

หลักฐานการกู้ยืมเงิน, การลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืม, การพิสูจน์การชำระหนี้ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ • คำพิพากษาศาลฎีกา 514/2567 • หลักฐานการกู้ยืมเงิน • การพิสูจน์การชำระหนี้ • ป.พ.พ. มาตรา 653 • ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84/1 • การฟ้องร้องหนี้เงินกู้ • การลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืม สรุปย่อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 514/2567 สรุปได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่าหนี้เงินกู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ใช้ในกิจการของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นเพียงพนักงาน ไม่มีอำนาจตัดสินใจ โดยลงลายมือชื่อตามคำสั่งนายปรีชา ซึ่งมีอำนาจเต็มในการบริหารงาน การกู้เงินจึงเป็นการกระทำในนามบริษัทจำเลยที่ 1 โจทก์สามารถฟ้องได้แม้ไม่มีลายมือชื่อผู้ยืมตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง เนื่องจากจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าได้รับเงินแล้ว จำเลยที่ 1 โต้ว่าได้ชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว แต่มีเพียงคำเบิกความของจำเลยที่ 2 โดยไม่มีหลักฐานอื่นมาสนับสนุน ศาลเห็นว่าพยานหลักฐานดังกล่าวไม่มีน้ำหนักเพียงพอ จึงพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระหนี้ตามฟ้องของโจทก์ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ *ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 กำหนดหลักเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน โดยระบุว่า การกู้ยืมเงินที่มีมูลค่ามากกว่า 2,000 บาทขึ้นไปจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืม มิฉะนั้นจะไม่สามารถฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ หลักนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันข้อพิพาทเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินที่ไม่มีหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่หากมีพยานหลักฐานอื่นเพียงพอที่ศาลรับฟังได้ว่าเกิดการกู้ยืมจริง เช่น การรับเงินโดยเช็ค การลงนามอนุมัติเงินกู้ ก็อาจไม่จำเป็นต้องมีลายมือชื่อผู้ยืมตามมาตรานี้เสมอไป *ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 กำหนดภาระการพิสูจน์ในคดีแพ่ง โดยหากฝ่ายใดเป็นผู้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่เป็นคุณแก่ตน ฝ่ายนั้นต้องนำสืบข้อเท็จจริงนั้น การพิสูจน์นี้สำคัญในกรณีที่จำเลยกล่าวอ้างว่าชำระหนี้แล้ว ซึ่งจำเลยต้องมีหลักฐานหรือพยานที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุน หากไม่มีหลักฐานเพียงพอ ศาลจะไม่สามารถฟังข้อกล่าวอ้างนั้นได้ การอธิบายกฎหมายเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่าทำไมศาลจึงพิจารณาว่าการฟ้องร้องโดยโจทก์เป็นไปตามกฎหมาย และเหตุใดจำเลยจึงต้องรับผิดในหนี้เมื่อไม่มีหลักฐานเพียงพอในการพิสูจน์การชำระหนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 514/2567 การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การทำนองเดียวกันว่าหนี้เงินกู้เป็นการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกันเพื่อใช้เป็นเงินทุนในกิจการของจำเลยที่ 1 ปัจจุบันมีการชำระหนี้แล้ว และชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 และที่ 2 นำสืบทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจตัดสินใจ ในการบริหารงานของจำเลยที่ 1 การตัดสินใจขึ้นอยู่กับ ป. จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกู้ยืมเงินกับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อตามที่ ป. สั่ง จึงมิได้กระทำการในนามตนเองและมิได้รับเงินหรือประโยชน์ใด ๆ เงินที่กู้ยืมนำไปใช้ในกิจการของจำเลยที่ 1 ถือว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่ามีการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จริงยิ่งกว่านั้นการที่ ป. ลงลายมือชื่อทั้งในช่องผู้กู้และช่องผู้ให้กู้ตามสัญญากู้ยืมเงินและใบรับเงินกู้เอกสารหมาย จ.6 ลงลายมือชื่อช่องผู้ให้กู้ตามสัญญากู้เงินและใบรับเงินกู้เอกสารหมาย จ.7 และลงลายมือชื่ออนุมัติกรณีจำเลยที่ 1 ขอกู้ยืมเงิน 25,500,000 บาท เพื่อนำมาใช้ในการโอนที่ดิน อีกทั้ง ป. ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค 2 ฉบับ จากบัญชีโจทก์มอบให้จำเลยที่ 1 แล้วมีการเบิกถอนเงินตามเช็คไปแล้ว แสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปจากโจทก์แล้ว ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์จริง กรณีนี้ไม่จำต้องอาศัยหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญมาแสดงต่อศาลตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 *เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่าได้ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1 มีภาระการพิสูจน์ในเรื่องนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 แต่ตามทางนำสืบของจำเลยที่ 1 คงมีแต่ตัวจำเลยที่ 2 เป็นพยานเพียงปากเดียวเบิกความลอย ๆ ว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้เงินกู้ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ จึงมีรายการหนี้เงินกู้ของโจทก์ค้างอยู่ในงบการเงินของจำเลยที่ 1 โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดตามที่ระบุไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคสอง มาแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ****โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 23,429,376.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 9 ต่อปี ของต้นเงิน 15,500,000 บาท นับแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ *จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง *จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ *ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ *โจทก์อุทธรณ์ *ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 15,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี ของต้นเงิน 15,500,000 บาท นับแต่วันที่ 30 เมษายน 2557 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 27 มกราคม 2563) ต้องไม่เกิน 7,879,376.71 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ *จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา *ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน 2546 ถึงวันที่ 25 เมษายน 2556 มีนายปรีชาเป็นกรรมการผู้เดียวที่มีอำนาจลงลายมือชื่อพร้อมประทับตราสำคัญของบริษัทกระทำการแทนบริษัทโจทก์ได้ เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2554 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในนามของจำเลยที่ 1 ส่วนนายปรีชาลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในนามของจำเลยที่ 1 และในช่องผู้ให้กู้ในนามของโจทก์ ซึ่งมีข้อความระบุว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงิน 4,500,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี และจำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้จากโจทก์เป็นเช็คธนาคาร น. สาขาย่อยสรงประภา จำนวนเงิน 4,500,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงินและใบรับเงินกู้ เอกสารหมาย จ.6 แผ่นที่ 1 และที่ 2 และเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2554 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในนามของจำเลยที่ 1 และนายปรีชาลงลายมือชื่อในช่องผู้ให้กู้ในนามของโจทก์ ซึ่งมีข้อความระบุว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงิน 25,500,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี และจำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้จากโจทก์ เป็นเช็คธนาคาร น. สาขาย่อยสรงประภา จำนวนเงิน 25,500,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงินและใบรับเงินกู้ เอกสารหมาย จ.7 ต่อมาวันที่ 9 ตุลาคม 2555 นายปรีชาถึงแก่ความตาย มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์และจำเลยที่ 1 ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้เงินกู้ 15,500,000 บาท แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระ *คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้หรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่" ดังนั้น