

สัญญานายหน้าและค่านายหน้า, กฎหมายลาภมิควรได้, การบอกเลิกสัญญานายหน้าโดยไม่สุจริต ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ • คำพิพากษาศาลฎีกา 822/2567 • กฎหมายลาภมิควรได้ • สัญญานายหน้าและค่านายหน้า • ข้อพิพาทสัญญานายหน้าขายที่ดิน • ค่าถมดินในสัญญานายหน้า • ป.พ.พ. มาตรา 406 และ 845 • การบอกเลิกสัญญานายหน้าโดยไม่สุจริต สรุปย่อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 822/2567 สรุปได้ดังนี้: จำเลยทำสัญญาให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินและกำหนดค่านายหน้า 3% หากจำเลยขายที่ดินได้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบอกเลิกสัญญาโดยไม่สุจริต ทำให้โจทก์เสียค่าใช้จ่ายในการปรับถมที่ดิน โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายรวมทั้งสิ้น 20,784,998.78 บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 206,360 บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลฎีกาพิจารณาแล้วว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้จำเลยชำระค่านายหน้า 81,360 บาทเกินกว่าคำขอของโจทก์นั้นขัดต่อกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายจากการปรับถมที่ดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 845 แต่เนื่องจากการปรับถมดินเป็นประโยชน์ต่อจำเลย ถือว่าจำเลยได้รับลาภมิควรได้ จำเลยต้องชดใช้เงิน 125,000 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่โจทก์เสียไป ศาลฎีกาพิพากษาแก้ให้ยกส่วนที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยชำระค่านายหน้า เหลือเพียงให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายในการถมดินจำนวน 125,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ *หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมีดังนี้: 1.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406: มาตรานี้ว่าด้วยหลักลาภมิควรได้ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่งได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินหรือผลประโยชน์โดยไม่มีมูลเหตุอันชอบด้วยกฎหมาย ผู้ที่ได้รับประโยชน์นั้นต้องคืนหรือชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ที่เสียเปรียบ กรณีนี้จำเลยได้รับประโยชน์จากการถมดินที่โจทก์ดำเนินการ โดยไม่มีเหตุอันควร จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายนั้นคืนแก่โจทก์ 2.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 845: มาตรานี้ว่าด้วยการไม่มีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายของนายหน้า นอกจากจะมีการตกลงไว้ล่วงหน้า หากนายหน้าดำเนินการใด ๆ ที่เกินจากหน้าที่ตามสัญญา โดยไม่มีการตกลงชัดเจน นายหน้าจะไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าใช้จ่ายนั้น กรณีนี้ โจทก์ทำการถมดินเพื่อจูงใจผู้ซื้อโดยไม่มีการระบุไว้ในสัญญา จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าใช้จ่ายในการถมดิน 3.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142: มาตรานี้ห้ามศาลพิพากษาเกินไปกว่าคำขอของคู่ความ ศาลจะต้องพิจารณาตามคำขอที่ยื่นต่อศาลเท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระค่านายหน้าที่เกินไปกว่าคำขอของโจทก์จึงถือว่าขัดต่อมาตรานี้ 4.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225: มาตรานี้กำหนดว่าฎีกาของคู่ความต้องยกประเด็นที่ได้กล่าวถึงในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์มาก่อน การฎีกาที่ไม่ได้มีการยกขึ้นในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์มาก่อน ถือเป็นการต้องห้าม 5.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246: มาตรานี้ว่าด้วยข้อห้ามไม่ให้ศาลพิจารณาเกินไปจากข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในคดี ศาลต้องพิจารณาเฉพาะข้อที่คู่ความได้โต้แย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ การพิจารณาที่เกินไปจากนี้ถือเป็นการต้องห้าม 6.