
| โมฆียะบันทึกข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ & กลฉ้อฉล (ฎีกา 1406-1407/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการที่คู่สัญญาในสัญญาจ้างก่อสร้างตกลงระบุให้ข้อพิพาทนั้นให้คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยตาม พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 (พ.อ. 2545) แต่หลังจากนั้นมีการทำบันทึกข้อตกลงระหว่างคู่สัญญา ซึ่งผู้ร้องอ้างว่าได้ลงชื่อโดยหลงเชื่อเพราะถูกกลฉ้อฉลจนบันทึกข้อตกลงนั้นเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 159 และเมื่อคณะอนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัยว่า พฤติการณ์ดังกล่าวถึงขนาดเป็นการถูกกลฉ้อฉล ก็เป็นเหตุให้ผู้ร้องมีสิทธิบอกล้างบันทึกข้อตกลงได้ และคำชี้ขาดนั้นอยู่ในขอบเขตแห่งข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการ จึงชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้อุทธรณ์โดยโต้แย้งดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการ ข้อเท็จจริง 1. คู่กรณีทั้งสองฝ่ายเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยผู้คัดค้าน (ซึ่งต่อมาเป็นจำเลยในศาลฎีกา) ทำสัญญาร่วมกับ การไฟฟ้านครหลวง รับจ้างก่อสร้างบ่อพักและร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินในโครงการถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า (ช่วง 1) กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2558 2. ต่อมา เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2558 ผู้ร้อง (ผู้รับจ้างย่อย) ตกลงรับจ้างจากผู้คัดค้าน โดยราคา 194,796,700 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 13,635,769 บาท รวมเป็นเงิน 208,432,469 บาท 3. ในสัญญาจ้างระบุข้อ 25 ว่า “ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นตามสัญญานี้ คู่สัญญาตกลงระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ ณ สถาบันอนุญาโตตุลาการ (กรุงเทพมหานคร) (ส.อ.ท.) เป็นผู้ชี้ขาด” 4. ผู้ร้องส่งมอบงานงวดสุดท้ายและแจ้งให้ผู้คัดค้านชำระเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายจำนวน 12,716,063.01 บาท แต่ผู้คัดค้านยังไม่ชำระ 5. เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563 ผู้ร้องกับผู้คัดค้านได้ทำ “บันทึกข้อตกลง” โดยผู้ร้องลงชื่อในบันทึกดังกล่าว ต่อมาผู้ร้องได้ส่งหนังสือขอบอกล้างบันทึกข้อตกลงนั้น 6. วันที่ 23 มิถุนายน 2564 ผู้ร้องยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อ ส.อ.ท. เพื่อให้มีคำชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชำระเงินแก่ผู้ร้อง 7. ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านและคำร้องให้คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยขอบอำนาจตาม พ.อ. 2545 มาตรา 24 โดยคณะอนุญาโตตุลาการกำหนดประเด็นข้อพิพาท ได้แก่ o ข้อ 1 ผู้คัดค้านจะต้องชำระเงินประกันผลงานและค่าจ้างงวดสุดท้ายแก่ผู้ร้องหรือไม่ และจะชำระเพียงใด o ข้อ 2 บันทึกข้อตกลงลงวันที่ 14 มกราคม 2563 มีผลใช้บังคับตามกฎหมายได้หรือไม่ เพียงใด o ข้อ 3 ผู้ร้องมีสิทธิเสนอข้อพิพาทนี้ต่ออนุญาโตตุลาการหรือไม่ 8. วันที่ 10 มีนาคม 2565 คณะอนุญาโตตุลาการออกคำชี้ขาดในข้อพิพาทแดงหมายเลข 21/2564 ให้ผู้คัดค้านชำระเงินจำนวน 9,615,070.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี นับแต่วันออกคำชี้ขาด จนกว่าจะชำระเสร็จ พร้อมให้ผู้คัดค้านรับผิดชำระค่าใช้จ่ายในชั้นอนุญาโตตุลาการ ได้แก่ ค่าป่วยการ ค่าบริการผู้แทนบุคคลช่วยเหลือฝ่ายผู้ร้อง จำนวน 10,000 บาท และอื่น ๆ 9. ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อ ศาลฎีกา โดยโต้แย้งว่า (ก) คำชี้ขาดมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีและมิได้ระบุเหตุผลให้ชัดแจ้ง → เป็นเหตุให้การยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดจะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตาม พ.อ. 2545 มาตรา 45 (ข) บันทึกข้อตกลงเป็นไปด้วยความสมัครใจ จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย (ค) คำชี้ขาดเป็นการวินิจฉัยข้อพิพาทที่ไม่อยู่ในขอบเขตแห่งสัญญาอนุญาโตตุลาการ เป็นคำชี้ขาดเกินขอบเขตของข้อพิพาทตามข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ 10. ศาลชั้นต้น (ศาล ฯ) พิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ให้ผู้คัดค้านชำระเงิน – พร้อมดอกเบี้ย – และชำระค่าป่วยการ/ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในชั้นอนุญาโตตุลาการ พร้อมกำหนดค่าทนายความในศาลอุทธรณ์ ฯลฯ 11. ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่มีข้อโต้แย้งนั้นถือเป็น “รับฟังได้” และประเด็นโต้แย้งของผู้คัดค้านเป็นการโต้แย้งดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งศาลฎีกาไม่เข้าไปวินิจฉัยโดยตรง ตาม พ.อ. 2545 มาตรา 45 และเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า (ก) บันทึกข้อตกลงนั้นเกิดจากการหลงเชื่อโดยถูกกลฉ้อฉลจนถึงขนาด ทำให้เป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 159 (ข) ข้อพิพาททั้งหมดอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ จึงอยู่ในอำนาจของคณะอนุญาโตตุลาการตาม พ.อ. 2545 มาตรา 24 (ค) คำชี้ขาดนั้นได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีและได้ระบุเหตุผลวินิจฉัยโดยชัดแจ้งตาม พ.อ. 2545 มาตรา 37 วรรค 2 เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้วจึงเห็นว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นสมควรให้ยืน ประเด็นสำคัญที่สุดของ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1406-1407/2567 อยู่ที่การตีความ พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 และ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 159 ซึ่งเป็นแกนกลางของข้อพิพาททั้งหมด ดังนี้ 🔹 กฎหมายที่ใช้หลักในการอธิบายคดีนี้ 1. ป.พ.