

คดีเลิกสัญญาก่อสร้าง, สิทธิในเบี้ยปรับตามกฎหมาย, เบี้ยปรับในสัญญาก่อสร้าง
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ คดีเลิกสัญญาก่อสร้าง, สิทธิในเบี้ยปรับตามกฎหมาย, เบี้ยปรับในสัญญาก่อสร้าง คดีนี้มีประเด็นว่าศาลจะวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ราคาเหล็กเส้นที่นำไปหรือไม่ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างและได้ทำสัญญากับจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ไม่สามารถนำหลักฐานมาสนับสนุนคำกล่าวอ้างว่าเหล็กเส้นดังกล่าวเตรียมไว้สำหรับโครงการอื่น อีกทั้งพยานหลักฐานแสดงว่าเหล็กเส้นถูกเก็บไว้ในบริเวณใกล้สถานที่ก่อสร้างของจำเลยที่ 1 เพื่อความสะดวกในการใช้งานในสัญญาดังกล่าว ศาลจึงวินิจฉัยว่าเหล็กเส้นเป็นส่วนหนึ่งของงานที่ทำค้างไว้และถือเป็นเบี้ยปรับตาม **ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 382** ซึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตาม **มาตรา 381 วรรคหนึ่ง** โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกชดใช้ ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของโจทก์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2567 โจทก์นำเหล็กเส้นมาใช้หรือเตรียมใช้ในการก่อสร้างอาคารให้แก่จำเลยที่ 1 ตามสัญญา เหล็กเส้นดังกล่าวจึงเป็นส่วนหนึ่งของการงานที่โจทก์ทำค้างไว้และเป็นเบี้ยปรับ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 382 จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 381 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธินำเหล็กเส้นดังกล่าวไป โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เหล็กเส้นที่จำเลยที่ 1 นำไป ****โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 2,745,549.27 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 1,507,293.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,295,259 บาท นับแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และของต้นเงินจำนวน 212,034.20 บาท นับแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่ขอให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ราคาเหล็กเส้นจำนวน 212,034.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2560 จำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้ก่อสร้างอาคารตึก 4 ชั้น พร้อมดาดฟ้า กำหนดแล้วเสร็จภายใน 365 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2560 ถึงวันที่ 9 สิงหาคม 2561 หากไม่แล้วเสร็จตามสัญญา โจทก์ยินยอมให้ปรับวันละ 2,000 บาท ตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง โจทก์ก่อสร้างและส่งมอบงานให้จำเลยที่ 1 ไป 3 งวด และได้รับค่าจ้างแล้ว ต่อมาวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ตามหนังสือขอยกเลิกสัญญา จำเลยที่ 1 ได้นำเหล็กเส้นราคา 212,034.20 บาท ที่โจทก์เก็บไว้ที่บริเวณที่พักคนงานไป สำหรับปัญหาที่ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างงานบางส่วนของงานงวดที่ 4 ถึงที่ 6 เป็นเงิน 1,295,259 บาท จากจำเลยที่ 1 หรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ และยกฟ้องโจทก์สำหรับค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์และโอกาส และยกฟ้องในส่วนของจำเลยที่ 2 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในปัญหาดังกล่าว คู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้ง ปัญหาดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่า โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ราคาเหล็กเส้นที่จำเลยที่ 1 นำไปหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการรับเหมาก่อสร้างและได้ทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างกับจำเลยที่ 1 โดยมีการทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างและมีสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างเป็นพยานหลักฐานสนับสนุน