ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




สิทธิทายาท, สละมรดกผู้เยาว์, เพิกถอนโอนที่ดิน(ฎีกา 1649/2567)

คำพิพากษาศาลฎีกา 1649/2567, การสละมรดกของผู้เยาว์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1574, สิทธิทายาทเยาว์ในคดีมรดก, ผู้จัดการมรดกไม่มีอำนาจจำหน่ายทรัพย์เพื่อประโยชน์ตนเอง, การเพิกถอนสัญญาขายอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 1300, สิทธิในทรัพย์มรดกและกรรมสิทธิ์รวมมาตรา 1361, การจัดการทรัพย์รวมโดยไม่ยินยอมทุกฝ่าย, การจำนองอสังหาริมทรัพย์ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของร่วม, บทวิเคราะห์ฎีกาคดีโอนที่ดินเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิด, การคุ้มครองผู้เยาว์ในกฎหมายแพ่ง, แนวคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับการสละมรดกผู้เยาว์, กรณีศึกษาเพิกถอนโอนที่ดินมรดก, สิทธิเรียกค่าเสียหายของทายาทร่วม, คดีมรดกซับซ้อนเกี่ยวกับการโอนทรัพย์

 ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิทธิของทายาทผู้เยาว์ในทรัพย์มรดก และขอบเขตอำนาจของผู้ใช้อำนาจปกครองและผู้จัดการมรดก โดยศาลวินิจฉัยว่าการสละมรดกของผู้เยาว์ต้องได้รับอนุญาตจากศาลตาม ป.พ.พ. มาตรา 1574 หากไม่ปฏิบัติจะไม่มีผลผูกพันผู้เยาว์ รวมทั้งชี้ว่าผู้จัดการมรดกไม่มีสิทธิจำหน่ายทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือเพื่อแลกกับผลทางคดีอาญา กรณีโอนที่ดินมรดกโดยมิชอบจึงต้องเพิกถอนเฉพาะส่วนของผู้ตายตามมาตรา 1300 และกรณีให้เช่าทรัพย์มรดกที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของร่วมทุกคนตามมาตรา 1361 ทายาทสามารถเรียกค่าเสียหายได้จนกว่าจะแบ่งมรดกหรือไถ่ถอนจำนองเสร็จ

✅ สรุปข้อเท็จจริง

ในคดีนี้ ผู้ตายมีที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสกับภริยา (จำเลยที่ 2) เมื่อนายชาลีถึงแก่กรรม ลูกทั้งสามคน (โจทก์ทั้งสาม) เป็นผู้เยาว์ อยู่ในความปกครองของมารดา มารดาได้ทำบันทึกข้อตกลงสละมรดกแทนลูกในชั้นบังคับคดี โดยไม่รับอนุญาตจากศาล ต่อมาผู้จัดการมรดกคือจำเลยที่ 2 ขายที่ดินให้จำเลยที่ 3 (ลูกอีกคน) และจำเลยที่ 3 โอนต่อให้จำเลยที่ 1 เพื่อนำไปจำนองเพื่อใช้ชำระหนี้คดีอาญาของจำเลยที่ 2

ศาลพบว่าโอนเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ไม่ใช่เพื่อกองมรดก ทายาทจึงฟ้องเพิกถอนการโอนที่ดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 ศาลฎีกาวินิจฉัยให้เพิกถอนเฉพาะส่วนของผู้ตายครึ่งหนึ่ง และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายรายเดือนจนกว่าจะไถ่ถอนจำนองหรือแบ่งมรดก

ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้อยู่ที่การตีความและบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับ “สิทธิของผู้เยาว์ในทรัพย์มรดก” และ “อำนาจของผู้จัดการมรดก” โดยอาศัยหลักตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นหลัก ซึ่งมาตราที่เป็นหัวใจของคดีนี้ คือ มาตรา 1574, 1300, 1719, 1361 และ 1600

“สาระสำคัญของคดีนี้

1. ผู้เยาว์สละมรดกต้องได้รับอนุญาตศาลก่อน (มาตรา 1574)

