

กู้ยืมเงินไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ กู้ยืมเงินไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1263/2567 • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 • กฎหมายการกู้ยืมเงินที่ไม่มีหลักฐาน • เงื่อนไขการฟ้องร้องหนี้เงินกู้ • สิทธิตามกฎหมายของผู้ให้กู้ • ข้อกำหนดการกู้ยืมเงินเกิน 2,000 บาท • การบังคับคดีหนี้เงินกู้ สรุปย่อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1263/2567 ดังนี้ โจทก์ให้จำเลยกู้เงิน 1,800,000 บาทและถือโฉนดที่ดินของจำเลยเป็นหลักประกัน จำเลยชำระหนี้นี้แล้วแต่โจทก์ยังไม่คืนโฉนด ต่อมาในเดือนตุลาคม 2556 โจทก์โอนเงินเพิ่ม 1,500,000 บาทให้จำเลยโดยไม่มีหลักฐานเพิ่มเติม โจทก์ฟ้องให้จำเลยคืนเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยและถือโฉนดไว้เป็นหลักประกัน จำเลยโต้แย้งว่าไม่ใช่การกู้ยืมและฟ้องแย้งให้โจทก์คืนโฉนด ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์และสั่งให้คืนโฉนด ศาลฎีกาพิจารณาว่าการโอนเงินครั้งที่สองเป็นการกู้ยืมเงิน แต่เนื่องจากโจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรตามมาตรา 653 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์จึงไม่สามารถฟ้องร้องให้บังคับจำเลยชำระหนี้ได้ และโฉนดที่ดินที่โจทก์ถือไว้ก็ไม่สามารถใช้เป็นหลักประกันได้ ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามศาลล่าง หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 มีความสำคัญในคดีการกู้ยืมเงิน กล่าวคือ มาตรานี้กำหนดเงื่อนไขการฟ้องร้องในกรณีที่มีการกู้ยืมเงินจำนวนเกินกว่า 2,000 บาท ซึ่งต้องมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร โดยผู้กู้ต้องลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ หากไม่มีหลักฐานดังกล่าว เจ้าหนี้จะไม่สามารถฟ้องร้องเพื่อบังคับให้ผู้กู้ชำระหนี้ได้ หลักนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการโต้แย้งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างคู่สัญญา โดยหลักฐานลายลักษณ์อักษรทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจและยอมรับเงื่อนไขการกู้ยืมอย่างชัดเจน รวมถึงลดข้อขัดแย้งในภายหลัง การที่ไม่มีหลักฐานเช่นนี้ศาลจึงอาจพิจารณาว่าเจ้าหนี้ไม่สามารถบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้
ในคดีนี้ ศาลพิจารณาว่าแม้จะมีการโอนเงินจำนวน 1,500,000 บาทจากโจทก์ไปยังจำเลย แต่ไม่มีเอกสารลงลายมือชื่อจำเลยตามที่มาตรา 653 กำหนดไว้ ดังนั้นการฟ้องเรียกคืนเงินกู้จึงไม่สามารถกระทำได้ จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงิน 1.8 ล้านจากโจทก์โดยนำโฉนดมาให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน จำเลยชำระเงิน 1.8 ล้านบาทครบถ้วนแล้ว จำเลยขอกู้ยืมเงินอีก 1.5 ล้านบาท โจทก์เห็นว่าได้ยึดถือโฉนดที่ดินของจำเลยไว้แล้ว จึงโอนเงินไปให้โดยไม่ได้ทำหลักฐานอื่นใดเพิ่มเติม การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้าไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันไม่ได้ โจทก์จึงต้องคืนโฉนดที่ดินให้จำเลยไป ตามทางนำสืบของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าโจทก์จำเลยมีความผูกพันเป็นพิเศษอย่างไรนอกเหนือจากที่เคยให้กู้ยืมเงินกันมาก่อน การที่หลังจากให้จำเลยกู้ยืมเงิน 1,800,000 บาท เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2556 ต่อมาเดือนตุลาคม 2556 จำเลยขอให้โจทก์โอนเงินมาให้อีก 1,500,000 บาท และโจทก์เห็นว่าได้ยึดถือโฉนดที่ดินของจำเลยไว้แล้ว จึงโอนเงินไปให้โดยไม่ได้ทำหลักฐานอื่นใดเพิ่มเติมนั้น บ่งชี้ว่าเป็นการให้จำเลยกู้ยืมเงินอีกดังที่ศาลล่างวินิจฉัย ส่วนที่ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่าการโอนเงินให้แก่กันไม่ใช่การกู้ยืมเงิน แต่เป็นการโอนเงินที่สามารถเรียกคืนได้ตามกฎหมายนั้น การให้กู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ปรากฎว่าจำเลยจะต้องคืนเฉพาะเงินเหรียญหรือธนบัตรในลักษณะเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งเท่านั้น เมื่อโจทก์โอนเงินกู้ให้แก่จำเลยไป กรรมสิทธิ์ในเงินกู้ย่อมตกแก่จำเลย ฟ้องโจทก์จึงไม่ใช่การใช้ทรัพยสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืน แต่เป็นการใช้บุคคลสิทธิเรียกให้ชำระหนี้เงินกู้ ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่” เมื่อโจทก์ยังมีภาระการพิสูจน์ว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ เพราะจำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กู้ยืมเงินจำนวนนี้ แต่โจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยเป็นสำคัญมานำสืบตามกฎหมาย จึงฟ้องร้องบังคับให้จำเลยชำระเงินกู้ไม่ได้ ซึ่งรวมถึงการห้ามมิให้ยกขึ้นต่อสู้คดีด้วย เมื่อหนี้ที่โจทก์อ้างเป็นมูลฟ้องร้องและยึดถือโฉนดไว้เป็นหนี้เงินกู้ที่ฟ้องร้องบังคับไม่ได้ตามกฎหมาย ส่วนหนี้เงินกู้ 1,800,000 บาท โจทก์ก็รับว่าจำเลยชำระหนี้ให้แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินเลขที่ 59782 ของจำเลยไว้ต่อไป
