
สิทธิในสัญญาเช่าซื้อกับการตกทอดทางมรดก: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1366/2516
✨ คำเกริ่นนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการตีความสิทธิในสัญญาเช่าซื้อว่าหากคู่สัญญาระบุชื่อบุคคลภายนอกให้รับสิทธิแทนไว้ในสัญญาแล้ว บุคคลนั้นมีสิทธิชอบด้วยกฎหมายภายใต้มาตรา 374 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยสิทธิที่ได้จึงไม่ตกเป็นมรดกของผู้ตายอีกต่อไป
📌 ข้อเท็จจริงโดยสังเขป •นายสวัสดิ์ ทำสัญญาเช่าซื้ออาคารกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ และระบุชื่อ “เด็กชายวิวัฒน์” เป็นผู้รับสิทธิแทนในกรณีตนถึงแก่กรรม •เมื่อถึงแก่กรรม จำเลยซึ่งเป็นมารดาของเด็กชายวิวัฒน์ ดำเนินการให้ธนาคารโอนสิทธิให้เด็กชายวิวัฒน์ •โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกฟ้องว่า การกระทำของจำเลยเป็นการฉ้อฉล ยักยอกทรัพย์สินในกองมรดก •ศาลล่างเห็นว่า สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อเป็นมรดกของผู้ตายและให้โจทก์รับสิทธิร่วมกับเด็กชายวิวัฒน์ •จำเลยฎีกา
สรุปสั้นฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายสวัสดิ์ ทำสัญญาเช่าซื้อกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยมีข้อตกลงให้สามารถระบุตัวผู้รับสิทธิแทนได้หากถึงแก่กรรม ซึ่งนายสวัสดิ์ได้ระบุชื่อ “เด็กชายวิวัฒน์” เป็นผู้รับสิทธิ ต่อมานายสวัสดิ์เสียชีวิต และจำเลยในฐานะมารดาของเด็กชายวิวัฒน์ได้ดำเนินการขอโอนสิทธิตามสัญญาดังกล่าวให้แก่บุตร ธนาคารยอมรับและให้เด็กชายวิวัฒน์เป็นผู้เช่าซื้อแทน ศาลเห็นว่า การระบุชื่อไว้ในสัญญาเป็น ข้อสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 และเมื่อเด็กชายวิวัฒน์แสดงเจตนารับสิทธิแล้ว ย่อมมีผลผูกพันตามมาตรา 375 ซึ่งทำให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือเพิกถอนสิทธิได้อีก ทั้งนี้ ธนาคารได้ให้สิทธิแก่เด็กชายวิวัฒน์ก่อนที่โจทก์จะฟ้อง การที่ศาลล่างให้โจทก์เข้าร่วมถือสิทธิกับเด็กชายวิวัฒน์จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาจึงพิพากษายกฟ้องโจทก์
⚖️ คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาแย้งคำวินิจฉัยของศาลล่าง โดยให้เหตุผลว่า… •สัญญาเช่าซื้อประกอบด้วยสัญญาเช่าทรัพย์ + คำมั่นจะขาย •การที่นายสวัสดิ์ระบุชื่อเด็กชายวิวัฒน์เป็นผู้รับสิทธิถือเป็น “ข้อสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก” ตามมาตรา 374 •เมื่อเด็กชายวิวัฒน์แสดงเจตนาเข้าถือประโยชน์แล้ว สิทธิดังกล่าวย่อมเกิดผล และไม่ตกทอดในกองมรดก •การฟ้องของโจทก์จึงไม่มีผล ให้จำเลยผิดเพราะจำเลยได้ทำตามเจตนารมณ์ของผู้ตาย ศาลฎีกาจึงพิพากษา “กลับ” คำพิพากษาศาลอุทธรณ์และให้ยกฟ้องโจทก์
🧠 วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. สัญญาเช่าซื้อคืออะไร? ตามคำพิพากษานี้ ศาลจำแนกชัดว่า "สัญญาเช่าซื้อ" คือการเช่าทรัพย์ที่มีคำมั่นจะขายให้ภายหลัง ซึ่งมีผลผูกพันสองสถานะ •สิทธิในการเช่า → เฉพาะตัวผู้เช่า (ไม่ตกทอด) •คำมั่นจะขาย → สิทธิในทรัพย์สิน (ตกเป็นมรดกได้ หากไม่ระบุผู้รับสิทธิไว้) 2. ข้อสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก (มาตรา 374) •เป็นกรณีที่คู่สัญญาตกลงให้สิทธิแก่บุคคลที่ไม่ได้เป็นคู่สัญญาโดยตรง •สิทธิจะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลภายนอก "แสดงเจตนา" ต่อคู่สัญญาว่าจะเข้าถือประโยชน์ •เมื่อแสดงเจตนาแล้ว คู่สัญญาไม่อาจยกเลิกหรือแก้ไขสิทธิของบุคคลนั้นได้อีก (มาตรา 375) 3. ไม่เป็นทรัพย์มรดก เมื่อมีข้อสัญญาเช่นนี้ สิทธิที่ตกแก่บุคคลภายนอก “โดยเฉพาะเจาะจง” จะไม่ถือว่าเป็นทรัพย์ที่ตกอยู่ในกองมรดกอีกต่อไป