พ. มาตรา 159 — ว่าด้วย “โมฆียะกรรมเพราะถูกกลฉ้อฉล” ใช้เป็นหลักในการวินิจฉัยว่าบันทึกข้อตกลงที่ผู้ร้องลงชื่อภายใต้การหลอกลวงของผู้คัดค้าน เป็นโมฆียะ และผู้ร้องมีสิทธิบอกล้างได้ 2. พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 — ว่าด้วย “อำนาจของคณะอนุญาโตตุลาการ” ใช้ยืนยันว่าข้อพิพาทเรื่องเงินประกันผลงานและค่าจ้างงวดสุดท้าย เป็นข้อพิพาทที่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ 3. มาตรา 37 วรรค สอง — ว่าด้วย “การระบุเหตุผลในคำชี้ขาด” ศาลฎีกายืนยันว่าคณะอนุญาโตตุลาการได้ระบุเหตุผลไว้อย่างชัดแจ้ง จึงเป็นคำชี้ขาดที่ชอบด้วยกฎหมาย 4. มาตรา 45 — ว่าด้วย “เหตุแห่งการอุทธรณ์คำชี้ขาด” ใช้เป็นเกณฑ์ว่า การอุทธรณ์ที่เป็นเพียงการโต้แย้งดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการ ไม่เข้าเหตุให้ศาลฎีการับวินิจฉัย 🔑 Key Words หลัก 5 ประเด็นสำคัญของคดี (พร้อมขยายสั้น ๆ) 1. “กลฉ้อฉล” (Fraud or Deceit) o ศาลถือว่าผู้ร้องถูกหลอกให้ลงชื่อในบันทึกข้อตกลงโดยเชื่อว่าผู้คัดค้านจะจ่ายเงิน หากไม่เซ็นจะไม่ได้รับเงิน ถือเป็นการหลอกลวงถึงขนาด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 159 2. “โมฆียะ” (Voidable Contract) o บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆียะ และเมื่อผู้ร้องบอกล้างแล้ว สัญญานั้นไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย 3. “ขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ” (Scope of Arbitration Agreement) o ข้อพิพาทเกี่ยวกับเงินค่าจ้างและเงินประกันผลงานถือว่าเกิดจากสัญญาจ้าง ซึ่งอยู่ในขอบเขตที่คู่สัญญาตกลงให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดตาม มาตรา 24 4. “คำชี้ขาดชอบด้วยเหตุผล” (Reasoned Award) o คณะอนุญาโตตุลาการระบุเหตุผลแห่งการวินิจฉัยไว้ชัดแจ้ง ตรงตาม มาตรา 37 วรรค สอง จึงเป็นคำชี้ขาดที่สมบูรณ์ 5. “การอุทธรณ์ที่ไม่เข้าเหตุ” (Non-appealable Ground) o การอุทธรณ์ของผู้คัดค้านเป็นเพียงการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยาน ไม่ใช่การฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือศีลธรรม จึงไม่อยู่ในเหตุที่จะให้อุทธรณ์ได้ตาม มาตรา 45 สรุปแก่นคดี: ศาลฎีกาเน้นว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต้องได้รับความคุ้มครอง เว้นแต่จะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง ในคดีนี้ คณะอนุญาโตตุลาการใช้ดุลพินิจถูกต้องตามกฎหมาย การอ้างว่า “บันทึกข้อตกลงเป็นโมฆียะเพราะกลฉ้อฉล” จึงเป็นประเด็นหลักที่ศาลยืนยันว่า คำชี้ขาดนั้นชอบด้วย พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 และ ป.พ.พ. มาตรา 159. คำวินิจฉัย 1. ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริง (เช่น ผู้ร้องส่งมอบงาน ร้องขอค่าจ้างงวดสุดท้าย ผู้คัดค้านยังไม่ชำระ) ไม่ได้ถูกโต้แย้งโดยคู่ความในให้นับว่าเป็นข้อเท็จจริงรับฟังได้ในชั้นนี้ 2. ในประเด็นที่ผู้คัดค้านอ้างว่า “บันทึกข้อตกลงนั้นเป็นไปโดยความสมัครใจ” ศาลเห็นว่าเป็นการโต้แย้งดุลพินิจ (discretion) ของคณะอนุญาโตตุลาการในการรับฟังพยานหลักฐานและพิเคราะห์ข้อเท็จจริง ซึ่งศาลฎีกาไม่มีอำนาจเข้าไปทบทวนในรายละเอียด ยกเว้นกรณีที่ขัดต่อวิธีพิจารณาหรือบทกฎหมาย หรือความสงบเรียบร้อย/ศีลธรรมอันดีของประชาชน ตาม พ.อ. 2545 มาตรา 45 โดยในกรณีนี้ไม่ปรากฏว่าอนุญาโตตุลาการฝ่าฝืนวิธีพิจารณาหรือบทกฎหมาย 3. ในประเด็นว่า “คำชี้ขาดอยู่นอกขอบเขตของข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการ” ศาลพิจารณาว่า สัญญาจ้างก่อสร้างได้กำหนดให้ข้อพิพาทใด ๆ ที่เกิดขึ้นตามสัญญาให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด (ข้อ 25) ดังนั้นเมื่อผู้ร้องยื่นข้อพิพาทเรื่องเงินประกันผลงานและเงินค่าจ้างงวดสุดท้าย ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องจากสัญญาจ้างก่อสร้าง ก็อยู่ในขอบเขตของอนุญาโตตุลาการตาม พ.อ. 2545 มาตรา 24 4. ในประเด็น “บันทึกข้อตกลงเป็นโมฆะ” ศาลเห็นว่า พยานหลักฐานรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านได้ว่าจ้างงานใหม่ไปทำโดยผู้ร้องถูกหลอกให้เซ็นบันทึกข้อตกลงภายใต้ความเชื่อว่าได้รับเงินประกันและค่าจ้างบางส่วน และหากไม่เซ็นผู้คัดค้านจะไม่จ่ายเงินใด ๆ ซึ่งเป็นพฤติการณ์ “กล ฉ้อฉล” จนทำให้บันทึกข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 159 5. เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้ว ศาลเห็นว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้นเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี มีเหตุผลวินิจฉัยอย่างชัดเจนตาม พ.อ. 2545 มาตรา 37 วรรค 2 และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงให้ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ประเด็นทางกฎหมายที่น่าสนใจ • กรณีที่บันทึกข้อตกลง ระหว่างคู่สัญญาในสัญญาจ้างก่อสร้าง หากผู้หนึ่งถูกกล ฉ้อฉลจนลงชื่อโดยความเข้าใจผิดหรือถูกบังคับให้เซ็น จะอาจทำให้บันทึกข้อตกลงนั้นเป็น โมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 159 • ความสำคัญของข้อ 25 ในสัญญาจ้างก่อสร้างที่ระบุไว้ว่า “ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นตามสัญญานี้ให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด” ถือว่าเป็นการกำหนด ขอบเขตแห่งข้อพิพาท ตาม พ.อ. 2545 มาตรา 24 • ในระบบอนุญาโตตุลาการ ภายใต้ พ.อ. 2545 กรณีที่คู่ความโต้แย้งคือ ดุลพินิจของคณะอนุญาโตตุลาการ (เช่น พยานหลักฐาน น้ำหนักพยาน) ศาลฎีกาจะไม่เข้าไปวินิจฉัยซ้ำตามมาตรา 45 เว้นแต่มีการฝ่าฝืนวิธีพิจารณาหรือบทกฎหมาย • คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจะได้รับการคุ้มครอง หากเป็นการชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีและมีการระบุเหตุผลชัดเจนตาม พ.อ. 2545 มาตรา 37 วรรค 2 IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) Issue (ประเด็นปัญหา) • ประเด็น 1: บันทึกข้อตกลงลงวันที่ 14 มกราคม 2563 ที่ผู้ร้องลงชื่อโดยอ้างว่าถูกกล ฉ้อฉล ถือว่าเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 159 หรือไม่? • ประเด็น 2: ข้อพิพาทเรื่องเงินประกันผลงานและค่าจ้างงวดสุดท้ายนี้อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการตาม พ.