ประเด็นหลักของคดีอยู่ที่มารดาทำบันทึกสละมรดกแทนลูกซึ่งเป็นผู้เยาว์ โดยไม่ขออนุญาตศาล ศาลวินิจฉัยว่านิติกรรมนี้ไม่มีผลผูกพันผู้เยาว์ จึงไม่ใช่การสละมรดกที่ชอบด้วยกฎหมาย

2. ผู้จัดการมรดกต้องจัดการเพื่อประโยชน์ของกองมรดกและทายาท (มาตรา 1719 และ 1723)

จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกโอนที่ดินเพื่อประโยชน์ส่วนตน (เพื่อให้ตนหลุดจากคดีอาญา) การกระทำดังกล่าวไม่ใช่เพื่อประโยชน์กองมรดก และเป็นการใช้อำนาจในทางที่มิชอบ

3. ทายาทมีสิทธิขอเพิกถอนการโอนทรัพย์มรดกที่ทำโดยมิชอบ (มาตรา 1300)

เมื่อมีการโอนทรัพย์โดยไม่ชอบและไม่ใช่เพื่อประโยชน์กองมรดก ทายาทมีสิทธิฟ้องเพิกถอนเฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายได้ตามกฎหมาย

4. การจัดการทรัพย์ร่วมต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน (มาตรา 1361)

จำเลยที่ 1 นำทรัพย์มรดกบางส่วนให้เช่า ซึ่งเป็นการทำให้เกิดภาระติดพันแก่กรรมสิทธิ์รวม ต้องได้รับยินยอมจากทายาททุกคน เมื่อไม่ได้รับยินยอม ทายาทมีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้

5. ค่าเสียหายจากการใช้ทรัพย์มรดกต้องนำเข้าเป็นกองมรดก (มาตรา 1600)

ค่าเสียหายที่เรียกจากจำเลยไม่ใช่เป็นของโจทก์แต่ละคนทันที แต่ต้องเข้ากองมรดกก่อน แล้วแบ่งเมื่อถึงเวลาแบ่งมรดก เพื่อความเป็นธรรมแก่ทายาททุกคน

✅ ประเด็นกฎหมายสำคัญ

1) สละมรดกของผู้เยาว์ต้องได้รับอนุญาตศาลก่อน

อ้างอิง: ป.พ.พ. มาตรา 1574 (2)(4)

หากไม่ปฏิบัติ นิติกรรมเป็นโมฆะสำหรับผู้เยาว์

2) ผู้จัดการมรดกต้องทำเพื่อตัวกองมรดก

อ้างอิง: ป.พ.พ. มาตรา 1719, 1723, 1724

หากจัดการเพื่อประโยชน์ส่วนตน ทายาทขอเพิกถอนได้

3) เพิกถอนสัญญาซื้อขายมรดก

อ้างอิง: ป.พ.พ. มาตรา 1300

เพิกถอนเฉพาะส่วนทรัพย์มรดก ไม่กระทบส่วนจำเลย

4) กรรมสิทธิ์รวมในมรดก

อ้างอิง: ป.พ.พ. มาตรา 1361

ให้เช่าบ้านติดที่ดินมรดกต้องได้รับยินยอมจากทายาททุกคน

5) ค่าเสียหายต่อเนื่อง

อ้างอิง: ป.พ.พ. มาตรา 1600

เข้ากองมรดกจนกว่าจะแบ่งมรดกหรือไถ่จำนอง

✅ วิเคราะห์กฎหมาย 

คำพิพากษานี้เป็นตัวอย่างชัดเจนของการคุ้มครองสิทธิเด็กในทรัพย์มรดกและการกำกับพฤติกรรมของผู้จัดการมรดก ศาลยืนยันว่ามารดาไม่อาจสละมรดกแทนลูกโดยไม่ขอศาล เมื่อไม่มีการสละมรดก ลูกยังเป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์มรดก ผู้จัดการมรดกจึงต้องรักษาทรัพย์เพื่อกองมรดกและทายาททุกคน การโอนทรัพย์เพื่อให้ตนหลุดพ้นคดีอาญาจึงเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ และสามารถเพิกถอนได้