โจทก์กล่าวอ้างว่าเหล็กเส้นที่อยู่ในที่พักคนงานของโจทก์นั้นโจทก์เตรียมไว้ใช้ในการก่อสร้างอีกสัญญาหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับสถานที่ที่ก่อสร้างให้จำเลยที่ 1 แต่โจทก์กลับไม่มีรายละเอียดของสัญญาและไม่มีหนังสือสัญญารับจ้างก่อสร้างดังเช่นที่ทำกับจำเลยที่ 1 มานำสืบสนับสนุนแสดงให้เห็นจริงตามที่กล่าวอ้าง ทั้ง ๆ ที่โจทก์ดำเนินธุรกิจในรูปบริษัทจำกัดซึ่งจะต้องมีระเบียบแบบแผนและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง จึงมีพิรุธ ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ นายศักดิ์สิทธิ์ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ ก็เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านยอมรับว่าโจทก์ไม่มีสถานที่จัดเก็บวัสดุจึงเช่าพื้นที่โรงเรียนเป็นที่จัดเก็บพัสดุ เหล็กเส้นที่จำเลยที่ 1 นำออกไปนั้น พยานทราบว่านำไปใช้ต่อในอีกโครงการที่โจทก์เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างแต่ไม่แล้วเสร็จ เจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ทำให้พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น ประกอบกับสถานที่ที่โจทก์วางเหล็กเส้นไว้นั้นอยู่ห่างจากสถานที่ก่อสร้างเพียง 400 ถึง 500 เมตร เท่านั้น ถือว่าไม่ไกลนัก มีความสะดวกที่โจทก์จะนำเหล็กเส้นไปใช้ก่อสร้างตามสัญญาจ้างที่ทำกับจำเลยที่ 1 ทั้งโจทก์ยังใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นที่พักอาศัยคนงานของโจทก์อีกด้วย ข้อเท็จจริงดังกล่าวบ่งชี้ให้เห็นว่าการที่โจทก์นำเหล็กเส้นไปวางไว้ ณ ที่ดังกล่าวก็เพื่อความสะดวกในการก่อสร้างของโจทก์เอง หลังจากมีการเลิกสัญญาแล้วจำเลยที่ 1 ก็นำเหล็กเส้นดังกล่าวไปใช้ต่อในโครงการที่โจทก์เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างแต่ไม่แล้วเสร็จ ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า โจทก์ซื้อเหล็กเส้นมาด้วยเงินของโจทก์เอง เหล็กเส้นจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ทั้งหากเป็นเหล็กเส้นที่โจทก์จะนำไปใช้ในโครงการก่อสร้างที่พิพาท โจทก์จะให้รถบรรทุกเหล็กเส้นยกลงบริเวณสถานที่ก่อสร้างแล้วนั้น ก็ขัดกับคำเบิกความของนายศักดิ์สิทธิ์ที่ตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่า โจทก์ไม่มีสถานที่จัดเก็บวัสดุที่ใช้ก่อสร้างจึงเช่าพื้นที่ของโรงเรียนเพื่อวางเหล็กเส้น ข้ออ้างของโจทก์จึงขัดต่อเหตุผล พฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อได้ว่าโจทก์นำเหล็กเส้นมาใช้หรือเตรียมใช้ในการก่อสร้างอาคารให้แก่จำเลยที่ 1 ตามสัญญา เหล็กเส้นดังกล่าวจึงเป็นส่วนหนึ่งของการงานที่โจทก์ทำค้างไว้และเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 382 จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธินำเหล็กเส้นดังกล่าวไป โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เหล็กเส้นที่จำเลยที่ 1 นำไป ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มีการประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยพระราชกำหนดดังกล่าว ได้แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 วรรคแรก เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ปัญหาการกำหนดดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเอง และกำหนดดอกเบี้ยให้เป็นไปตามพระราชกำหนดดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 1,295,259 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ 1.คดีเลิกสัญญาก่อสร้าง 2.สิทธิในเบี้ยปรับตามกฎหมาย 3.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 4.เบี้ยปรับในสัญญาก่อสร้าง 5.การเรียกค่าชดเชยหลังเลิกสัญญา 6.คำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องวัสดุก่อสร้าง 7.ข้อพิพาทเกี่ยวกับเหล็กเส้นในสัญญาก่อสร้าง 8.