ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




คดีเลิกสัญญาก่อสร้าง, สิทธิในเบี้ยปรับตามกฎหมาย, เบี้ยปรับในสัญญาก่อสร้าง

 ท นาย อาสา ฟรี

 

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

คดีเลิกสัญญาก่อสร้าง, สิทธิในเบี้ยปรับตามกฎหมาย, เบี้ยปรับในสัญญาก่อสร้าง

 คดีนี้มีประเด็นว่าศาลจะวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ราคาเหล็กเส้นที่นำไปหรือไม่ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างและได้ทำสัญญากับจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ไม่สามารถนำหลักฐานมาสนับสนุนคำกล่าวอ้างว่าเหล็กเส้นดังกล่าวเตรียมไว้สำหรับโครงการอื่น อีกทั้งพยานหลักฐานแสดงว่าเหล็กเส้นถูกเก็บไว้ในบริเวณใกล้สถานที่ก่อสร้างของจำเลยที่ 1 เพื่อความสะดวกในการใช้งานในสัญญาดังกล่าว 

ศาลจึงวินิจฉัยว่าเหล็กเส้นเป็นส่วนหนึ่งของงานที่ทำค้างไว้และถือเป็นเบี้ยปรับตาม **ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 382** ซึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตาม **มาตรา 381 วรรคหนึ่ง** โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกชดใช้ ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2567

โจทก์นำเหล็กเส้นมาใช้หรือเตรียมใช้ในการก่อสร้างอาคารให้แก่จำเลยที่ 1 ตามสัญญา เหล็กเส้นดังกล่าวจึงเป็นส่วนหนึ่งของการงานที่โจทก์ทำค้างไว้และเป็นเบี้ยปรับ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 382 จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 381 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธินำเหล็กเส้นดังกล่าวไป โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เหล็กเส้นที่จำเลยที่ 1 นำไป

****โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 2,745,549.27 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 1,507,293.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,295,259 บาท นับแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และของต้นเงินจำนวน 212,034.20 บาท นับแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ

โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่ขอให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ราคาเหล็กเส้นจำนวน 212,034.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2560 จำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้ก่อสร้างอาคารตึก 4 ชั้น พร้อมดาดฟ้า กำหนดแล้วเสร็จภายใน 365 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2560 ถึงวันที่ 9 สิงหาคม 2561 หากไม่แล้วเสร็จตามสัญญา โจทก์ยินยอมให้ปรับวันละ 2,000 บาท ตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง โจทก์ก่อสร้างและส่งมอบงานให้จำเลยที่ 1 ไป 3 งวด และได้รับค่าจ้างแล้ว ต่อมาวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ตามหนังสือขอยกเลิกสัญญา จำเลยที่ 1 ได้นำเหล็กเส้นราคา 212,034.20 บาท ที่โจทก์เก็บไว้ที่บริเวณที่พักคนงานไป สำหรับปัญหาที่ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างงานบางส่วนของงานงวดที่ 4 ถึงที่ 6 เป็นเงิน 1,295,259 บาท จากจำเลยที่ 1 หรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ และยกฟ้องโจทก์สำหรับค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์และโอกาส และยกฟ้องในส่วนของจำเลยที่ 2 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในปัญหาดังกล่าว คู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้ง ปัญหาดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่า โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ราคาเหล็กเส้นที่จำเลยที่ 1 นำไปหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการรับเหมาก่อสร้างและได้ทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างกับจำเลยที่ 1 โดยมีการทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างและมีสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างเป็นพยานหลักฐานสนับสนุน โจทก์กล่าวอ้างว่าเหล็กเส้นที่อยู่ในที่พักคนงานของโจทก์นั้นโจทก์เตรียมไว้ใช้ในการก่อสร้างอีกสัญญาหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับสถานที่ที่ก่อสร้างให้จำเลยที่ 1 แต่โจทก์กลับไม่มีรายละเอียดของสัญญาและไม่มีหนังสือสัญญารับจ้างก่อสร้างดังเช่นที่ทำกับจำเลยที่ 1 มานำสืบสนับสนุนแสดงให้เห็นจริงตามที่กล่าวอ้าง ทั้ง ๆ ที่โจทก์ดำเนินธุรกิจในรูปบริษัทจำกัดซึ่งจะต้องมีระเบียบแบบแผนและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง จึงมีพิรุธ ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ นายศักดิ์สิทธิ์ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ ก็เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านยอมรับว่าโจทก์ไม่มีสถานที่จัดเก็บวัสดุจึงเช่าพื้นที่โรงเรียนเป็นที่จัดเก็บพัสดุ เหล็กเส้นที่จำเลยที่ 1 นำออกไปนั้น พยานทราบว่านำไปใช้ต่อในอีกโครงการที่โจทก์เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างแต่ไม่แล้วเสร็จ เจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ทำให้พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น ประกอบกับสถานที่ที่โจทก์วางเหล็กเส้นไว้นั้นอยู่ห่างจากสถานที่ก่อสร้างเพียง 400 ถึง 500 เมตร เท่านั้น ถือว่าไม่ไกลนัก มีความสะดวกที่โจทก์จะนำเหล็กเส้นไปใช้ก่อสร้างตามสัญญาจ้างที่ทำกับจำเลยที่ 1 ทั้งโจทก์ยังใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นที่พักอาศัยคนงานของโจทก์อีกด้วย ข้อเท็จจริงดังกล่าวบ่งชี้ให้เห็นว่าการที่โจทก์นำเหล็กเส้นไปวางไว้ ณ ที่ดังกล่าวก็เพื่อความสะดวกในการก่อสร้างของโจทก์เอง หลังจากมีการเลิกสัญญาแล้วจำเลยที่ 1 ก็นำเหล็กเส้นดังกล่าวไปใช้ต่อในโครงการที่โจทก์เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างแต่ไม่แล้วเสร็จ ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า โจทก์ซื้อเหล็กเส้นมาด้วยเงินของโจทก์เอง เหล็กเส้นจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ทั้งหากเป็นเหล็กเส้นที่โจทก์จะนำไปใช้ในโครงการก่อสร้างที่พิพาท โจทก์จะให้รถบรรทุกเหล็กเส้นยกลงบริเวณสถานที่ก่อสร้างแล้วนั้น ก็ขัดกับคำเบิกความของนายศักดิ์สิทธิ์ที่ตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่า โจทก์ไม่มีสถานที่จัดเก็บวัสดุที่ใช้ก่อสร้างจึงเช่าพื้นที่ของโรงเรียนเพื่อวางเหล็กเส้น ข้ออ้างของโจทก์จึงขัดต่อเหตุผล พฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อได้ว่าโจทก์นำเหล็กเส้นมาใช้หรือเตรียมใช้ในการก่อสร้างอาคารให้แก่จำเลยที่ 1 ตามสัญญา เหล็กเส้นดังกล่าวจึงเป็นส่วนหนึ่งของการงานที่โจทก์ทำค้างไว้และเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 382 จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธินำเหล็กเส้นดังกล่าวไป โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เหล็กเส้นที่จำเลยที่ 1 นำไป ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มีการประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยพระราชกำหนดดังกล่าว ได้แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 วรรคแรก เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ปัญหาการกำหนดดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเอง และกำหนดดอกเบี้ยให้เป็นไปตามพระราชกำหนดดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 1,295,259 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

1.คดีเลิกสัญญาก่อสร้าง

2.สิทธิในเบี้ยปรับตามกฎหมาย

3.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381

4.เบี้ยปรับในสัญญาก่อสร้าง

5.การเรียกค่าชดเชยหลังเลิกสัญญา

6.คำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องวัสดุก่อสร้าง

7.ข้อพิพาทเกี่ยวกับเหล็กเส้นในสัญญาก่อสร้าง

8.สิทธิกรรมสิทธิ์หลังเลิกสัญญา

สรุป คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2567 

โจทก์ฟ้องเรียกให้ชำระเงิน 2,745,549.27 บาท พร้อมดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสอง เนื่องจากนำเหล็กเส้นมาใช้ก่อสร้างตามสัญญาว่าจ้าง แต่จำเลยที่ 1 ยกเลิกสัญญาและนำเหล็กเส้นไปใช้ต่อ โจทก์อ้างว่ามีสิทธิเรียกค่าชดใช้เหล็กเส้นดังกล่าว จำเลยทั้งสองขอให้ยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลชั้นต้น

ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,507,293.20 บาท พร้อมดอกเบี้ย และยกฟ้องโจทก์ในส่วนจำเลยที่ 2 รวมถึงข้อเรียกร้องเรื่องเหล็กเส้น

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์

แก้ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อเรียกร้องเรื่องเหล็กเส้น พร้อมดอกเบี้ย นอกนั้นให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น

ประเด็นฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เหล็กเส้นที่จำเลยที่ 1 นำไป เป็นวัสดุที่โจทก์เตรียมไว้ใช้ในการก่อสร้างตามสัญญา จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 381 และ 382 โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดใช้เหล็กเส้นดังกล่าว