แม้ตามใบรับเงินฉบับลงวันที่ 21 มกราคม 2554 เอกสารหมาย จ.6 และใบรับเงินฉบับลงวันที่ 24 มิถุนายน 2554 เอกสารหมาย จ.7 จะเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน แต่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปคือ ต้องมีการลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ มิฉะนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ เมื่อพิจารณาจากเอกสารหมาย ล.6 (ที่ถูก จ.6) และ ล.7 (ที่ถูก จ.7) ว่าเป็นการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงต้องพิจารณาถึงบุคคลผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลซึ่งได้กำหนดบุคคลผู้มีอำนาจและประทับตราสำคัญของบริษัท ปรากฏตามหนังสือรับรอง ระบุว่า ระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน 2549 ถึงวันที่ 18 ตุลาคม 2555 กรรมการผู้มีอำนาจคือ นายปรีชาลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท จึงจะผูกพันบริษัทจำเลยที่ 1 แต่ตามเอกสารหมาย ล.6 (ที่ถูก จ.6) และ ล.7 (ที่ถูก จ.7) มีการลงลายมือชื่อของนายปรีชาโดยมิได้ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำการแทนนิติบุคคล เมื่อไม่มีการลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ เอกสารหมาย ล.6 (ที่ถูก จ.6) และ ล.7 (ที่ถูก จ.7) ย่อมไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ นั้น เห็นว่า เมื่อพิเคราะห์ตามรูปเรื่องแห่งคดีนี้แล้ว การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การในทำนองเดียวกันซึ่งสรุปใจความได้ว่า หนี้เงินกู้ตามฟ้องเป็นการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกันเพื่อใช้เป็นเงินทุนในกิจการของจำเลยที่ 1 ปัจจุบันได้มีการชำระหนี้แล้ว และชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 และที่ 2 นำสืบทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจตัดสินใจในการบริหารงานของจำเลยที่ 1 การตัดสินใจขึ้นอยู่กับนายปรีชา จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกู้ยืมเงินกับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อตามที่นายปรีชาสั่งให้ดำเนินการ จึงมิได้เป็นการกระทำในนามของตนเองและมิได้รับเงินหรือประโยชน์ใด ๆ เงินที่กู้ยืมนำไปใช้ในกิจการของจำเลยที่ 1 นั้น ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่า มีการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามฟ้องจริง ยิ่งกว่านั้นเมื่อพิจารณาตามเหตุผลของเรื่องแล้ว การที่นายปรีชาลงลายมือชื่อทั้งในช่องผู้กู้และช่องผู้ให้กู้ตามสัญญากู้ยืมเงินและใบรับเงินกู้เอกสารหมาย จ.6 ลงลายมือชื่อช่องผู้ให้กู้ตามสัญญากู้เงินและใบรับเงินกู้ เอกสารหมาย จ.7 และลงลายมือชื่ออนุมัติกรณีจำเลยที่ 1 ขอกู้ยืมเงิน 25,500,000 บาท เพื่อนำมาใช้ในการโอนที่ดิน อีกทั้งนายปรีชาได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคาร น. สาขาย่อยสรงประภา จำนวนเงิน 4,500,000 บาท และ 25,500,000 บาท จากบัญชีของโจทก์มอบให้แก่จำเลยที่ 1 แล้วมีการเบิกถอนเงินตามเช็คไปแล้ว แสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปจากโจทก์แล้ว ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์จริง กรณีนี้ไม่จำต้องอาศัยหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญมาแสดงต่อศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง แต่ประการใด ดังนั้น โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาในประเด็นข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น *ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการที่สองมีว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า เมื่อพิจารณาถึงรายการในงบแสดงฐานะการเงินของโจทก์ ว่าเป็นเรื่องตัวเลขที่สรุปฐานะการเงินประจำปีของนิติบุคคลที่ยื่นต่อหน่วยราชการ ซึ่งจะเชื่อถือได้ว่าเป็นความจริงจะต้องมีพยานเอกสารอื่นมาแสดงประกอบด้วย อีกทั้งเมื่อพิเคราะห์ตามคำเบิกความพยานโจทก์ปากนางสาวเบญญาภาก็ไม่ได้ยืนยันว่า รายการให้กู้ยืม 31,398,073.53 บาท เป็นรายการหนี้ให้กู้ยืมแก่จำเลยที่ 1 นอกจากนี้แล้วโจทก์ยังมีใบเสร็จรับเงินเป็นพยานหลักฐานอันแสดงให้เห็นว่า ในปี 2556 ถึงปี 2557 จำเลยที่ 1 ยังผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่นำสืบหักล้างในเรื่องนี้ ยิ่งกว่านั้นเมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์แห่งคดีว่า ในปี 2562 และปี 2563 จำเลยที่ 1 ยังคงระบุรายการในแบบนำส่งงบการเงินของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้เงินกู้ระยะยาวของโจทก์อยู่เป็นเงิน 15,550,000 บาท เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่าได้ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1 มีภาระการพิสูจน์ในเรื่องนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 แต่ตามทางนำสืบของจำเลยที่ 1 คงมีแต่ตัวจำเลยที่ 2 เป็นพยานเพียงปากเดียวเบิกความกล่าวอ้างลอย ๆ ว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้เงินกู้ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ จึงมีรายการหนี้เงินกู้ของโจทก์ค้างอยู่ในงบการเงินของจำเลยที่ 1 โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง มาแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วจริง ดังนั้น จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดรับชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาในประเด็นข้อนี้ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน *พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ หมายเหตุ ความแตกต่างระหว่างสัญญากู้ยืมเงินกับหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ และการติดอากรแสตมป์ 1.ความแตกต่างระหว่างสัญญากู้ยืมเงินกับหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือ oสัญญากู้ยืมเงิน: เป็นเอกสารที่เกิดจากความตกลงระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายลงนามเพื่อเป็นหลักฐานแสดงว่ามีการกู้ยืมเกิดขึ้น โดยระบุจำนวนเงิน เงื่อนไขการชำระคืน และอัตราดอกเบี้ย (ถ้ามี) สัญญานี้มีลักษณะเป็นข้อผูกพันทางกฎหมายที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้ oหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือที่ลงลายมือชื่อผู้ยืม: หมายถึงเอกสารที่ระบุว่ามีการกู้ยืมเงินและลงลายมือชื่อผู้ยืมเพื่อยืนยันการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 ซึ่งกำหนดว่า “การกู้ยืมเงินตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไปต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือที่ลงลายมือชื่อผู้ยืม มิฉะนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้” อย่างไรก็ตาม เอกสารนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นสัญญาเต็มรูปแบบ อาจเป็นใบยืนยันการกู้ยืมที่ลงนามโดยผู้ยืมเพื่อใช้เป็นหลักฐานก็ได้ 2.การติดอากรแสตมป์เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐาน *ตาม พระราชบัญญัติอากรแสตมป์ พ.ศ. 2481 กำหนดให้เอกสารบางประเภทต้องติดอากรแสตมป์เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการฟ้องร้องหรือสืบพยานในศาล ได้แก่ สัญญากู้ยืมเงิน เอกสารเหล่านี้ต้องมีการติดอากรแสตมป์เพื่อให้มีผลทางกฎหมายและสามารถใช้สืบพยานได้ oจำนวนอากรแสตมป์: สำหรับสัญญากู้ยืมเงินจะต้องติดอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาทต่อจำนวนเงิน 2,000 บาท หรือเศษของจำนวนเงิน 2,000 บาทนั้น โดยอัตราสูงสุดของการติดอากรแสตมป์สำหรับสัญญากู้ยืมจะไม่เกิน 10,000 บาท oผลทางกฎหมายหากไม่ติดอากรแสตมป์: หากไม่มีการติดอากรแสตมป์ เอกสารดังกล่าวไม่สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในการฟ้องร้องหรือสืบพยานในศาลได้ตาม พระราชบัญญัติอากรแสตมป์ มาตรา 118 เว้นแต่จะมีการชำระอากรแสตมป์ย้อนหลังพร้อมค่าปรับตามที่กฎหมายกำหนด 3.การติดอากรแสตมป์ในสัญญาทั้งสองประเภท oสัญญากู้ยืมเงิน: ต้องติดอากรแสตมป์ตามอัตราที่กล่าวถึงข้างต้นเพื่อให้มีผลทางกฎหมาย oหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ: หากเอกสารนี้มีการใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องในศาล ก็ต้องติดอากรแสตมป์ตามที่กฎหมายกำหนดเช่นเดียวกับสัญญากู้ยืม การติดอากรแสตมป์จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เอกสารเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินมีผลใช้บังคับได้ในทางกฎหมายและสามารถใช้เป็นหลักฐานในศาลได้ตามกฎหมาย
|