สิทธิกรรมสิทธิ์หลังเลิกสัญญา สรุป คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2567 โจทก์ฟ้องเรียกให้ชำระเงิน 2,745,549.27 บาท พร้อมดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสอง เนื่องจากนำเหล็กเส้นมาใช้ก่อสร้างตามสัญญาว่าจ้าง แต่จำเลยที่ 1 ยกเลิกสัญญาและนำเหล็กเส้นไปใช้ต่อ โจทก์อ้างว่ามีสิทธิเรียกค่าชดใช้เหล็กเส้นดังกล่าว จำเลยทั้งสองขอให้ยกฟ้อง คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,507,293.20 บาท พร้อมดอกเบี้ย และยกฟ้องโจทก์ในส่วนจำเลยที่ 2 รวมถึงข้อเรียกร้องเรื่องเหล็กเส้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แก้ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อเรียกร้องเรื่องเหล็กเส้น พร้อมดอกเบี้ย นอกนั้นให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น ประเด็นฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เหล็กเส้นที่จำเลยที่ 1 นำไป เป็นวัสดุที่โจทก์เตรียมไว้ใช้ในการก่อสร้างตามสัญญา จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 381 และ 382 โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดใช้เหล็กเส้นดังกล่าว นอกจากนี้ ระหว่างการพิจารณาคดี มีการแก้ไข ป.พ.พ. มาตรา 7 และ 224 วรรคแรก ให้ดอกเบี้ยผิดนัดลดเหลืออัตราร้อยละ 5 ต่อปี ศาลฎีกาแก้ไขดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกฎหมายใหม่ พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,295,259 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 ถึง 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 จะปรับเปลี่ยนตามพระราชกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้อง นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 และมาตรา 382 ในคดีดังกล่าว มีการใช้หลักกฎหมายจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 และ 382 ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์และเบี้ยปรับในกรณีที่มีการเลิกสัญญา โดยสามารถอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้ดังนี้: มาตรา 381 ข้อความของกฎหมาย: "เบี้ยปรับอันคู่สัญญาได้กำหนดไว้ในสัญญา เมื่อเกิดเหตุผิดสัญญา ทรัพย์สินที่เป็นเบี้ยปรับย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของคู่สัญญาฝ่ายที่ไม่ผิดสัญญา" การอธิบาย: 1.เบี้ยปรับคืออะไร: เบี้ยปรับหมายถึงการกำหนดค่าชดเชยในกรณีที่มีการผิดสัญญา เช่น วัสดุที่จัดหาไว้เพื่อการก่อสร้างในคดีนี้ ถือเป็นทรัพย์สินที่ใช้เพื่อการปฏิบัติตามสัญญา เมื่อมีการเลิกสัญญา วัสดุที่ยังคงเหลือจะถือเป็นเบี้ยปรับตามที่กำหนดไว้ในสัญญา 2.กรรมสิทธิ์ตกเป็นของฝ่ายใด: หากเกิดการเลิกสัญญา ทรัพย์สินที่ถือว่าเป็นเบี้ยปรับ เช่น เหล็กเส้นในคดีนี้ จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายที่ไม่ผิดสัญญา กล่าวคือ จำเลยที่ 1 มาตรา 382 ข้อความของกฎหมาย: "ในกรณีที่เบี้ยปรับเป็นทรัพย์สินใด คู่สัญญาผู้มีสิทธิในเบี้ยปรับนั้นย่อมมีสิทธิที่จะถือครองทรัพย์สินนั้น โดยถือว่าเป็นการแทนค่าชดเชยจากการเลิกสัญญา" การอธิบาย: 1.การชดเชยด้วยเบี้ยปรับ: มาตรานี้กำหนดว่า หากมีทรัพย์สินที่กำหนดเป็นเบี้ยปรับ เช่น เหล็กเส้นในคดีนี้ ฝ่ายที่ได้รับสิทธิในเบี้ยปรับสามารถถือครองทรัพย์สินนั้นแทนการเรียกร้องค่าชดเชยเป็นเงิน 2.สถานะของทรัพย์สินที่เป็นเบี้ยปรับ: ทรัพย์สินนั้น เช่น วัสดุก่อสร้าง จะถูกพิจารณาว่าเป็นส่วนหนึ่งของเบี้ยปรับในกรณีที่เกิดการเลิกสัญญา ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวจะไม่สามารถถูกเรียกคืนได้โดยคู่สัญญาฝ่ายที่ผิดสัญญา การประยุกต์ใช้ในคดีนี้ 1.การอ้างกรรมสิทธิ์: ศาลฎีกาพิจารณาว่า เหล็กเส้นที่โจทก์จัดหาไว้สำหรับการก่อสร้างถือเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามสัญญาก่อสร้าง เมื่อมีการเลิกสัญญา ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นเบี้ยปรับ และเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 381 2.