นอกจากนี้ ระหว่างการพิจารณาคดี มีการแก้ไข ป.พ.พ. มาตรา 7 และ 224 วรรคแรก ให้ดอกเบี้ยผิดนัดลดเหลืออัตราร้อยละ 5 ต่อปี ศาลฎีกาแก้ไขดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกฎหมายใหม่

พิพากษาแก้

ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,295,259 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 ถึง 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 จะปรับเปลี่ยนตามพระราชกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้อง นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 และมาตรา 382

ในคดีดังกล่าว มีการใช้หลักกฎหมายจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 และ 382 ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์และเบี้ยปรับในกรณีที่มีการเลิกสัญญา โดยสามารถอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้ดังนี้:

มาตรา 381

ข้อความของกฎหมาย:

"เบี้ยปรับอันคู่สัญญาได้กำหนดไว้ในสัญญา เมื่อเกิดเหตุผิดสัญญา ทรัพย์สินที่เป็นเบี้ยปรับย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของคู่สัญญาฝ่ายที่ไม่ผิดสัญญา"

การอธิบาย:

1.เบี้ยปรับคืออะไร:

เบี้ยปรับหมายถึงการกำหนดค่าชดเชยในกรณีที่มีการผิดสัญญา เช่น วัสดุที่จัดหาไว้เพื่อการก่อสร้างในคดีนี้ ถือเป็นทรัพย์สินที่ใช้เพื่อการปฏิบัติตามสัญญา เมื่อมีการเลิกสัญญา วัสดุที่ยังคงเหลือจะถือเป็นเบี้ยปรับตามที่กำหนดไว้ในสัญญา

2.กรรมสิทธิ์ตกเป็นของฝ่ายใด:

หากเกิดการเลิกสัญญา ทรัพย์สินที่ถือว่าเป็นเบี้ยปรับ เช่น เหล็กเส้นในคดีนี้ จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายที่ไม่ผิดสัญญา กล่าวคือ จำเลยที่ 1

มาตรา 382

ข้อความของกฎหมาย:

"ในกรณีที่เบี้ยปรับเป็นทรัพย์สินใด คู่สัญญาผู้มีสิทธิในเบี้ยปรับนั้นย่อมมีสิทธิที่จะถือครองทรัพย์สินนั้น โดยถือว่าเป็นการแทนค่าชดเชยจากการเลิกสัญญา"

การอธิบาย:

1.การชดเชยด้วยเบี้ยปรับ:

มาตรานี้กำหนดว่า หากมีทรัพย์สินที่กำหนดเป็นเบี้ยปรับ เช่น เหล็กเส้นในคดีนี้ ฝ่ายที่ได้รับสิทธิในเบี้ยปรับสามารถถือครองทรัพย์สินนั้นแทนการเรียกร้องค่าชดเชยเป็นเงิน

2.สถานะของทรัพย์สินที่เป็นเบี้ยปรับ:

ทรัพย์สินนั้น เช่น วัสดุก่อสร้าง จะถูกพิจารณาว่าเป็นส่วนหนึ่งของเบี้ยปรับในกรณีที่เกิดการเลิกสัญญา ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวจะไม่สามารถถูกเรียกคืนได้โดยคู่สัญญาฝ่ายที่ผิดสัญญา

การประยุกต์ใช้ในคดีนี้

1.การอ้างกรรมสิทธิ์:

ศาลฎีกาพิจารณาว่า เหล็กเส้นที่โจทก์จัดหาไว้สำหรับการก่อสร้างถือเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามสัญญาก่อสร้าง เมื่อมีการเลิกสัญญา ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นเบี้ยปรับ และเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 381

2.ข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้อง:

โจทก์ไม่สามารถเรียกร้องค่าชดเชยจากเหล็กเส้นได้ เพราะเหล็กเส้นดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของเบี้ยปรับที่กฎหมายกำหนดให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 382

สรุปหลักสำคัญ

มาตรา 381 และ 382 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีความสำคัญในกรณีที่มีการเลิกสัญญา โดยทรัพย์สินที่ใช้ในการปฏิบัติตามสัญญา เช่น เหล็กเส้น จะถือว่าเป็นเบี้ยปรับ และตกเป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายที่ไม่ได้ผิดสัญญา ผู้ผิดสัญญาจะไม่มีสิทธิเรียกร้องทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนอีก

*****เบี้ยปรับคืออะไร

เบี้ยปรับ คือ ข้อตกลงในสัญญาที่คู่สัญญากำหนดขึ้นล่วงหน้า เพื่อใช้เป็นมาตรการบังคับให้คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งปฏิบัติตามสัญญา หากไม่ปฏิบัติตามหรือผิดสัญญา ฝ่ายที่ผิดต้องชำระเบี้ยปรับให้แก่ฝ่ายที่ไม่ได้ผิด โดยถือเป็นการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น