อ. 2545 มาตรา 24 หรือไม่? • ประเด็น 3: คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี และได้ระบุเหตุผลชัดเจนตาม พ.อ. 2545 มาตรา 37 วรรค 2 หรือไม่? • ประเด็น 4: การอุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่โต้แย้งดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการนั้น ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยหรือไม่ ตาม พ.อ. 2545 มาตรา 45? Rule (กฎกฎหมายที่เกี่ยวข้อง) • ป.พ.พ. มาตรา 159: “การแสดงความสมัครใจภายใต้การชักจูงโดยใช้คำเท็จ หรือการกระทำที่จงใจให้หลงเชื่อ หรือการบังคับให้กระทำสัญญา ถือว่าเป็นความประพฤติอันชอบไม่ว่าจะเป็นโดยการข่มขู่หรือโดยการใช้กลฉ้อฉล ให้สัญญานั้นเป็นโมฆะ” • พ.อ. 2545 มาตรา 24: “คณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจพิจารณาข้อพิพาทซึ่งคู่สัญญาตกลงเสนอไว้ ตามข้อ 24 วรรค 1” • พ.อ. 2545 มาตรา 37 วรรค 2: “คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการต้องวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี และต้องระบุเหตุผลแห่งการวินิจฉัยไว้อย่างชัดแจ้ง” • พ.อ. 2545 มาตรา 45: “การอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาอันเนื่องจากคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการให้ยกขึ้นเฉพาะกรณีที่คำชี้ขาดนั้นขัดต่อวิธีพิจารณาหรือฝ่าฝืนบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” Application (การประยุกต์ใช้กับกรณีนี้) • ในกรณีของคู่ความนี้ มีข้อเท็จจริงที่ไม่โต้แย้งคือ ผู้ร้องได้ส่งมอบงานและเรียกร้องเงินค่าจ้างงวดสุดท้าย แต่ผู้คัดค้านไม่จ่าย จากนั้นมีการทำบันทึกข้อตกลงโดยผู้ร้องลงชื่อภายใต้เงื่อนไขที่ผู้ร้องเชื่อว่าผู้คัดค้านจะจ่ายเงิน หากไม่ลงชื่อจะไม่จ่ายเงินใด ๆ ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่เข้าองค์ประกอบ “กล ฉ้อฉล” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 159 • สัญญาจ้างก่อสร้างได้กำหนดให้ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นตามสัญญานี้ตกอยู่ภายใต้อนุญาโตตุลาการ (ข้อ 25) ทำให้ข้อพิพาทเรื่องเงินประกันผลงานและค่าจ้างงวดสุดท้ายอยู่ในขอบเขตตาม พ.อ. 2545 มาตรา 24 • คณะอนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นทั้งสาม และได้ระบุเหตุผลโดยชัดแจ้งว่า พยานหลักฐานรับฟังได้ว่าผู้ร้องไม่ได้สละสิทธิ์ และผู้คัดค้านยังไม่ชำระเงิน ซึ่งสอดคล้องกับ พ.อ. 2545 มาตรา 37 วรรค 2 • การอุทธรณ์ของผู้คัดค้านเป็นการโต้แย้งดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการ (การรับฟังหลักฐาน น้ำหนักพยาน ฯลฯ) ซึ่งตาม พ.อ. 2545 มาตรา 45 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จึงไม่อยู่ในเหตุให้ศาลฎีการับอุทธรณ์ Conclusion (ข้อสรุป) ศาลฎีกาเห็นว่า บันทึกข้อตกลงในกรณีนี้เป็นโมฆะเนื่องจากมีพฤติการณ์กล ฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 159 ข้อพิพาทดังกล่าวอยู่ในขอบเขตของอนุญาโตตุลาการตาม พ.อ. 2545 มาตรา 24 คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเป็นไปตามข้อกฎหมาย (มาตรา 37 วรรค 2) และการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการไม่ใช่เหตุให้ศาลฎีการับวินิจฉัยตามมาตรา 45 ดังนั้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงควรได้รับการยืน ข้อคิดทางกฎหมาย • คู่สัญญาในสัญญาจ้างก่อสร้างควรระมัดระวังในกรณีที่มีการทำบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติม – หากลงชื่อโดยขาดเจตนาหรือถูกชักจูงด้วยกล ฉ้อฉล อาจทำให้สัญญานั้นหรือบันทึกข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะได้ • การตกลงให้ข้อพิพาทอยู่ภายใต้อนุญาโตตุลาการควรระบุขอบเขตอย่างชัดเจน เพื่อให้อนุญาโตตุลาการมีอำนาจชี้ขาดตาม พ.อ. 2545 มาตรา 24 • ศาลฎีกาจะไม่เข้าไปวินิจฉัยดุลพินิจของคณะอนุญาโตตุลาการ – เช่นเรื่องน้ำหนักพยานหลักฐาน หรือวิธีพิจารณาโดยทั่วไป ยกเว้นกรณีที่มีการฝ่าฝืนวิธีพิจารณาหรือบทกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย/ศีลธรรมอันดีของประชาชน • การระบุเหตุผลอย่างชัดแจ้งในคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ (ตามมาตรา 37 วรรค 2) เป็นสิ่งสำคัญ หากขาดจะเสี่ยงต่อการถูกเพิกถอนหรือไม่รับบังคับ แนวคำถาม - ธงคำตอบ 🔹 ข้อที่ 1 คำถาม: บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้าง (ผู้ร้อง) ทำสัญญารับจ้างก่อสร้างกับบริษัทผู้ว่าจ้าง (ผู้คัดค้าน) โดยตกลงให้ข้อพิพาทใด ๆ ที่เกิดจากสัญญานี้ให้ระงับโดยอนุญาโตตุลาการ ณ สถาบันอนุญาโตตุลาการ (กรุงเทพมหานคร) ภายหลังเมื่อผู้ร้องส่งมอบงานงวดสุดท้ายแล้ว ผู้คัดค้านไม่ยอมชำระค่าจ้างตามที่ตกลง ผู้ร้องจึงมีหนังสือเรียกร้อง และต่อมาได้ลงนามใน “บันทึกข้อตกลง” โดยเข้าใจว่าเป็นเพียงเอกสารเพื่อปิดบัญชี แต่แท้จริงผู้คัดค้านใช้ข้อความเท็จหลอกลวงให้ลงชื่อ โดยอ้างว่าจะชำระเงิน หากผู้ร้องไม่ลงชื่อจะไม่ได้รับเงินแม้แต่น้อย เมื่อภายหลังทราบข้อเท็จจริง ผู้ร้องจึงบอกล้างบันทึกข้อตกลงดังกล่าว และยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการเพื่อขอให้ชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชำระเงิน ผู้คัดค้านอ้างว่า “บันทึกข้อตกลงนั้นสมบูรณ์ใช้ได้ตามกฎหมาย เพราะผู้ร้องลงชื่อโดยสมัครใจ” ให้วินิจฉัยว่า การลงชื่อในบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมีผลอย่างไรตามกฎหมาย และอนุญาโตตุลาการมีอำนาจวินิจฉัยข้อพิพาทนี้หรือไม่ ธงคำตอบ: การที่ผู้ร้องลงนามในบันทึกข้อตกลงโดยถูกผู้คัดค้านใช้ กลฉ้อฉล หลอกลวงให้เชื่อว่าต้องลงชื่อเพื่อรับเงินที่เหลือจากการว่าจ้าง ถือเป็นการแสดงเจตนาโดยไม่สุจริตและเกิดจากการหลอกลวงถึงขนาด จึงเข้าลักษณะ โมฆียะกรรมอันเกิดแต่กลฉ้อฉล ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 159 ซึ่งบัญญัติว่า “โมฆียะกรรมอันเกิดแต่กลฉ้อฉล ท่านว่าบุคคลผู้ถูกกลฉ้อฉลจะบอกล้างก็ได้” เมื่อผู้ร้องได้บอกล้างบันทึกข้อตกลงดังกล่าวแล้ว ย่อมทำให้บันทึกนั้น ตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย นอกจากนี้ ข้อพิพาทเรื่องบันทึกข้อตกลงและการเรียกร้องเงินประกันผลงานกับเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายเป็นข้อพิพาทที่ เกิดขึ้นจากสัญญาจ้างก่อสร้าง เดิม ซึ่งคู่สัญญาได้กำหนดไว้ในข้อ 25 ของสัญญาว่าให้ระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ ดังนั้น ข้อพิพาทนี้ย่อมอยู่ใน ขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ ตาม พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 ที่ให้อนุญาโตตุลาการมีอำนาจวินิจฉัย “ข้อพิพาทเกี่ยวกับการมีอยู่ การสมบูรณ์ หรือผลผูกพันแห่งสัญญา” ด้วย ศาลฎีกาจึงเห็นว่า คณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจพิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาทในส่วนของบันทึกข้อตกลงดังกล่าวได้โดยชอบ และเมื่อพิจารณาพฤติการณ์ทั้งหมดแล้ว ถือได้ว่าบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นโมฆียะเพราะถูกกลฉ้อฉล ผู้ร้องมีสิทธิบอกล้างได้ คำชี้ขาดจึงชอบด้วยกฎหมาย 🔹 ข้อที่ 2 คำถาม: ภายหลังคณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดให้บริษัทผู้ว่าจ้าง (ผู้คัดค้าน) ชำระเงินแก่บริษัทผู้รับเหมา (ผู้ร้อง) พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ผู้คัดค้านได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยอ้างว่า (1) คณะอนุญาโตตุลาการมิได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีและไม่ได้ให้เหตุผลชัดแจ้ง จึงเป็นคำชี้ขาดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และ (2) บันทึกข้อตกลงระหว่างคู่สัญญาเป็นการทำโดยสมัครใจ มีผลสมบูรณ์ จึงไม่อาจเพิกถอนได้ ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ธงคำตอบ: ศาลฎีกาเห็นว่า การอุทธรณ์คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ สามารถกระทำได้เฉพาะในกรณีที่เข้าเงื่อนไขตาม พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 เท่านั้น ได้แก่กรณีที่คำชี้ขาดขัดต่อวิธีพิจารณา ฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือวินิจฉัยเกินขอบเขตแห่งข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ แต่ในคดีนี้ การอุทธรณ์ของผู้คัดค้านเป็นเพียงการ “โต้แย้งดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการ” ในการรับฟังพยานหลักฐานและการประเมินข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องถูกกลฉ้อฉลหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้ดุลพินิจในเนื้อหา ไม่ใช่การฝ่าฝืนวิธีพิจารณาหรือกฎหมาย อีกทั้ง คณะอนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีครบถ้วนและได้ระบุเหตุผลไว้อย่างชัดแจ้ง ตาม มาตรา 37 วรรค สอง ที่บัญญัติให้ต้อง “ระบุเหตุผลแห่งคำชี้ขาด” ดังนั้น คำชี้ขาดนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การอุทธรณ์ของผู้คัดค้านจึงไม่อยู่ในเหตุที่ศาลฎีการับวินิจฉัยได้ ผลคือ ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์ของผู้คัดค้าน และพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ โดยให้ผู้คัดค้านชำระเงินตามคำชี้ขาดพร้อมดอกเบี้ยและค่าใช้จ่าย ✅ สรุปแนววินิจฉัยรวมของทั้งสองข้อ คำพิพากษาฎีกานี้ตอกย้ำหลักสำคัญ 2 ประการในกระบวนการอนุญาโตตุลาการไทย คือ 1. หากคู่สัญญาแสดงเจตนาโดยถูก “กลฉ้อฉล” ย่อมทำให้สัญญาหรือบันทึกที่เกิดจากเจตนาดังกล่าวตกเป็น “โมฆียะ” และผู้ถูกฉ้อฉลมีสิทธิบอกล้างได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 159 2. ศาลจะไม่ก้าวล่วงไปวินิจฉัยแทนอนุญาโตตุลาการ เว้นแต่จะพบว่าคำชี้ขาดขัดต่อบทกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม มาตรา 45 แห่ง พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1406-1407/2567 การที่คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยว่า พฤติการณ์เป็นการถูกกลฉ้อฉลถึงขนาดจึงเป็นโมฆียะเป็นเหตุให้ผู้ร้องมีสิทธิบอกล้างบันทึกข้อตกลงได้ เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีและระบุเหตุผลแห่งการวินิจฉัยไว้โดยชัดแจ้งตาม พ.ร.บ.อนุโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 37 วรรคสอง การอุทธรณ์ทำนองว่า การทำบันทึกข้อตกลงเป็นไปด้วยความสมัครใจ จึงมีผลสมบูรณ์ใช้ได้ตามกฎหมายและมิได้ตกเป็นโมฆียะ เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและเนื้อหาในประเด็นที่คณะอนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัย โดยไม่ปรากฏว่าคณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยขัดต่อวิธีพิจารณาหรือฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงไม่เข้าเหตุที่จะอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย สัญญาพิพาทที่ระบุให้ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากสัญญานี้ คู่สัญญาตกลงระงับข้อพิพาทด้วยการอนุญาโตตุลาการ ณ สถาบันอนุญาโตตุลาการ (กรุงเทพมหานคร) จึงเป็นการกำหนดขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการไว้อย่างกว้าง เมื่อผู้ร้องยื่นคำเสนอข้อพิพาทให้ผู้คัดค้านชำระเงินประกันผลงานและเงินค่างานงวดสุดท้ายอันเนื่องมาจากการว่าจ้างก่อสร้างตามสัญญาดังกล่าว ซึ่งผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่าไม่ต้องรับผิดชำระเงินดังกล่าวแก่ผู้ร้อง ถือเป็นกรณีมีข้อพิพาทเกิดขึ้นตามสัญญาพิพาทดังกล่าว จึงอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการที่คณะอนุญาโตตุลาการจะวินิจฉัยได้และไม่ใช่คำชี้ขาดที่เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ส่วนประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับบันทึกข้อตกลงว่ามีผลใช้บังคับตามกฎหมายหรือไม่นั้น เมื่อบันทึกข้อตกลงทำขึ้นเนื่องจากผู้ร้องเรียกร้องเงินประกันผลงานและเงินค่างานงวดสุดท้าย ย่อมถือเป็นข้อพิพาทที่เกี่ยวเนื่องและเกิดขึ้นจากสัญญาจ้างก่อสร้างซึ่งต้องวินิจฉัยถึงสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจ้างก่อสร้างเช่นเดียวกัน ผู้ร้องย่อมมีสิทธิเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการและคณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดในส่วนบันทึกข้อตกลงดังกล่าวด้วย ซึ่งเป็นอำนาจในการวินิจฉัยขอบเขตอำนาจของตนรวมถึงความมีอยู่และความสมบูรณ์ของสัญญาอนุญาโตตุลาการตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกผู้ร้องในสำนวนแรกซึ่งเป็นผู้คัดค้านในสำนวนหลังว่า ผู้ร้อง และเรียกผู้คัดค้านในสำนวนแรกซึ่งเป็นผู้ร้องในสำนวนหลังว่า ผู้คัดค้าน สำนวนแรก ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ โดยให้ผู้คัดค้านชำระเงิน 9,615,070.