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252: มาตรานี้ระบุว่าฎีกาจะต้องอยู่ในขอบเขตที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาไว้ การฎีกาในข้อที่ไม่เคยยกขึ้นมาก่อนในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ ถือว่าผิดเงื่อนไขตามมาตรานี้และศาลจะไม่รับวินิจฉัย การอธิบายเหล่านี้ช่วยให้เข้าใจว่าทำไมศาลฎีกาจึงพิจารณาคดีตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและตามกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 822/2567 จำเลยทำสัญญาให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินตกลงค่านายหน้าในอัตราร้อยละ 3 จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดได้ โจทก์ฟ้องตั้งรูปคดีว่าจำเลยใช้สิทธิบอกเลิกสัญญากับโจทก์โดยไม่สุจริตปราศจากมูลที่จะอ้างตามสัญญาหรือกฎหมายได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย มีคำขอให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์เป็นค่าใช้จ่ายในการปรับถมที่ดิน 125,000 บาท ค่าที่ดินเพิ่มขึ้นจากการปรับถมที่ดิน 14,355,099 บาท และค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ 5,000,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่า จำเลยขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อถือได้ว่าเป็นผลจากการที่โจทก์ได้ติดต่อให้ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อ พิพากษาให้จำเลยใช้ค่านายหน้าร้อยละ 3 ของราคาซื้อขายจำนวน 2,712,000 บาท เป็นเงิน 81,360 บาท เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้องหรือที่โจทก์มีคำขอบังคับ อันเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 246 โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยใช้ค่านายหน้าแก่โจทก์จากราคาที่ผู้ซื้อกับจำเลยทำการซื้อขายกันจริงจำนวน 6,000,000 บาท เป็นเงิน 180,000 บาท และที่จำเลยฎีกาว่าการซื้อขายที่ดินระหว่างผู้ซื้อกับจำเลยไม่ได้เป็นผลมาจากการชี้ช่องหรือจัดการให้ของโจทก์ จำเลยไม่ต้องใช้ค่านายหน้าแก่โจทก์ เป็นฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 เป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย *การที่โจทก์ปรับปรุงถมดินในที่ดินของจำเลยที่มีโจทก์เป็นนายหน้าเพื่อจูงใจให้มีผู้สนใจมาซื้อที่ดิน โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบถึงเรื่องนี้แล้วจำเลยไม่ได้คัดค้าน จึงถือได้ว่าโจทก์ทำการปรับถมดินในที่ดินของจำเลยโดยสุจริต แม้ค่าใช้จ่ายนี้โจทก์รับว่า ตามสัญญานายหน้าไม่มีการระบุเรื่องของการถมดินและค่าใช้จ่ายในการถมดิน ซึ่งทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 845 แต่ดินที่ถมดังกล่าวเป็นทรัพย์ที่ตกติดไปกับที่ดินที่จะซื้อจะขายกัน อันเป็นประโยชน์ในการขายต่อไป กรณีย่อมถือได้ว่าจำเลยได้มาซึ่งทรัพย์คือดินที่ถมนั้น โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และเป็นทางให้โจทก์นั้นเสียเปรียบ ลักษณะลาภมิควรได้ จำเลยจึงต้องคืนทรัพย์นั้นให้แก่โจทก์ แต่เมื่อสภาพทรัพย์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ตรึงตรากับที่ดินอย่างถาวร โดยสภาพย่อมไม่อาจคืนทรัพย์นั้นกันได้ จำเลยจึงต้องคืนโดยใช้ราคาทรัพย์นั้นแก่โจทก์ มิใช่ชดใช้ราคาค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นโดยใช้ดินในการถมประมาณ 97 ลูกบาศก์เมตร ถมดินสูงขึ้นมาจากพื้นดินประมาณ 30 เซนติเมตร ค่าใช้จ่ายในการปรับถมที่ดินจำนวน 125,000 บาท จำเลยไม่ได้แก้อุทธรณ์โจทก์หรือฎีกาโต้แย้งว่าไม่ถูกต้องอย่างไร กรณีจึงฟังได้ว่าโจทก์เสียค่าใช้จ่ายในการปรับถมที่ดินไป จำนวน 125,000 บาท อันถือเป็นราคาทรัพย์ที่จำเลยต้องชดใช้คืนแก่โจทก์
***โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 20,784,998.78 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 19,480,099 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ *จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง *ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ (ที่ถูก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ) *โจทก์อุทธรณ์ *ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 206,360 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 24 มกราคม 2563) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 วรรคสอง บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 8,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ *โจทก์และจำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา *ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2561 จำเลยทำสัญญาให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินของจำเลยตามโฉนดเลขที่ 2945, 25637, 25638, 25639 และ 25640 ซึ่งที่ดินทั้งห้าแปลงอยู่ติดต่อเป็นผืนเดียวกัน มีเนื้อที่รวมกันประมาณ 1 ไร่ 3 งาน 47 ตารางวา โดยมีข้อตกลงว่า ในกรณีที่จำเลยสามารถขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อเนื่องมาจากผลแห่งการที่โจทก์ได้ชี้ช่องหรือจัดการให้ได้ราคาไม่ต่ำกว่า 10,271,250 บาท จำเลยตกลงยินยอมจ่ายค่านายหน้าให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 3 สัญญานายหน้าให้ใช้บังคับได้เพียงวันที่ 9 มีนาคม 2562 และในกรณีที่โจทก์ยังไม่สามารถชี้ช่องหรือจัดการให้ผู้ซื้อมาทำการซื้อที่ดิน จำเลยมีสิทธิเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดได้ ตามหนังสือสัญญานายหน้าซื้อขายที่ดิน เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2562 จำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญานายหน้าไปยังโจทก์ ต่อมาวันที่ 24 กันยายน 2562 ที่ดินทั้งห้าแปลงของจำเลยได้รวมโฉนดเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 25637 เลขที่ 407 เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 3 งาน 44.8 ตารางวา ตามหนังสือสำนักงานที่ดิน 2 กับสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 2945 ที่แสดงรูปจำลองของที่ดินทั้งห้าแปลง แล้วแบ่งแยกใหม่เป็นที่ดิน 4 แปลง ตามที่ปรากฏรูปจำลองในสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 25637 ดังกล่าว หลังจากนั้นวันที่ 27 กันยายน 2562 มีนายนิคม จดทะเบียนซื้อที่ดินจากจำเลยตามโฉนดเลขที่ 200414 ซึ่งเป็นแปลงหนึ่งที่จำเลยได้ทำการแบ่งแยกใหม่ *พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยให้จำเลยใช้ค่านายหน้าแก่โจทก์ในกรณีที่โจทก์เป็นผู้ชี้ช่องหรือจัดการให้นายนิคมซื้อที่ดินจากจำเลยจนสำเร็จนั้น เป็นการวินิจฉัยและพิพากษาเกินไปกว่าคำขอของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องตั้งรูปคดีว่าจำเลยใช้สิทธิบอกเลิกสัญญากับโจทก์โดยไม่สุจริตปราศจากมูลที่จะอ้างตามสัญญาหรือกฎหมายได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงมีคำขอให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์เป็นค่าใช้จ่ายในการปรับถมที่ดิน 125,000 บาท ค่าที่ดินเพิ่มขึ้นจากการปรับถมที่ดิน 14,355,099 บาท และค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ 5,000,000 บาท ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่า การที่จำเลยขายที่ดินให้แก่นายนิคมถือได้ว่าเป็นผลจากการที่โจทก์ได้ติดต่อนายนิคมจนนายนิคมตัดสินใจซื้อ แล้วพิพากษาให้จำเลยใช้ค่านายหน้าร้อยละ 3 ของราคาซื้อขาย จำนวน 2,712,000 บาท เป็นเงิน 81,360 บาทนั้น จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้องหรือที่โจทก์มีคำขอบังคับ อันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 246 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น เมื่อเป็นดังนี้ ที่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยใช้ค่านายหน้าแก่โจทก์จากราคาที่นายนิคมกับจำเลยทำการซื้อขายกันจริงจำนวน 6,000,000 บาท เป็นเงิน 180,000 บาท และที่จำเลยฎีกาด้วยว่า การซื้อขายที่ดินระหว่างนายนิคมกับจำเลยไม่ได้เป็นผลมาจากการชี้ช่องหรือจัดการให้ของโจทก์แต่อย่างใด จำเลยไม่ต้องใช้ค่านายหน้าแก่โจทก์ นั้น จึงเป็นฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 ซึ่งเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย *คดีมีปัญหาวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์และจำเลยว่า โจทก์มีสิทธิได้รับการชดใช้จากจำเลยในค่าใช้จ่ายในการปรับถมที่ดินและค่าที่ดินเพิ่มขึ้นหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ข้อนำสืบของโจทก์ในการปรับปรุงถมดินในที่ดินของจำเลยที่มีโจทก์เป็นนายหน้าเพื่อจูงใจให้มีผู้สนใจมาซื้อที่ดิน ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบถึงเรื่องนี้แล้วจำเลยไม่ได้คัดค้าน จำเลยไม่ได้กล่าวในฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยนี้ จึงถือได้ว่าโจทก์ทำการปรับถมดินในที่ดินของจำเลยโดยสุจริต แม้ค่าใช้จ่ายนี้โจทก์จะเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยรับว่า ตามสัญญานายหน้าไม่มีการระบุเรื่องของการถมดินและค่าใช้จ่ายในการถมดิน ซึ่งทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 