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงิน 2,062,500 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 59782 คืนแก่จำเลย โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์คืนโฉนดที่ดินเลขที่ 59782 แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีทั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้งให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าเดิมจำเลยเคยกู้ยืมเงินโจทก์ 1,800,000 บาท โดยมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 59782 ให้ยึดถือไว้เป็นประกัน จำเลยชำระเงินกู้จำนวนนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ยังไม่คืนโฉนดที่ดินให้จำเลย และเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2556 โจทก์โอนเงิน 1,500,000 บาท ไปยังบัญชีธนาคาร ก. ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกามีว่า จำเลยต้องชำระเงิน 1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยคืนโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินเลขที่ 59782 ไว้หรือไม่ เห็นว่า ตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าโจทก์จำเลยมีความผูกพันเป็นพิเศษอย่างไรนอกเหนือจากที่เคยให้กู้ยืมเงินกันมาก่อน การที่หลังจากให้จำเลยกู้ยืมเงิน 1,800,000 บาท เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2556 ไปแล้ว ต่อมาเดือนตุลาคม 2556 จำเลยขอให้โจทก์โอนเงินมาให้อีก 1,500,000 บาท และโจทก์เห็นว่าได้ยึดถือโฉนดที่ดินของจำเลยไว้แล้วจึงโอนเงินไปให้โดยไม่ได้ทำหลักฐานอื่นใดเพิ่มเติมนั้น บ่งชี้ว่าเป็นการให้จำเลยกู้ยืมเงินอีกดังศาลล่างวินิจฉัยไว้ชัดแจ้งแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ส่วนที่ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่าการโอนเงินให้แก่กันไม่ใช่การกู้ยืมเงิน แต่เป็นการโอนเงินที่สามารถเรียกคืนได้ตามกฎหมายนั้น การให้กู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ปรากฏว่าจำเลยจะต้องคืนเฉพาะเงินเหรียญหรือธนบัตรในลักษณะเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งเท่านั้น เมื่อโจทก์โอนเงินกู้ให้แก่จำเลยไป กรรมสิทธิ์ในเงินกู้ย่อมตกแก่จำเลย ฟ้องโจทก์จึงไม่ใช่การใช้ทรัพยสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืน แต่เป็นการใช้บุคคลสิทธิเรียกให้ชำระหนี้เงินกู้ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่” เมื่อโจทก์ยังมีภาระการพิสูจน์ว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ เพราะจำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กู้ยืมเงินจำนวนนี้ แต่โจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยเป็นสำคัญมานำสืบตามกฎหมาย จึงฟ้องร้องบังคับให้จำเลยชำระเงินกู้ไม่ได้ ซึ่งหมายความรวมถึงการห้ามมิให้ยกขึ้นต่อสู้คดีด้วย และกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปว่า เงิน 1,500,000 บาท ตามฟ้องเป็นเงินของโจทก์หรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ส่วนที่โจทก์ฎีกาประการอื่นว่าเงิน 1,500,000 บาท เป็นการกู้ยืมเงินครั้งที่ 2 ต่อจากการกู้เงิน 1,800,000 บาท รวมเป็นกู้เงิน 3,300,000 บาท และฎีกาต่อไปทำนองว่า การที่จำเลยนำสืบว่าได้ชำระหนี้เงิน 1,800,000 บาท ให้โจทก์แล้วเป็นการรับว่าได้ชำระหนี้เงินกู้บางส่วน โจทก์จึงไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อจำเลยเป็นสำคัญก็ฟ้องจำเลยได้นั้น โจทก์ไม่ได้นำสืบเช่นนั้น จึงไม่อาจรับฟังได้ ส่วนฎีกาข้ออื่นของโจทก์นอกจากนี้เป็นประเด็นปลีกย่อยไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำต้องวินิจฉัยอีก เมื่อหนี้ที่โจทก์อ้างเป็นมูลฟ้องร้องและยึดถือโฉนดไว้เป็นหนี้เงินกู้ที่ฟ้องร้องบังคับไม่ได้ตามกฎหมาย ส่วนหนี้เงินกู้ 1,800,000 บาท โจทก์ก็รับว่าจำเลยชำระหนี้ให้แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินเลขที่ 59782 ของจำเลยไว้ต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ กับบังคับตามฟ้องแย้งให้โจทก์คืนโฉนดที่ดินเลขที่ 59782 แก่จำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ทั้งหมดฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาทั้งในส่วนฟ้องเดิมและฟ้องแย้งให้เป็นพับ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1263/2567 |