✅ ข้อคิดทางกฎหมาย •ข้อสัญญาที่มอบสิทธิแก่บุคคลภายนอกควรมีความชัดเจนและระบุชื่อโดยเฉพาะเจาะจง •การแสดงเจตนาเข้าถือประโยชน์จากสัญญาควรทำอย่างเป็นทางการ เช่น หนังสือแจ้ง •ผู้จัดการมรดกไม่มีอำนาจระงับสิทธิของบุคคลภายนอกที่ได้แสดงเจตนาแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1366/2516 สัญญาเช่าซื้อก็คือสัญญาเช่าทรัพย์บวกด้วยคำมั่นจะขายทรัพย์สินนั้นสัญญาเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวผู้เช่า คำมั่นจะขายทรัพย์สินที่ให้เช่าเป็นสิทธิในทรัพย์สินซึ่งอาจตกเป็นมรดกของคู่สัญญาที่ถึงแก่กรรมได้
คู่สัญญาทำสัญญาเช่าซื้อโดยมีข้อสัญญาระบุว่า ให้ผู้เช่าซื้อระบุตัวทายาทผู้รับสิทธิในการเช่าซื้อแทนได้เมื่อผู้เช่าซื้อถึงแก่กรรมและผู้เช่าซื้อได้ระบุตัวทายาทผู้รับสิทธิในการเช่าซื้อไว้แล้วข้อสัญญาดังกล่าวนี้เป็นข้อสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 ฉะนั้นเมื่อผู้เช่าซื้อถึงแก่กรรม และทายาทผู้รับสิทธิดังกล่าวได้แสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญานี้ต่อผู้ให้เช่าซื้อตามมาตรา 374 วรรค 2 แล้วสิทธิในการเช่าซื้อจึงตกเป็นของทายาทผู้รับสิทธิดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ตกเป็นมรดกของผู้ตายต่อไป
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นผู้จัดการมรดกของนายสวัสดิ์ จำเลยเป็นภริยาไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายสวัสดิ์ และเป็นมารดาของนายวิวัฒน์ ผู้เยาว์ ซึ่งนายสวัสดิ์ รับรองว่าเป็นบุตรนายสวัสดิ์ ได้ทำสัญญาเช่าซื้ออาคารและที่ดินอาคารสงเคราะห์เลขที่ ๕ ทุ่งมหาเมฆ จากธนาคารอาคารสงเคราะห์ และได้ชำระค่าเช่าซื้อตลอดมาจนถึงแก่กรรม สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อจึงเป็นทรัพย์สินที่ต้องอยู่ในกองมรดกของนายสวัสดิ์ จำเลยในฐานะมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของนายวิวัฒน์ ได้ทำฉ้อฉล โดยสมคบกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ยักยอกทรัพย์มรดก ถือสิทธิเช่าซื้อที่ดินและอาคารดังกล่าวโดยแอบยื่นเรื่องราวต่อธนาคารอาคารสงเคราะห์ขอรับโอนสิทธิเช่าซื้อที่ดินและอาคาร ใส่ชื่อนายวิวัฒน์ เป็นผู้เช่าซื้อขอให้บังคับจำเลยจัดการโอนสิทธิเช่าซื้อที่ดินและอาคารจากชื่อนายวิวัฒน์ มาเป็นชื่อโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวัสดิ์ และให้กำจัดสิทธิของนายวิวัฒน์ จากการเป็นทายาท ไม่มีสิทธิรับมรดกของนายสวัสดิ์