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ปี นับแต่วันที่ 10 มีนาคม 2565 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง และขอให้บังคับผู้คัดค้านรับผิดค่าป่วยการอนุญาโตตุลาการ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในชั้นอนุญาโตตุลาการ ค่าบริการผู้แทนหรือบุคคลเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในส่วนของผู้ร้องที่ชำระไปในชั้นอนุญาโตตุลาการรวมเป็นเงิน 113,663.50 บาท แก่ผู้ร้อง ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ศาลปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ให้ผู้ร้องชำระค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในชั้นอนุญาโตตุลาการ ค่าป่วยการอนุญาโตตุลาการ และค่าบริการผู้แทนหรือบุคคลเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินกระบวนพิจารณาอนุญาโตตุลาการแทนผู้คัดค้าน สำนวนหลัง ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 21/2564 ลงวันที่ 10 มีนาคม 2565 ให้ผู้ร้องชำระค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในชั้นอนุญาโตตุลาการ ค่าป่วยการอนุญาโตตุลาการ และค่าบริการผู้แทนหรือบุคคลเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินกระบวนพิจารณาอนุญาโตตุลาการแทนผู้คัดค้าน ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ให้ผู้คัดค้านชำระเงิน 9,615,070.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 มีนาคม 2565 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ให้ผู้คัดค้านชำระค่าป่วยการอนุญาโตตุลาการและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ชั้นอนุญาโตตุลาการ ค่าบริการผู้แทนหรือบุคคลเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในส่วนของผู้ร้องที่ชำระไปในชั้นอนุญาโตตุลาการรวมเป็นเงิน 113,663.50 บาท ให้ยกคำร้องของผู้คัดค้าน กับให้ผู้คัดค้านใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ร้องทั้งสองสำนวน โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท ให้คืนค่าขึ้นศาลที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านเสียเกินมาฝ่ายละ 25,000 บาท แก่ผู้ร้องและผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องและผู้คัดค้านมีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2558 ผู้คัดค้านทำสัญญาจ้างกับการไฟฟ้านครหลวงรับจ้างก่อสร้างบ่อพักและงานร้อยสายไฟฟ้าใต้ดิน ร่วมกับโครงการก่อสร้างถนนศรีนครินทร์ - ร่มเกล้า (ช่วงที่ 1) กรุงเทพมหานคร ต่อมาเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2558 ผู้ร้องตกลงรับจ้างก่อสร้างงานดังกล่าวกับผู้คัดค้านตกลงค่าจ้าง 194,796,700 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 13,635,769 บาท รวมเป็นเงิน 208,432,469 บาท โดยมีข้อตกลงว่าข้อพิพาทที่เกิดขึ้นตามสัญญานี้ คู่สัญญาตกลงระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ ณ สถาบันอนุญาโตตุลาการ (กรุงเทพมหานคร) เป็นผู้ชี้ขาด ผู้ร้องส่งมอบงานงวดสุดท้ายและแจ้งให้ผู้คัดค้านชำระค่าจ้างงวดสุดท้าย 12,716,063.01 บาท แต่ผู้คัดค้านไม่ชำระเงินค่าจ้างและเงินอื่น ๆ ตามที่ผู้ร้องเรียกร้อง ต่อมาเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563 ผู้ร้องกับผู้คัดค้านทำบันทึกข้อตกลง ภายหลังผู้ร้องมีหนังสือขอบอกล้างบันทึกข้อตกลงดังกล่าว และเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2564 ผู้ร้องยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อขอให้มีคำชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชำระเงินแก่ผู้ร้อง ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านและยื่นคำร้องขอให้คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยขอบอำนาจตามมาตรา 24 คณะอนุญาโตตุลาการมีคำสั่งเห็นควรรับฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานและจะวินิจฉัยคำร้องดังกล่าวในประเด็นข้อพิพาทที่ได้กำหนดไว้ และกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ข้อ 1 ผู้คัดค้านจะต้องชำระเงินประกันผลงานและค่าจ้างงวดสุดท้ายแก่ผู้ร้องหรือไม่ เพียงใด ข้อ 2 บันทึกข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านฉบับลงวันที่ 14 มกราคม 2563 มีผลใช้บังคับตามกฎหมายได้หรือไม่ เพียงใด ข้อ 3 ผู้ร้องมีสิทธิเสนอข้อพิพาทนี้ต่อคณะอนุญาโตตุลาการหรือไม่ ต่อมาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2565 คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชำระเงิน 9,615,070.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี นับแต่วันที่ได้มีคำชี้ขาด (วันที่ 10 มีนาคม 2565) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ให้ผู้คัดค้านรับผิดชำระค่าใช้จ่ายในชั้นอนุญาโตตุลาการ ค่าป่วยการอนุญาโตตุลาการ และค่าบริการผู้แทนหรือบุคคลเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินกระบวนพิจารณาอนุญาโตตุลาการฝ่ายละ 10,000 บาท ตามสำเนาคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 21/2565 คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านประการแรกว่า การยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี และมิได้ระบุเหตุผลแห่งการวินิจฉัยโดยชัดแจ้ง เนื่องจากคู่พิพาทโต้แย้งกันตามคำเสนอข้อพิพาทและตามคำคัดค้านเฉพาะเพียงประเด็นเดียวว่าบันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ 14 มกราคม 2563 ตกเป็นโมฆียะเนื่องจากผู้คัดค้านทำกลฉ้อฉลต่อผู้ร้องเพื่อให้ลงชื่อในบันทึกข้อตกลงดังกล่าวหรือไม่เท่านั้น คณะอนุญาโตตุลาการจึงมิอาจนำข้อเท็จจริงอื่นที่คู่พิพาทมิได้โต้แย้งในคำเสนอข้อพิพาทและคำคัดค้านมาใช้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน แต่ปรากฏว่าไม่มีส่วนใดเลยในคำชี้ขาดที่วินิจฉัยว่าผู้คัดค้านได้ทำกลฉ้อฉลต่อผู้ร้องอย่างไร และกลฉ้อฉลนั้นถึงขนาดหรือไม่ จึงเป็นคำชี้ขาดที่มิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีและส่งผลให้เป็นคำชี้ขาดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น เห็นว่า ในชั้นอนุญาโตตุลาการผู้ร้องยื่นคำเสนอข้อพิพาทว่า ผู้ร้องทำสัญญาจ้างก่อสร้างกับผู้คัดค้าน ผู้ร้องส่งมอบงานงวดสุดท้ายตามกำหนดและแจ้งให้ผู้คัดค้านชำระค่างานงวดสุดท้าย แต่ผู้คัดค้านแจ้งว่าปิดงบการเงินประจำปีไปแล้วจะขอชำระบางส่วน ส่วนเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายจะชำระในลักษณะเป็นการจ้างงานใหม่ ผู้ร้องหลงเชื่อจึงยินยอมลงชื่อในบันทึกข้อตกลง แต่ผู้คัดค้านนำงานใหม่ไปว่าจ้างบุคคลอื่น การกระทำของผู้คัดค้านเป็นการฉ้อฉลให้ผู้ร้องลงชื่อในบันทึกข้อตกลงซึ่งผู้ร้องได้บอกล้างบันทึกข้อตกลงดังกล่าวแล้ว ขอให้คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชำระเงินประกันผลงานและเงินค่างานงวดสุดท้ายแก่ผู้ร้อง ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านตรวจสอบเอกสารแล้วปรากฏว่ามีแต่เงินประกันผลงานและเงินค่าจ้างค้างชำระเป็นจำนวนตามบันทึกข้อตกลงเท่านั้น จึงทำบันทึกข้อตกลงโดยผู้ร้องสละสิทธิที่จะเรียกร้องเงินอื่นใดอีก บันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นการจัดทำขึ้นตามความประสงค์ของคู่สัญญามิได้เกิดจากกลฉ้อฉล และถือได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ ผู้คัดค้านไม่ต้องรับผิดในเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายรวมถึงเงินประกันผลงานที่ผู้ร้องเรียกร้อง และผู้ร้องไม่มีสิทธิเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการเนื่องจากข้อพิพาทไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับสัญญาจ้าง คณะอนุญาโตตุลาการกำหนดประเด็นข้อพิพาทโดยความเห็นชอบของคู่พิพาททั้งสองฝ่าย ดังนี้ ข้อ 1 ผู้คัดค้านจะต้องชำระเงินประกันผลงานและค่าจ้างงวดสุดท้ายแก่ผู้ร้องหรือไม่ เพียงใด ข้อ 2 บันทึกข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านฉบับลงวันที่ 14 มกราคม 2563 มีผลใช้บังคับตามกฎหมายได้หรือไม่ เพียงใด และ ข้อ 3 ผู้ร้องมีสิทธิเสนอข้อพิพาทนี้ต่อคณะอนุญาโตตุลาการหรือไม่ ต่อมาคณะอนุญาโตตุลาการพิจารณาพยานหลักฐานและมีคำชี้ขาดวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าผู้คัดค้านยังไม่ได้จ่ายเงินประกันผลงานและเงินค่าจ้างงวดสุดท้าย และวินิจฉัยในประเด็นข้อพิพาทข้อ 2 ว่า หลังจากที่ได้ทำบันทึกข้อตกลงแล้ว กรรมการผู้ร้องได้โทรศัพท์พูดคุยกับทนายความของผู้คัดค้าน วิศวกรของผู้คัดค้าน และผู้จัดการโครงการ สอบถามเกี่ยวกับเรื่องเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายตลอดมา และต่อมาเมื่อปรากฏว่าผู้คัดค้านนำงานใหม่ไปว่าจ้างผู้อื่น ผู้ร้องจึงมีหนังสือขอบอกล้างข้อตกลง พยานหลักฐานของผู้ร้องมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า ผู้ร้องมิได้มีเจตนาสละสิทธิที่จะไม่เรียกร้องค่าจ้าง ค่างานเพิ่มเติม ค่าเสียหาย หรือเงินอื่นใดตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ที่ผู้ร้องลงลายมือชื่อในบันทึกข้อตกลงเนื่องจากผู้คัดค้านอ้างว่าเป็นแบบฟอร์มเพื่อใช้ในการปิดบัญชี และผู้ร้องต้องการรับเงินเป็นเงินประกันผลงานและค่าจ้างบางส่วนเพื่อนำไปชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ซึ่งผู้ร้องนัดหมายเอาไว้ล่วงหน้า อีกทั้งผู้ร้องยังเชื่อใจว่าผู้คัดค้านจะนำงานใหม่มาว่าจ้าง และหากผู้ร้องไม่ยินยอมลงลายมือชื่อในบันทึกข้อตกลง ผู้คัดค้านจะไม่ยินยอมจ่ายเงินใด ๆ เมื่อผู้ร้องบอกล้างข้อตกลงดังกล่าว ข้อตกลงในส่วนที่อ้างว่าผู้ร้องสละสิทธิเรียกร้องเงินค่าจ้างหรือเงินอื่นใดจึงไม่มีผลใช้บังคับ และมีคำชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชำระเงินค่าจ้างและเงินประกันผลงานรวมเป็นเงิน 9,615,070.72 บาท แก่ผู้ร้อง จึงเป็นกรณีที่คณะอนุญาโตตุลาการใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักจากพยานหลักฐานทั้งปวงแล้ววินิจฉัยว่าพฤติการณ์ดังกล่าวที่ปรากฏในคำชี้ขาดถือเป็นการถูกกลฉ้อฉลถึงขนาด จึงเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 159 เป็นเหตุให้ผู้ร้องมีสิทธิบอกล้างบันทึกข้อตกลงดังกล่าวได้ คำชี้ขาดในส่วนนี้จึงเป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีและระบุเหตุผลแห่งการวินิจฉัยไว้โดยชัดแจ้งตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 37 วรรคสอง การยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดดังกล่าวไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านทำนองว่า การทำบันทึกข้อตกลงเป็นไปด้วยความสมัครใจอันเกิดจากการคิดพิจารณาไตร่ตรองและมีอำนาจเจรจาต่อรองที่ทัดเทียมเสมอกัน บันทึกดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ใช้ได้ตามกฎหมายและมิได้ตกเป็นโมฆียะนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและเนื้อหาในประเด็นที่คณะอนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัย โดยไม่ปรากฏว่าคณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยขัดต่อวิธีพิจารณาหรือฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงไม่เข้าเหตุที่จะอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านประการต่อมาว่า คำชี้ขาดเป็นการวินิจฉัยข้อพิพาทที่ไม่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ หรือเป็นคำวินิจฉัยเกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาท และเป็นคำชี้ขาดที่ไม่สามารถจะระงับโดยการอนุญาโตตุลาการหรือไม่นั้น เมื่อพิเคราะห์ตามสัญญาจ้างก่อสร้าง ข้อ 25 ระบุให้ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นตามสัญญานี้ คู่สัญญาตกลงระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ ณ สถาบันอนุญาโตตุลาการ (กรุงเทพมหานคร) เป็นผู้ชี้ขาด ตามสัญญาดังกล่าวจึงกำหนดขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการไว้อย่างกว้าง