเงิน, หลักฐานการกู้ยืมเงิน, ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์, การกู้ยืมเงินในไลน์และเฟสบุค
นิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์
หลักฐานการกู้ยืมเงิน, การลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืม, การพิสูจน์การชำระหนี้
คดีผู้บริโภค, การใช้สิทธิไม่สุจริต, ความสุจริตในการชำระหนี้, มาตรฐานทางการค้า
สัญญาประนีประนอมยอมความ, การรังวัดที่ดินแนวเขต, อำนาจฟ้อง,
สัญญานายหน้าและค่านายหน้า, กฎหมายลาภมิควรได้, การบอกเลิกสัญญานายหน้าโดยไม่สุจริต
สัญญาซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะ, นิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน
กู้ยืมเงินไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ,สัญญาค้ำประกัน(ฎีกา 1263/2567)
สิทธิทายาท, สละมรดกผู้เยาว์, เพิกถอนโอนที่ดิน(ฎีกา 1649/2567)
การทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์
หนังสือสัญญากู้เงินตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์
การซื้อขายที่ดินตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150
ผู้รับจำนองมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นโดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีเจ้าหนี้อื่นมาขอเฉลี่ยหนี้
สัญญาเช่าที่ดินซึ่งเป็นเจ้าของรวม
การโอนที่ดินในระยะเวลาห้ามโอนเป็นโมฆะ
สิทธิบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด
คำสั่งงดสืบพยานจำเลย
สัญญาจะซื้อจะขายมีผลอย่างไรกับสัญญาซื้อขาย
หนังสือมอบอำนาจ พิมพ์ลายนิ้วมือ
กฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยฝ่าฝืนเป็นโมฆะ | ดอกเบี้ยผิดนัด
สิทธิของผู้รับจำนองเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้เรียกว่า"บุริมสิทธิ"
สัญญาที่ทำขึ้นโดยไม่มีเจตนาแท้จริงให้ผูกพันกัน
ความรับผิดในคดีแพ่งต้องอาศัยมูลมาจากการกระทำความผิดในทางอาญา
นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย, ฝ่าฝืนกฎหมาย
อำนาจฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการจำหน่ายที่ดินเพื่อชำระเป็นเงินให้คนต่างด้าว
ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมให้สินสมรสเมื่อผู้ให้ตายแล้วไม่ต้องฟ้องผู้จัดการมรดกก็ได้
ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินสินสมรส
การขายอสังหาริมทรัพย์ของบุตรผู้เยาว์จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน
ผลของการบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขาย คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิม
นิติกรรมอำพรางคู่กรณีต้องแสดงเจตนาทำนิติกรรมขึ้นสองนิติกรรม
องค์ประกอบของนิติกรรม
สัญญารับเหมาก่อสร้างเลิกกัน คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม
สัญญาซื้อขายที่ดินเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน
ทำสัญญากู้ยืมเงินในฐานะผู้แทนของสมาคมไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
แม้ดอกเบี้ยเป็นโมฆะแต่ยังต้องรับผิดต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยผิดนัด
ข้อตกลงให้ผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ชำระค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ขายที่ดินห้ามโอนภายใน 10 ปีเป็นการสละการครอบครอง
สิทธิได้รับค่าตอบแทนก่อนบอกเลิกสัญญาตัวแทนประกันชีวิต
ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประกันชีวิต-อ้างถูกฉ้อฉลให้ทำสัญญา
ผู้รับประกันภัยได้รับประกันวินาศภัยไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ
ลูกหนี้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเกินอัตราเป็นโมฆะต้องนำมาหักเป็นต้นเงิน
สัญญาเช่าบ้านภายหลังการซื้อขาย
ผู้จะขายไม่ได้รับใบอนุญาตให้จัดสรรที่ดินผู้จะซื้อไม่รู้สัญญาไม่เป็นโมฆะ
ผู้แทนโดยชอบธรรมทำสัญญาขายไม้มรดกส่วนของผู้เยาว์-ไม่ต้องขออนุญาตศาลก่อน
คู่สัญญามีอำนาจฟ้องให้โอนทรัพย์สินให้บุตรได้
การฟ้องคดีแพ่งมิใช่เป็นการทำนิติกรรม
การกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในสัญญาถือว่าเป็นเบี้ยปรับ