จำเลยให้การว่า สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อไม่ใช่สิทธิที่จะอยู่ในกองมรดกของนายสวัสดิ์ ตามข้อตกลงในสัญญาที่ทำไว้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์เป็นสิทธิเฉพาะตัวการเช่าซื้อดังกล่าวจำเลยมอบหมายให้นายสวัสดิ์เป็นตัวแทนจำเลยในฐานะส่วนตัวติดต่อทำสัญญาเช่าซื้อ สัญญาเช่าซื้อระหว่างธนาคารกับจำเลยในฐานะมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของนายวิวัฒน์เป็นสัญญาที่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยมิได้ยักยอกทรัพย์สินอันเป็นกองมรดกของนายสวัสดิ์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อรายนี้เป็นมรดกของนายสวัสดิ์ผู้ตาย และตามสัญญาเช่าซื้อนายสวัสดิ์ได้ระบุให้เด็กชายวิวัฒน์เป็นผู้รับสิทธิแทน การที่จำเลยขอให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์โอนสิทธิการเช่าซื้อให้เด็กชายวิวัฒน์เป็นการใช้สิทธิตามที่ผู้ตายระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อโดยสุจริต ไม่เป็นการฉ้อฉลยักยอกทรัพย์มรดกข้อที่จำเลยจะขอสืบว่านายสวัสดิ์เป็นตัวแทนจำเลยนั้น เห็นว่า จำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดงจึงไม่จำเป็นต้องสืบพยานบุคคลตามที่จำเลยขอ และเชื่อว่านายสวัสดิ์ทำสัญญาเช่าซื้อในนามของตนเอง พิพากษาให้โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกนายสวัสดิ์ เป็นผู้รับสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อร่วมกับนายวิวัฒน์ คำขออื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นายสวัสดิ์ได้ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินและอาคารกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ตามสัญญาเช่าซื้อหมาย จ.๑ซึ่งตามสัญญาข้อ ๑๒ ระบุว่าหากผู้เช่าซื้อวายชนม์ลงในระหว่างที่สัญญาเช่าซื้อยังไม่สิ้นสุด ผู้ให้เช่าซื้อยินยอมให้ผู้เช่าซื้อระบุตัวทายาทผู้รับสิทธิแทนไว้ในภายหน้าได้ คือ เด็กชายวิวัฒน์ ต่อมาในระหว่างสัญญาเช่าซื้อ นายสวัสดิ์ได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๑๒จำเลยในฐานะมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายวิวัฒน์ได้ขอให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์โอนสิทธิในการเช่าซื้อดังกล่าวให้แก่เด็กชายวิวัฒน์ตามความประสงค์ของผู้ตาย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้อนุมัติให้เด็กชายวิวัฒน์เป็นผู้เช่าซื้อได้โดยจำเลยในฐานะมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้ทำการเช่าซื้อแทนเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๑๒
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญาเช่าซื้อก็คือสัญญาเช่าทรัพย์บวกด้วยคำมั่นจะขายทรัพย์สินนั้น สัญญาเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวผู้เช่าคำมั่นจะขายทรัพย์สินที่ให้เช่าเป็นสิทธิในทรัพย์สินซึ่งอาจตกเป็นมรดกของคู่สัญญาที่ถึงแก่กรรมได้ แต่เมื่อคู่สัญญาเช่าซื้อได้ทำสัญญาตกลงกันให้ผู้เช่าซื้อระบุตัวผู้รับสิทธิในการเช่าซื้อแทนได้เมื่อผู้เช่าซื้อถึงแก่กรรม โดยนายสวัสดิ์ได้ระบุชื่อเด็กชายวิวัฒน์เป็นผู้รับสิทธิในการเช่าซื้อต่อไป จึงเป็นกรณีที่นายสวัสดิ์ได้ยกสิทธิในการเช่าซื้อรายนี้ให้แก่เด็กชายวิวัฒน์โดยเฉพาะเจาะจงผู้เดียวซึ่งเป็นข้อสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๔ เมื่อเด็กชายวิวัฒน์ได้แสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญานี้แก่ธนาคารผู้ให้เช่าซื้อตามมาตรา ๓๗๔ วรรค ๒ แล้วสิทธิของเด็กชายวิวัฒน์ได้เกิดมีผลขึ้นนับแต่วาระนั้นแล้ว คู่สัญญาเช่าซื้อหาอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิของบุคคลภายนอกได้ไม่ ตามมาตรา ๓๗๕โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสวัสดิ์จึงไม่อาจจะเปลี่ยนแปลง หรือระงับสิทธิของเด็กชายวิวัฒน์ผู้เข้าถือประโยชน์จากสัญญานี้แล้วได้เช่นเดียวกันสิทธิการเช่าซื้อรายนี้จึงตกเป็นของเด็กชายวิวัฒน์โดยชอบด้วยกฎหมายไม่ตกเป็นมรดกของนายสวัสดิ์ผู้ตายต่อไป นอกจากนั้นธนาคารผู้ให้เช่าซื้อได้ตกลงให้เด็กชายวิวัฒน์เป็นผู้เช่าซื้อต่อไปแล้วก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดีนี้ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ผู้จัดการมรดกของผู้ตายเข้ารับสิทธิเป็นผู้เช่าซื้อร่วมกับเด็กชายวิวัฒน์ซึ่งเป็นการบังคับธนาคารผู้ให้เช่าซื้อด้วย โดยโจทก์มิได้ฟ้องธนาคารผู้ให้เช่าซื้อให้รับผิดอย่างไรดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาหาได้ไม่ ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลย พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์
🧩 IRAC วิเคราะห์ฎีกา Issue (ปัญหาที่ต้องวินิจฉัย): สิทธิในสัญญาเช่าซื้อที่ผู้เช่าระบุผู้รับสิทธิไว้โดยเฉพาะ จะตกเป็นมรดกหรือเป็นสิทธิของผู้รับสิทธิโดยตรง? Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ): •ป.พ.พ. มาตรา 374: ข้อสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก •มาตรา 375: เมื่อบุคคลภายนอกแสดงเจตนาเข้าถือสิทธิแล้ว คู่สัญญาไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ Application (การปรับใช้): •นายสวัสดิ์ระบุชื่อเด็กชายวิวัฒน์โดยเฉพาะเจาะจงในสัญญา •เด็กชายวิวัฒน์แสดงเจตนาเข้าถือสิทธิ •สิทธิการเช่าซื้อจึงเกิดแก่เด็กชายวิวัฒน์โดยตรง ไม่อยู่ในกองมรดก Conclusion (ข้อสรุป): สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อไม่ตกทอดเป็นมรดก แต่ตกเป็นของเด็กชายวิวัฒน์โดยชอบด้วยกฎหมาย
ขยายความประเด็นทางกฎหมาย ของ มาตรา 374 และ 375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) อย่างละเอียด พร้อมเนื้อหาเชิงลึก ป.พ.พ. มาตรา 374 – ข้อสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก บทบัญญัตินี้กำหนดหลักเกณฑ์ว่า หากคู่สัญญาได้ตกลงกันในสัญญาว่า จะให้ประโยชน์แก่บุคคลภายนอก บุคคลคนนั้นจะได้รับสิทธิเรียกให้คู่สัญญาชำระหนี้ได้ทันที: •เมื่อสัญญาก่อตั้งขึ้น บุคคลภายนอกสามารถ "แสดงเจตนา" ต่อคู่สัญญา (เช่น ลูกหนี้) ว่าตนเองยินดีจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น — สิทธิจึงถือว่ากำเนิดขึ้นแล้วทันที •ในทางกฎหมายถือเป็นกรณียกเว้นหลัก "ไม่มีผลผูกพันแก่บุคคลภายนอก" (privity of contract) โดยอนุญาตให้บุคคลภายนอกมีสิทธิตามสัญญาได้หากแสดงเจตนาเข้าไปมีส่วนได้ชัดเจน ป.พ.พ. มาตรา 375 – เมื่อบุคคลภายนอกแสดงเจตนาแล้ว คู่สัญญาห้ามเปลี่ยนแปลง ภายหลังจากที่บุคคลภายนอกได้แสดงเจตนารับประโยชน์จากสัญญาแล้ว คู่สัญญาเดิมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือเพิกถอนสิทธิของบุคคลภายนอกนั้นได้อีก: •หมายความว่า ถ้าเป็นกรณีสัญญาที่ให้ประโยชน์ต่อบุคคลอื่น (third-party benefit), เมื่อเกิดสิทธิแล้ว จึงไม่มีอำนาจในการยกเลิกหรือปรับเปลี่ยนเงื่อนไขที่ให้ประโยชน์นั้น