845 วรรคสอง ดังฎีกาของจำเลยก็ตาม แต่ดินที่ถมดังกล่าวเป็นทรัพย์ที่ตกติดไปกับที่ดินที่จะซื้อจะขายกัน อันเป็นประโยชน์ในการขายต่อไป กรณีย่อมถือได้ว่าจำเลยได้มาซึ่งทรัพย์คือดินที่ถมนั้น โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และเป็นทางให้โจทก์นั้นเสียเปรียบ ลักษณะลาภมิควรได้ จำเลยจึงต้องคืนทรัพย์นั้นให้แก่โจทก์ ที่จำเลยฎีกาว่า ทรัพย์ดังกล่าวไม่เป็นลาภมิควรได้ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยนั้น ไม่อาจรับฟังได้ แต่เมื่อสภาพทรัพย์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ตรึงตรากับที่ดินอย่างถาวร โดยสภาพย่อมไม่อาจคืนทรัพย์นั้นกันได้ จำเลยจึงต้องคืนโดยใช้ราคาทรัพย์นั้นแก่โจทก์ มิใช่ชดใช้ราคาค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นดั่งที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยซึ่งศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นราคาค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นอีกต่อไป คงพิจารณาเฉพาะราคาทรัพย์ที่จำเลยต้องชดใช้แก่โจทก์ ในข้อนี้ตามคำเบิกความของผู้รับจ้างโจทก์ทำการถมดินในที่ดินของจำเลย ปรากฏว่าใช้ดินในการถมประมาณ 97 ลูกบาศก์เมตร ถมดินสูงขึ้นมาจากพื้นดินประมาณ 30 เซนติเมตร ค่าใช้จ่ายในการปรับถมที่ดินจำนวน 125,000 บาท ซึ่งจำเลยไม่ได้แก้อุทธรณ์โจทก์หรือฎีกาโต้แย้งว่าไม่ถูกต้องอย่างไร กรณีจึงฟังได้ว่าโจทก์เสียค่าใช้จ่ายในการปรับถมที่ดินไปจำนวน 125,000 บาท อันถือเป็นราคาทรัพย์ที่จำเลยต้องชดใช้คืนแก่โจทก์ ซึ่งก็ตรงกับราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นจากการถมดินที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 กำหนดให้เป็นเงิน 125,000 บาท กรณีจึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยมาในเรื่องลาภมิควรได้แล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์และจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น *พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในส่วนที่ให้จำเลยใช้ค่านายหน้าแก่โจทก์ 81,360 บาท พร้อมดอกเบี้ย คงให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 125,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ตัวอย่างคำฟ้องคดีแพ่ง (ข้อพิพาทสัญญานายหน้า) ศาลที่ยื่นฟ้อง: ศาลจังหวัด... หมายเลขคดี: (หมายเลขคดี) โจทก์: (ชื่อ-นามสกุล โจทก์) จำเลย: (ชื่อ-นามสกุล จำเลย) คำฟ้อง ด้วยเมื่อวันที่ (ระบุวันที่ทำสัญญา) จำเลยได้ทำสัญญากับโจทก์ให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดิน เลขโฉนดที่ (ระบุเลขโฉนด) โดยมีข้อตกลงว่า หากจำเลยขายที่ดินได้สำเร็จโดยเป็นผลมาจากการที่โจทก์ได้ชี้ช่องหรือจัดการให้ จำเลยจะต้องชำระค่านายหน้าในอัตราร้อยละ (ระบุเปอร์เซ็นต์) ของราคาซื้อขายให้แก่โจทก์ แต่เมื่อวันที่ (ระบุวันที่บอกเลิกสัญญา) จำเลยได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์โดยไม่สุจริตและไม่มีมูลอันจะอ้างตามสัญญาหรือกฎหมายได้ ภายหลัง จำเลยได้ขายที่ดินดังกล่าวแก่ (ชื่อผู้ซื้อ) โดยการชี้ช่องและการดำเนินการที่โจทก์จัดให้ แต่จำเลยมิได้ชำระค่านายหน้าตามที่ตกลงไว้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406, มาตรา 845 ว่าด้วยลาภมิควรได้และสิทธิของนายหน้าในการเรียกค่านายหน้า
*คำขอท้ายคำฟ้อง 1.ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระค่านายหน้าจากราคาที่ขายที่ดินดังกล่าว เป็นเงินจำนวน (ระบุจำนวนเงิน) บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ (ระบุอัตราดอกเบี้ย) ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ 2.ขอให้จำเลยชดใช้ค่าใช้จ่ายในการปรับถมที่ดินจำนวน (ระบุจำนวนเงิน) บาท ซึ่งโจทก์ได้เสียไปเพื่อการขายที่ดิน พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ (ระบุอัตราดอกเบี้ย) ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ 3.ขอให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมศาลและค่าทนายความแทนโจทก์ ลงชื่อ (ชื่อ-ตำแหน่ง ทนายความ/ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์) *หมายเหตุ: คำฟ้องนี้เป็นตัวอย่างที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางให้นักศึกษากฎหมายและทนายความจบใหม่ในการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย ควรปรับปรุงรายละเอียดตามแต่ละกรณี. |