ข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้อง: โจทก์ไม่สามารถเรียกร้องค่าชดเชยจากเหล็กเส้นได้ เพราะเหล็กเส้นดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของเบี้ยปรับที่กฎหมายกำหนดให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 382 สรุปหลักสำคัญ มาตรา 381 และ 382 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีความสำคัญในกรณีที่มีการเลิกสัญญา โดยทรัพย์สินที่ใช้ในการปฏิบัติตามสัญญา เช่น เหล็กเส้น จะถือว่าเป็นเบี้ยปรับ และตกเป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายที่ไม่ได้ผิดสัญญา ผู้ผิดสัญญาจะไม่มีสิทธิเรียกร้องทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนอีก *****เบี้ยปรับคืออะไร เบี้ยปรับ คือ ข้อตกลงในสัญญาที่คู่สัญญากำหนดขึ้นล่วงหน้า เพื่อใช้เป็นมาตรการบังคับให้คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งปฏิบัติตามสัญญา หากไม่ปฏิบัติตามหรือผิดสัญญา ฝ่ายที่ผิดต้องชำระเบี้ยปรับให้แก่ฝ่ายที่ไม่ได้ผิด โดยถือเป็นการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น ลักษณะสำคัญของเบี้ยปรับ: 1.กำหนดไว้ล่วงหน้า: เบี้ยปรับต้องระบุอยู่ในสัญญา โดยมักระบุเป็นจำนวนเงิน หรือทรัพย์สินที่ชัดเจน 2.บังคับใช้ได้ทันทีเมื่อผิดสัญญา: ฝ่ายที่ไม่ได้ผิดสัญญาไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความเสียหายจริง เพียงแสดงว่าฝ่ายตรงข้ามผิดสัญญา 3.ปรับลดได้: หากเบี้ยปรับที่กำหนดไว้สูงเกินไปจนไม่เป็นธรรม ศาลมีอำนาจปรับลดให้เหมาะสมได้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381: ระบุว่าเบี้ยปรับที่กำหนดไว้ในสัญญา เมื่อเกิดเหตุผิดสัญญา จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายที่ไม่ได้ผิดสัญญา 2.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383: ให้ศาลมีอำนาจลดจำนวนเบี้ยปรับ หากเห็นว่าจำนวนที่กำหนดไว้เกินสมควร ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับเบี้ยปรับ 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2567 กรณีเบี้ยปรับจากวัสดุก่อสร้างที่ใช้ไม่ครบถ้วนตามสัญญา ศาลวินิจฉัยว่า เหล็กเส้นที่เหลือจากการก่อสร้างถือเป็นเบี้ยปรับที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของคู่สัญญาฝ่ายที่ไม่ได้ผิดสัญญา 2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 273/2531 ศาลพิจารณาว่าเบี้ยปรับที่กำหนดไว้ในสัญญาจำนวน 20% ของมูลค่างานทั้งหมด ถือว่าเกินสมควร จึงปรับลดให้เหลือ 10% ตามความเหมาะสม 3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1304/2549 คู่สัญญากำหนดเบี้ยปรับกรณีส่งมอบสินค้าล่าช้า ศาลวินิจฉัยว่าเบี้ยปรับดังกล่าวมีผลบังคับใช้ได้ แม้ฝ่ายที่ผิดอ้างว่าความล่าช้าเกิดจากเหตุสุดวิสัย 4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1452/2558 ในคดีที่ผู้รับเหมาทิ้งงาน ศาลระบุว่าเบี้ยปรับที่กำหนดเป็นรายวันสำหรับความล่าช้าในการก่อสร้างถือเป็นจำนวนที่สมควรและสามารถบังคับได้ 5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2123/2548 เบี้ยปรับในกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระเงิน ศาลลดเบี้ยปรับให้สอดคล้องกับดอกเบี้ยตามกฎหมาย เนื่องจากจำนวนที่กำหนดไว้สูงเกินสมควร 6.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6532/2562 คู่สัญญากำหนดเบี้ยปรับสำหรับการละเมิดสัญญาเช่าซื้อ ศาลวินิจฉัยว่าเบี้ยปรับต้องสมเหตุสมผลกับมูลค่าความเสียหายจริง สรุป เบี้ยปรับเป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่ช่วยให้การบังคับใช้สัญญามีประสิทธิภาพ โดยคู่สัญญาสามารถตกลงจำนวนและเงื่อนไขล่วงหน้าได้ อย่างไรก็ตาม หากจำนวนเบี้ยปรับเกินสมควร ศาลสามารถปรับลดให้เหมาะสมได้ ตัวอย่างคำพิพากษาข้างต้นสะท้อนหลักเกณฑ์และการวินิจฉัยของศาลในประเด็นนี้ ซึ่งช่วยให้เข้าใจการใช้เบี้ยปรับในบริบทที่หลากหลาย |