ประเด็นสำคัญที่ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก การให้ประโยชน์แก่บุคคลภายนอก หมายถึง กรณีที่คู่สัญญาได้ตกลงกันไว้ในสัญญาว่า จะให้บุคคลอื่นซึ่งไม่ได้เป็นคู่สัญญาโดยตรง ได้รับผลประโยชน์จากข้อตกลงนั้น เช่น การระบุชื่อบุคคลใดให้เป็นผู้รับผลประโยชน์จากสัญญาหรือทรัพย์สินในอนาคต อย่างไรก็ตาม สิทธิของบุคคลภายนอกจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าบุคคลนั้นจะแสดงเจตนาอย่างชัดเจนต่อคู่สัญญาว่า “ยอมรับประโยชน์” ตามที่ได้รับการระบุไว้ในสัญญา ซึ่งการแสดงเจตนาดังกล่าวเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้สิทธินั้นมีผลตามกฎหมาย เมื่อบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาแล้ว สิทธิต่าง ๆ ที่ได้รับจากสัญญาจะเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ และคู่สัญญาเดิมจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลง ยกเลิก หรือยับยั้งสิทธิของบุคคลภายนอกนั้นได้อีกต่อไป ไม่ว่าฝ่ายใดจะเปลี่ยนใจภายหลังหรือมีเงื่อนไขเพิ่มเติมก็ตาม ทั้งนี้เป็นไปตามหลักที่บัญญัติไว้ในมาตรา 375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตัวอย่างประกอบเชิงวิเคราะห์ 1.เหตุการณ์สัญญาประกันชีวิต – ในกรณีที่ผู้เอาประกันชีวิตระบุบุคคลภายนอกให้เป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ บุคคลนั้นจะได้รับสิทธิทันทีเมื่อแสดงเจตนา เช่น ผ่านการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรว่า “ยินดีรับผลประโยชน์จากกรมธรรม์” 2.คดีตามสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก – ยกตัวอย่างกรณีที่มีการตกลงให้ชำระหนี้แก่บุคคลภายนอก โดยผู้รับประโยชน์แสดงเจตนาแล้ว สิทธินั้นถือว่าเกิดขึ้นแล้ว แม้สัญญาจะเกี่ยวข้องกับคู่สัญญาหลักเท่านั้น
สรุปภาพรวมเชิงลึก •มาตรา 374 เป็นพื้นฐานหลักของ “สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก” โดยให้สิทธิแก่บุคคลภายนอกในการเรียกร้องผลประโยชน์ตามสัญญาได้ •แต่สิทธิดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะมี การแสดงเจตนา จากบุคคลภายนอกเอง •มาตรา 375 ปกป้องความมั่นคงของสิทธิดังกล่าวอย่างเด็ดขาด — เมื่อเกิดสิทธิแล้ว คู่สัญญาไม่มีอำนาจเปลี่ยนแปลง •หลักการนี้เสริมสร้างความมั่นใจแก่บุคคลภายนอก ซึ่งทำให้สัญญามีผลบังคับชัดเจนต่อบุคคลที่ถูกกำหนดเป็นผู้รับประโยชน์
🌐 English Summary Supreme Court Judgment No. 1366/2516 Summary: This judgment concerns a hire-purchase agreement where the deceased explicitly named a third-party beneficiary (his son) to receive the contractual rights upon his death. The Court ruled that this constituted a “stipulation for the benefit of a third person” under Section 374 of the Civil and Commercial Code. Once the beneficiary expressed intent to accept the benefit, the rights no longer formed part of the deceased’s estate. The Court reversed the lower rulings and dismissed the estate manager’s claim.
|