

หนังสือสัญญากู้เงินตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ หนังสือสัญญากู้เงินตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ • คำพิพากษาศาลฎีกา กู้ยืมเงิน • ประมวลรัษฎากร มาตรา 118 หลักกฎหมาย • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 คดีแพ่ง • ข้อกำหนดการปิดอากรแสตมป์ สัญญากู้ • การใช้เอกสารกู้ยืมเงินเป็นหลักฐาน • การฟ้องร้องสัญญากู้ยืมและอากรแสตมป์ สรุปคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1650/2567 โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกคืนเงินกู้จำนวน 200,000 บาทตามสัญญากู้เงิน แต่จำเลยอ้างว่าได้กู้เงินเพียง 50,000 บาท คิดดอกเบี้ย 10% ต่อเดือนและได้รับเงินสุทธิเพียง 45,000 บาท โดยอ้างว่าสัญญาที่โจทก์ใช้เป็นเอกสารปลอมและระบุจำนวนเงินเกินจริง ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กลับคำพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี โดยลดลงเหลือ 3% ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 จนกว่าจะชำระเสร็จ เมื่อคดีถึงชั้นศาลฎีกา ศาลฎีกาพิจารณาว่าสัญญากู้เงินที่โจทก์นำเสนอต่อศาลต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 เนื่องจากสัญญามีลักษณะเป็นตราสารเงิน แต่เนื่องจากไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ จึงไม่สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ จึงถือว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรที่ลงลายมือชื่อของจำเลย การฟ้องร้องจึงไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาจึงพิพากษายกฟ้องตามที่จำเลยต่อสู้คดี โดยให้ค่าฤชาธรรมเนียมของทุกศาลเป็นพับ อธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1. ประมวลรัษฎากร มาตรา 118 มาตรานี้กำหนดให้เอกสารที่เกี่ยวกับสัญญากู้ยืมเงิน เช่น หนังสือสัญญากู้ ต้องปิดอากรแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรท้ายประมวลรัษฎากร เพื่อให้เอกสารนั้นมีผลทางกฎหมายและสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ หากสัญญากู้ยืมไม่มีการปิดอากรแสตมป์ เอกสารดังกล่าวจะไม่สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ ซึ่งในคดีนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าหนังสือสัญญากู้เงินของโจทก์ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ จึงถือว่าไม่สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้ 2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง
มาตรานี้กำหนดว่าการฟ้องร้องเพื่อเรียกคืนเงินกู้ยืม จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือที่ลงลายมือชื่อของผู้กู้ยืมเป็นสำคัญ กล่าวคือ หากโจทก์ต้องการฟ้องร้องเพื่อเรียกคืนเงินกู้จากจำเลย โจทก์ต้องแสดงเอกสารสัญญากู้ที่ลงลายมือชื่อของจำเลยเพื่อเป็นหลักฐานในการกู้ยืม หากไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือหรือเอกสารที่ลงลายมือชื่อ ผู้ฟ้องจะไม่สามารถฟ้องร้องเพื่อบังคับคดีกับผู้กู้ได้ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินกู้ จำเลยให้การว่า จำเลยกู้เงินจากโจทก์ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน ศาลฎีกาเห็นว่าหนังสือสัญญากู้เงินระบุชื่อโจทก์และจำเลยเป็นคู่สัญญาและลงลายมือชื่อไว้ทั้งสองฝ่ายจึงมีลักษณะเป็นตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ แต่หนังสือสัญญากู้เงินที่โจทก์อ้างส่งไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ จึงไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ ถือว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินจึงฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินกู้จำนวน 200,000 บาท ตามหนังสือสัญญากู้เงิน จำเลยให้การว่า จำเลยกู้เงินจากโจทก์เพียง 50,000 บาท คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน หักดอกเบี้ยล่วงหน้า ได้รับเงินกู้เพียง 45,000 บาท สัญญากู้เงินโจทก์เขียนจำนวนเงินกู้ 200,000 บาท เป็นเอกสารปลอม ดังนี้ คำให้การของจำเลยเป็นคำให้การที่กล่าวอ้างว่าจำเลยกู้เงินจากโจทก์จริง