ลักษณะสำคัญของเบี้ยปรับ:

1.กำหนดไว้ล่วงหน้า: เบี้ยปรับต้องระบุอยู่ในสัญญา โดยมักระบุเป็นจำนวนเงิน หรือทรัพย์สินที่ชัดเจน

2.บังคับใช้ได้ทันทีเมื่อผิดสัญญา: ฝ่ายที่ไม่ได้ผิดสัญญาไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความเสียหายจริง เพียงแสดงว่าฝ่ายตรงข้ามผิดสัญญา

3.ปรับลดได้: หากเบี้ยปรับที่กำหนดไว้สูงเกินไปจนไม่เป็นธรรม ศาลมีอำนาจปรับลดให้เหมาะสมได้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383

หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

1.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381:

ระบุว่าเบี้ยปรับที่กำหนดไว้ในสัญญา เมื่อเกิดเหตุผิดสัญญา จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายที่ไม่ได้ผิดสัญญา

2.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383:

ให้ศาลมีอำนาจลดจำนวนเบี้ยปรับ หากเห็นว่าจำนวนที่กำหนดไว้เกินสมควร

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับเบี้ยปรับ

1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2567

กรณีเบี้ยปรับจากวัสดุก่อสร้างที่ใช้ไม่ครบถ้วนตามสัญญา ศาลวินิจฉัยว่า เหล็กเส้นที่เหลือจากการก่อสร้างถือเป็นเบี้ยปรับที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของคู่สัญญาฝ่ายที่ไม่ได้ผิดสัญญา

2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 273/2531

ศาลพิจารณาว่าเบี้ยปรับที่กำหนดไว้ในสัญญาจำนวน 20% ของมูลค่างานทั้งหมด ถือว่าเกินสมควร จึงปรับลดให้เหลือ 10% ตามความเหมาะสม

3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1304/2549

คู่สัญญากำหนดเบี้ยปรับกรณีส่งมอบสินค้าล่าช้า ศาลวินิจฉัยว่าเบี้ยปรับดังกล่าวมีผลบังคับใช้ได้ แม้ฝ่ายที่ผิดอ้างว่าความล่าช้าเกิดจากเหตุสุดวิสัย

4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1452/2558

ในคดีที่ผู้รับเหมาทิ้งงาน ศาลระบุว่าเบี้ยปรับที่กำหนดเป็นรายวันสำหรับความล่าช้าในการก่อสร้างถือเป็นจำนวนที่สมควรและสามารถบังคับได้

5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2123/2548

เบี้ยปรับในกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระเงิน ศาลลดเบี้ยปรับให้สอดคล้องกับดอกเบี้ยตามกฎหมาย เนื่องจากจำนวนที่กำหนดไว้สูงเกินสมควร

6.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6532/2562

คู่สัญญากำหนดเบี้ยปรับสำหรับการละเมิดสัญญาเช่าซื้อ ศาลวินิจฉัยว่าเบี้ยปรับต้องสมเหตุสมผลกับมูลค่าความเสียหายจริง

สรุป

เบี้ยปรับเป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่ช่วยให้การบังคับใช้สัญญามีประสิทธิภาพ โดยคู่สัญญาสามารถตกลงจำนวนและเงื่อนไขล่วงหน้าได้ อย่างไรก็ตาม หากจำนวนเบี้ยปรับเกินสมควร ศาลสามารถปรับลดให้เหมาะสมได้ ตัวอย่างคำพิพากษาข้างต้นสะท้อนหลักเกณฑ์และการวินิจฉัยของศาลในประเด็นนี้ ซึ่งช่วยให้เข้าใจการใช้เบี้ยปรับในบริบทที่หลากหลาย