เมื่อผู้ร้องยื่นคำเสนอข้อพิพาทให้ผู้คัดค้านชำระเงินประกันผลงานและเงินค่างานงวดสุดท้ายอันเนื่องมาจากการว่าจ้างก่อสร้างตามสัญญาจ้างก่อสร้างดังกล่าว ซึ่งผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่าไม่ต้องรับผิดชำระเงินดังกล่าวแก่ผู้ร้อง ถือเป็นกรณีมีข้อพิพาทที่เกิดขึ้นตามสัญญาจ้างก่อสร้างดังกล่าว จึงอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการที่คณะอนุญาโตตุลาการจะวินิจฉัยได้และไม่ใช่คำชี้ขาดที่เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ส่วนประเด็นข้อพิพาทในข้อ 2 เกี่ยวกับบันทึกข้อตกลงว่ามีผลใช้บังคับตามกฎหมายหรือไม่นั้น เมื่อบันทึกข้อตกลงทำขึ้นเนื่องจากผู้ร้องเรียกร้องเงินค่างานงวดสุดท้ายและเงินประกันผลงานตามสัญญาจ้างก่อสร้าง ย่อมถือเป็นข้อพิพาทที่เกี่ยวเนื่องและเกิดขึ้นจากสัญญาจ้างก่อสร้างซึ่งต้องวินิจฉัยถึงสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจ้างก่อสร้างเช่นเดียวกัน ผู้ร้องย่อมมีสิทธิเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการและคณะอนุญาโตตุลาการมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดในส่วนบันทึกข้อตกลงดังกล่าวด้วย ซึ่งเป็นอำนาจในการวินิจฉัยขอบเขตอำนาจของตนรวมถึงความมีอยู่และความสมบูรณ์ของสัญญาอนุญาโตตุลาการ ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 การที่คณะอนุญาโตตุลาการใช้ดุลพินิจพิจารณาจากพยานหลักฐานแล้วว่าผู้ร้องไม่มีเจตนาจะทำบันทึกข้อตกลงและได้บอกล้างบันทึกข้อตกลงดังกล่าวแล้ว การที่ผู้ร้องเรียกร้องให้ผู้คัดค้านจ่ายเงินประกันผลงานและค่าจ้างงวดสุดท้ายจึงเป็นข้อพิพาทตามสัญญาจ้างซึ่งกำหนดให้ระงับข้อพิพาทโดยการอนุญาโตตุลาการ ผู้ร้องจึงมีสิทธิเสนอข้อพิพาทนี้ต่อคณะอนุญาโตตุลาการได้ คำชี้ขาดดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยข้อพิพาทซึ่งอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการและไม่เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ จึงชอบด้วยกฎหมาย การยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าวไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการมานั้น จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน ให้ผู้คัดค้านใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนผู้ร้อง โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3425-3426/2566 ประเด็น: ขอบเขตอำนาจของคณะอนุญาโตตุลาการ / ศาลยังคงมีอำนาจตรวจสอบในประเด็นความสงบเรียบร้อยของประชาชน สรุปข้อเท็จจริง: ในคดีนี้ คู่สัญญามีข้อตกลงอนุญาโตตุลาการและเกิดข้อพิพาทกันจนมีคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ จากนั้นฝ่ายหนึ่งยื่นให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาด อีกฝ่ายคัดค้านโดยอ้างว่าอนุญาโตตุลาการไม่มีอำนาจ หรือข้อตกลงอนุญาโตตุลาการไม่ผูกพันตน ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยอ้างอิงหลักตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 24 ว่าคณะอนุญาโตตุลาการย่อมมีอำนาจวินิจฉัยขอบเขตอำนาจของตนเอง รวมถึงปัญหาว่าสัญญาอนุญาโตตุลาการมีอยู่หรือมีผลผูกพันหรือไม่ (“competence-competence”) แต่ศาลฎีกาย้ำว่าประเด็นเรื่องความมีอยู่และความสมบูรณ์ของข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ ตลอดจนว่าคำชี้ขาดนั้นกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ศาลยังมีอำนาจตรวจสอบได้ เพราะมาตราดังกล่าวสัมพันธ์กับข้อยกเว้นในมาตรา 44 และ 45 ของ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ ซึ่งเปิดช่องให้ศาลปฏิเสธการบังคับคำชี้ขาดได้หากขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลจึงไม่ยอมปล่อยให้คำชี้ขาดผูกพันโดยอัตโนมัติในทุกกรณี แต่ตรวจสอบได้ว่าคำชี้ขาดนั้นอยู่บนข้อตกลงอนุญาโตตุลาการที่ชอบด้วยกฎหมายจริงหรือไม่ จุดเชื่อมกับฎีกา 1406-1407/2567: ทั้งสองคดีพูดถึง “อำนาจของคณะอนุญาโตตุลาการตามมาตรา 24” ในการวินิจฉัยว่าตนเองมีอำนาจ แต่คดี 1406-1407/2567 ศาลฎีกาตอกย้ำว่า ประเด็นการเรียกร้องเงินประกันผลงาน/ค่าจ้างงวดสุดท้าย เป็นข้อพิพาทตามสัญญาจ้างก่อสร้างโดยตรง จึงอยู่ในขอบเขตข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ ไม่ใช่เกินข้อตกลง ส่วนคดี 3425-3426/2566 ศาลเพิ่มมุม “ศาลยังคงกันพื้นที่ไว้” ว่า หากข้อตกลงอนุญาโตตุลาการเองไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือการบังคับคำชี้ขาดขัดต่อความสงบเรียบร้อย ศาลมีสิทธิไม่บังคับ แม้อนุญาโตตุลาการจะบอกว่าตนมีอำนาจแล้วก็ตาม กล่าวคือ คดี 1406-1407/2567 เน้น “ใช่ อยู่ในขอบเขตอำนาจอนุญาโตฯ” ส่วนคดี 3425-3426/2566 เน้น “แต่ศาลยังมีด่านสุดท้ายเรื่องความสงบเรียบร้อย” 2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4750-4751/2561 ประเด็น: ศาลตรวจสอบดุลพินิจของคณะอนุญาโตตุลาการได้มากน้อยแค่ไหน สรุปข้อเท็จจริง: ในคดีนี้ คู่พิพาททางธุรกิจนำเรื่องขึ้นอนุญาโตตุลาการแล้วได้คำชี้ขาด จากนั้นมีการนำคดีเข้าสู่ศาลและโต้แย้งว่าคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐาน หนึ่งในคู่ความพยายามให้ศาลเข้ามาทบทวนเนื้อหาสาระ (merits) ของคำชี้ขาด เหมือนเป็นการอุทธรณ์ปกติในศาลทั่วไป ประเด็นคือ ศาลควร “ตรวจสอบใหม่หมด” หรือเพียงตรวจสอบกรอบตามกฎหมายอนุญาโตตุลาการ แนววินิจฉัยที่ถูกสรุปเผยแพร่โดยสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม (TAI) คือ ศาลมีอำนาจตรวจสอบคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการได้เพียงจำกัด โดยยึดกรอบตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 เช่น ตรวจสอบว่ามีการฝ่าฝืนกระบวนพิจารณาอย่างร้ายแรงหรือไม่ คำชี้ขาดขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ หรือคำชี้ขาดออกนอกขอบเขตแห่งข้อพิพาทหรือไม่ แต่ศาลจะไม่ก้าวล่วงไปชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานใหม่แทนอนุญาโตตุลาการ จุดเชื่อมกับฎีกา 1406-1407/2567: แนวคิดเดียวกันปรากฏอย่างเด่นชัด ศาลฎีกาในคดี 1406-1407/2567 ปฏิเสธการอุทธรณ์ที่ผู้คัดค้านพยายามโต้แย้งว่า “บันทึกข้อตกลงเป็นการลงชื่อโดยสมัครใจ” เพราะนั่นคือการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของคณะอนุญาโตตุลาการ ศาลฎีกาชี้ว่า ไม่ใช่เหตุอุทธรณ์ตามมาตรา 45 ของ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 ดังนั้น ทั้งสองคดีใช้หลักเดียวกัน: ศาลไม่ได้เป็นชั้นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงของอนุญาโตตุลาการ เว้นแต่จะเข้าเหตุในมาตรา 45 (เช่น ความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดี องค์ประกอบคณะอนุญาโตตุลาการไม่ชอบ หรือชี้ขาดเกินขอบเขต) ซึ่งสะท้อนการให้ความเคารพต่อคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการและหลัก finality ของอนุญาโตตุลาการ 3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3281/2562 ประเด็น: ความสมบูรณ์และผลผูกพันของข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ / คู่กรณีที่แท้จริง สรุปข้อเท็จจริง: ในคดีนี้ คู่พิพาทโต้แย้งว่าข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการที่อ้างถึงนั้น “ใช้ไม่ได้” กับตน เช่น ตนไม่ใช่คู่สัญญาตามสัญญาที่มีข้ออนุญาโตตุลาการ จึงไม่ควรถูกบังคับให้ต้องไปชี้ขาดต่อหน้าคณะอนุญาโตตุลาการ หรือถูกบังคับตามคำชี้ขาดนั้น ศาลฎีกาได้สรุปในทำนองว่า ยังไม่ปรากฏเหตุที่ทำให้สัญญาอนุญาโตตุลาการเป็นโมฆะ และหากบุคคลนั้นเป็นคู่สัญญาตามสัญญาที่กำหนดให้ระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ ก็ต้องยอมรับกลไกดังกล่าว กล่าวคือ ใครที่เป็นคู่สัญญา ก็ถูกผูกพันด้วยข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ จะปฏิเสธว่า “ไม่ต้องไปอนุญาโตฯ หรอก” ไม่ได้เพียงเพราะไม่อยากไป จุดเชื่อมกับฎีกา 1406-1407/2567: ในคดี 1406-1407/2567 ผู้คัดค้านอ้างว่าข้อพิพาทเกี่ยวกับบันทึกข้อตกลงภายหลัง (เช่น การสละสิทธิเรียกร้อง) ไม่ใช่ข้อพิพาทตามสัญญาจ้างก่อสร้างเดิม จึงไม่ควรอยู่ในอำนาจอนุญาโตตุลาการ ศาลฎีกาปฏิเสธข้ออ้างนี้ โดยเห็นว่า ข้อพิพาทเรื่องเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายและเงินประกันผลงาน ยังคง “เกิดจากสัญญาจ้างก่อสร้าง” เดิมโดยตรง แม้จะมีบันทึกข้อตกลงภายหลังมาพัวพัน จึงยังอยู่ในกรอบที่คู่สัญญาตกลงให้อนุญาโตตุลาการตัดสิน (มาตรา 24 พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545) แนวนี้สอดคล้องกับฎีกาที่ 3281/2562 ที่ยืนยันว่าผู้ที่อยู่ภายใต้สัญญาอนุญาโตตุลาการไม่อาจหลีกเลี่ยงกลไกอนุญาโตฯ ได้โดยอ้างทั่วไปว่า “ข้อตกลงอนุญาโตฯ เป็นโมฆะ” หากยังไม่มีเหตุโมฆะจริงตามกฎหมาย 4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4183/2565 ประเด็น: ความเป็นธรรมของข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการ และการบังคับใช้เงื่อนไขอนุญาโตฯ เพียงช่องทางเดียว สรุปข้อเท็จจริง: คดีนี้เกี่ยวข้องกับข้อสัญญาในสัญญาหนึ่งที่กำหนดให้ “ข้อพิพาททั้งหมดต้องระงับโดยอนุญาโตตุลาการเท่านั้น และไม่อาจนำคดีขึ้นสู่ศาลได้” ประเด็นคือ ข้อสัญญาดังกล่าวถือเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ ศาลฎีกา (ตามสรุปที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ทางการของศาลฎีกา) เห็นว่า ข้อสัญญาที่บังคับให้คู่สัญญาต้องไปอนุญาโตตุลาการเพียงอย่างเดียวโดยตัดสิทธิฟ้องศาล อาจถูกพิจารณาว่าเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม จึงต้องพิจารณาว่าเป็นการใช้อำนาจต่อรองที่เหนือกว่าอย่างไม่เป็นธรรมต่ออีกฝ่ายหรือไม่ แนวคำวินิจฉัยนี้สะท้อนหลักว่าศาลไม่ยอมให้กลไกอนุญาโตฯ ถูกใช้เป็นเครื่องมือกดทับผู้เสียเปรียบในเชิงโครงสร้าง จุดเชื่อมกับฎีกา 1406-1407/2567: ในคดี 1406-1407/2567 ทั้งสองฝ่ายเป็นนิติบุคคลเอกชน (บริษัทก่อสร้างกับบริษัทผู้ว่าจ้าง) และต่างเป็นผู้เจรจาในสัญญาจ้างก่อสร้างเชิงพาณิชย์ ซึ่งระบุข้ออนุญาโตฯ ไว้อย่างชัดเจน ศาลฎีกาจึงยึดข้อตกลงอนุญาโตฯ ตามรูปสัญญาหลัก และยอมรับให้อนุญาโตตุลาการมีอำนาจเต็มตามมาตรา 24 ไม่เห็นว่าข้อสัญญาดังกล่าวเป็นการเอาเปรียบฝ่ายหนึ่งโดยไม่เป็นธรรม แต่คดี 4183/2565 ชี้ให้ผู้ศึกษาเห็นด้านกลับ: ถ้าข้อสัญญาอนุญาโตฯ มีลักษณะกีดกันสิทธิในศาลของ “ผู้ด้อยอำนาจต่อรอง” อย่างชัดเจน ศาลอาจมองว่าเงื่อนไขนั้นไม่เป็นธรรมและไม่อาจบังคับใช้อย่างเข้มงวดโดยอัตโนมัติ 5. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6025/2561 ประเด็น: การขอบังคับตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการต่อศาล และเงื่อนไขตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ สรุปข้อเท็จจริง: คู่พิพาททางสัญญานำเรื่องเข้าสู่อนุญาโตตุลาการจนได้คำชี้ขาดให้ฝ่ายหนึ่งชำระเงิน อีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตาม ผู้ชนะในชั้นอนุญาโตฯ จึงยื่นต่อศาลเพื่อ “ให้ศาลมีคำสั่งบังคับตามคำชี้ขาด” ตามกระบวนการใน พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 42 เป็นต้นไป ฝ่ายแพ้ยกอุทธรณ์ในชั้นศาลฎีกาแย้งว่า คำชี้ขาดไม่ควรบังคับเพราะเห็นว่าไม่ถูกต้องในสาระ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ขั้นตอนการ “ขอบังคับคำชี้ขาด” ไม่ใช่ช่องทางให้นำข้อโต้แย้งในเนื้อหาคดี (merits) มาพิจารณาใหม่อีกครั้งเหมือนอุทธรณ์ปกติ ศาลจะตรวจสอบเพียงว่าคำชี้ขาดชอบด้วย พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการหรือไม่ เช่น ฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ หรือเกินขอบเขตข้อพิพาทหรือไม่ แต่จะไม่ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานแทนอนุญาโตตุลาการ จุดเชื่อมกับฎีกา 1406-1407/2567: แนวนี้ตรงกับการวินิจฉัยใน 1406-1407/2567 ที่ศาลฎีกาปฏิเสธข้ออุทธรณ์ของผู้คัดค้านซึ่งโต้แย้งว่า “บันทึกข้อตกลงเป็นการยินยอมโดยเสมอภาค จึงสมบูรณ์ ไม่ใช่โมฆียะ” เพราะเป็นเพียงการโต้แย้งว่าคณะอนุญาโตตุลาการชั่งน้ำหนักพยานผิด ซึ่งไม่ใช่เหตุเพิกถอนหรือปฏิเสธการบังคับตามมาตรา 45 ดังนั้น ฎีกาที่ 6025/2561 ใช้เป็นตัวอย่างยืนยันหลักการว่า ขั้นตอนศาลหลังคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ ไม่ใช่การอุทธรณ์คดีข้อเท็จจริง แต่เป็นการตรวจสอบเชิงจำกัดภายใต้กรอบที่กฎหมายอนุญาโตตุลาการอนุญาต |



.jpg)

.jpg)