แต่ได้รับเงินไม่ถึงจำนวนที่โจทก์เขียนระบุไว้ในสัญญา และกล่าวอ้างว่าสัญญากู้เงินเป็นเอกสารปลอม การที่จะฟังว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินดังกล่าวจากโจทก์หรือไม่ จึงต้องอาศัยหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวเป็นพยานหลักฐาน แม้จำเลยเบิกความตอบคำถามค้านของทนายโจทก์ว่าจำเลยเป็นผู้กรอกข้อความในหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าว สัญญากู้จึงไม่ใช่เอกสารปลอม ก็เป็นเรื่องในชั้นพิจารณาว่าข้อเท็จจริงในประเด็นที่จำเลยต่อสู้ไว้ฟังได้เพียงใด ไม่ใช่กรณีที่ไม่ต้องใช้หนังสือสัญญากู้เงินเป็นพยานหลักฐาน โจทก์จึงต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้กู้ยืมเป็นสำคัญมาเป็นพยานหลักฐาน หนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวเป็นต้นฉบับระบุชื่อโจทก์และจำเลยเป็นคู่สัญญาและลงลายมือชื่อไว้ทั้งสองฝ่ายจึงมีลักษณะเป็นตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้าย ป.รัษฎากร แต่หนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ จึงไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118 ถือว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จึงฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 291,791 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันทำสัญญา (วันที่ 1 เมษายน 2558) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกา แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2558 จำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินให้แก่โจทก์ไว้ มีข้อความว่าจำเลยกู้เงินของโจทก์ 200,000 บาท ได้รับเงินไปครบถ้วนเสร็จแล้วตั้งแต่วันทำสัญญานี้ จำเลยจะนำเงินมาชำระให้เสร็จภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2560 ตามหนังสือสัญญากู้เงิน เมื่อถึงกำหนดชำระเงิน จำเลยไม่ชำระ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงประการเดียวว่า หนังสือสัญญากู้เงินที่โจทก์อ้างส่งศาลเป็นเอกสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์และใช้เป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินกู้จำนวน 200,000 บาท ตามหนังสือสัญญากู้เงิน จำเลยให้การว่าจำเลยกู้เงินจากโจทก์เพียง 50,000 บาท คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน หักดอกเบี้ยล่วงหน้า ได้รับเงินกู้เพียง 45,000 บาท สัญญากู้เงินโจทก์เขียนจำนวนเงินกู้ 200,000 บาท เป็นเอกสารปลอม ดังนี้ คำให้การของจำเลยเป็นคำให้การที่กล่าวอ้างว่าจำเลยกู้เงินจากโจทก์จริง แต่ได้รับเงินไม่ถึงจำนวนที่โจทก์เขียนระบุไว้ในสัญญา และกล่าวอ้างว่าสัญญากู้เงินเป็นเอกสารปลอม การที่จะฟังว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินดังกล่าวจากโจทก์หรือไม่ จึงต้องอาศัยหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวเป็นพยานหลักฐาน แม้จำเลยเบิกความตอบคำถามค้านของทนายโจทก์ว่าจำเลยเป็นผู้กรอกข้อความในหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าว สัญญากู้จึงไม่ใช่เอกสารปลอม ก็เป็นเรื่องในชั้นพิจารณาว่าข้อเท็จจริงในประเด็นที่จำเลยต่อสู้ไว้ฟังได้เพียงใด ไม่ใช่กรณีที่ไม่ต้องใช้หนังสือสัญญากู้เงินเป็นพยานหลักฐาน โจทก์จึงต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้กู้ยืมเป็นสำคัญมาเป็นพยานหลักฐาน หนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวเป็นต้นฉบับระบุชื่อโจทก์และจำเลยเป็นคู่สัญญาและลงลายมือชื่อไว้ทั้งสองฝ่ายจึงมีลักษณะเป็นตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ 1 บาท ต่อทุกจำนวนเงิน 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท แห่งยอดเงินที่กู้ยืม ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร แต่หนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ จึงไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ถือว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จึงฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1650-2567) |