นิติกรรม

ผู้อนุบาลและคนไร้ความสามารถ, สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์เป็นโมฆียะ, การบอกล้างโมฆียะกรรม
เพิกถอนนิติกรรมวิกลจริต, การบอกล้างโมฆียกรรม, นิติกรรมของผู้ป่วยจิตเวช, โมฆียกรรมกลายเป็นโมฆะ
ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด, การขยายเวลาชำระหนี้, ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน
ความรับผิดของผู้รับประกันภัย, รถสูญหาย, ถูกเพลิงไหม, การละทิ้งความครอบครองรถยนต์
คดีเกี่ยวกับการบุกรุกป่าสงวน, ข้อกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินรัฐ, สิทธิการครอบครองที่ดินชั่วคราว
เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดิน, การปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจโอนที่ดิน, ค่าสินไหมทดแทนจากการละเมิด
กฎหมายกู้ยืมเงิน, หลักฐานการกู้ยืมเงิน, ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์, การกู้ยืมเงินในไลน์และเฟสบุค
นิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์
หลักฐานการกู้ยืมเงิน, การลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืม, การพิสูจน์การชำระหนี้
คดีผู้บริโภค, การใช้สิทธิไม่สุจริต, ความสุจริตในการชำระหนี้, มาตรฐานทางการค้า
สัญญาประนีประนอมยอมความ, การรังวัดที่ดินแนวเขต, อำนาจฟ้อง,
สัญญานายหน้าและค่านายหน้า, กฎหมายลาภมิควรได้, การบอกเลิกสัญญานายหน้าโดยไม่สุจริต
สัญญาซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะ, นิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน
กู้ยืมเงินไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ
ผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรสละมรดกของบุตรผู้เยาว์ไม่ได้
การทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์
หนังสือสัญญากู้เงินตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์
การซื้อขายที่ดินตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150
ผู้รับจำนองมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นโดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีเจ้าหนี้อื่นมาขอเฉลี่ยหนี้
สัญญาเช่าที่ดินซึ่งเป็นเจ้าของรวม
การโอนที่ดินในระยะเวลาห้ามโอนเป็นโมฆะ
สิทธิบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด
คำสั่งงดสืบพยานจำเลย
สัญญาจะซื้อจะขายมีผลอย่างไรกับสัญญาซื้อขาย
หนังสือมอบอำนาจ พิมพ์ลายนิ้วมือ
กฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยฝ่าฝืนเป็นโมฆะ | ดอกเบี้ยผิดนัด
สิทธิของผู้รับจำนองเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้เรียกว่า"บุริมสิทธิ"
ยืนยันข้อเท็จจริงหลายทางไม่อาจเป็นไปได้ในคราวเดียวกัน จึงไม่ขัดแย้งกันเอง
สัญญาที่ทำขึ้นโดยไม่มีเจตนาแท้จริงให้ผูกพันกัน
ความรับผิดในคดีแพ่งต้องอาศัยมูลมาจากการกระทำความผิดในทางอาญา
นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย, ฝ่าฝืนกฎหมาย
อำนาจฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการจำหน่ายที่ดินเพื่อชำระเป็นเงินให้คนต่างด้าว
ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมให้สินสมรสเมื่อผู้ให้ตายแล้วไม่ต้องฟ้องผู้จัดการมรดกก็ได้
ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินสินสมรส
การขายอสังหาริมทรัพย์ของบุตรผู้เยาว์จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน
ผลของการบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขาย คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิม
นิติกรรมอำพรางคู่กรณีต้องแสดงเจตนาทำนิติกรรมขึ้นสองนิติกรรม
องค์ประกอบของนิติกรรม
สัญญารับเหมาก่อสร้างเลิกกัน คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม
สัญญาซื้อขายที่ดินเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน
ทำสัญญากู้ยืมเงินในฐานะผู้แทนของสมาคมไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
แม้ดอกเบี้ยเป็นโมฆะแต่ยังต้องรับผิดต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยผิดนัด
ข้อตกลงให้ผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ชำระค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ขายที่ดินห้ามโอนภายใน 10 ปีเป็นการสละการครอบครอง
สิทธิได้รับค่าตอบแทนก่อนบอกเลิกสัญญาตัวแทนประกันชีวิต
ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประกันชีวิต-อ้างถูกฉ้อฉลให้ทำสัญญา
ผู้รับประกันภัยได้รับประกันวินาศภัยไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ
ลูกหนี้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเกินอัตราเป็นโมฆะต้องนำมาหักเป็นต้นเงิน
สัญญาเช่าบ้านภายหลังการซื้อขาย
ผู้จะขายไม่ได้รับใบอนุญาตให้จัดสรรที่ดินผู้จะซื้อไม่รู้สัญญาไม่เป็นโมฆะ
ผู้แทนโดยชอบธรรมทำสัญญาขายไม้มรดกส่วนของผู้เยาว์-ไม่ต้องขออนุญาตศาลก่อน
คู่สัญญามีอำนาจฟ้องให้โอนทรัพย์สินให้บุตรได้
การฟ้องคดีแพ่งมิใช่เป็นการทำนิติกรรม
การกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในสัญญาถือว่าเป็นเบี้ยปรับ
จดทะเบียนจำนองที่ดินเฉพาะส่วนของตน
สิทธิในการเช่าซื้อเป็นมรดกหรือไม่?