✅ IRAC (แบบขยายเต็ม)

Issue (ประเด็น)

ผู้เยาว์สละมรดกได้หรือไม่หากไม่ได้รับอนุญาตศาล และเมื่อผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์เพื่อประโยชน์ตนเอง ทายาทมีสิทธิฟ้องเพิกถอนได้เพียงใด

Rule (กฎหมาย)

ป.พ.พ. มาตรา 1574 นิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินผู้เยาว์ต้องได้รับอนุญาตศาล

มาตรา 1719, 1723, 1724 ผู้จัดการมรดกต้องทำเพื่อประโยชน์กองมรดก

มาตรา 1300 สิทธิทายาทเพิกถอนนิติกรรมที่ละเมิดกองมรดก

มาตรา 1361 ให้เช่าทรัพย์รวมต้องยินยอมทุกฝ่าย

Application (การประยุกต์ข้อเท็จจริง)

มารดาสละมรดกแทนลูกในชั้นบังคับคดีโดยไม่ขอศาล นิติกรรมจึงไม่ผูกพันเด็ก ผู้จัดการมรดกโอนที่ดินเพื่อให้หลุดคดีอาญา ไม่ใช่เพื่อแบ่งมรดก จึงเพิกถอนได้เฉพาะส่วนของผู้ตาย และให้ค่าเสียหายจนกว่าจะไถ่จำนองหรือแบ่งมรดก

Conclusion (บทสรุป)

นิติกรรมสละมรดกไม่ผูกพันโจทก์ การโอนที่ดินผิดวัตถุประสงค์ทางมรดก เพิกถอนได้เฉพาะส่วนมรดก และโจทก์มีสิทธิรับค่าเสียหายต่อเนื่อง

✅ ข้อคิดทางกฎหมาย

คดีนี้ตอกย้ำหลักสำคัญว่า

สิทธิของผู้เยาว์ในมรดกได้รับความคุ้มครองสูงสุด

ผู้จัดการมรดกต้องทำเพื่อกองมรดก ไม่ใช่เพื่อหลีกเลี่ยงคดีของตน

นิติกรรมที่กระทบสิทธิเจ้าของร่วมโดยไม่ได้ยินยอมเพิกถอนได้

ค่าผลประโยชน์ที่ได้จากการใช้ทรัพย์มรดกต้องส่งคืนกองมรดกจนกว่าจะจัดแบ่งเสร็จ

แนวคำถาม - ธงคำตอบ

คำถามที่ 1

เมื่อมารดาของโจทก์ทั้งสามทำบันทึกข้อตกลงสละมรดกแทนผู้เยาว์ในระหว่างชั้นบังคับคดี โดยอ้างว่าต้องการยุติข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินมรดกของผู้ตาย ทั้งที่ตนเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองในขณะนั้น แต่ไม่ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาลตามกฎหมาย ผู้เยาว์ยังมีสิทธิถือครองมรดกอยู่หรือไม่ และบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมีผลผูกพันโจทก์ทั้งสามหรือไม่

คำตอบ

กรณีนี้มารดาของโจทก์ทั้งสามในฐานะผู้ใช้อำนาจปกครองได้ทำบันทึกข้อตกลงสละสิทธิในมรดกแทนโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นผู้เยาว์ในขณะนั้น โดยมิได้ยื่นคำร้องขออนุญาตศาลตามที่กฎหมายกำหนด การกระทำดังกล่าวถูกตีความว่าเป็นการ "จำหน่ายสิทธิในทรัพย์ของผู้เยาว์" อันเข้าลักษณะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 (2) และ (4) ซึ่งบัญญัติให้การกระทำเกี่ยวกับทรัพย์สินสำคัญของผู้เยาว์ เช่น การสละมรดก ต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน หากไม่ได้รับการอนุญาต นิติกรรมดังกล่าวย่อมไม่มีผลผูกพันผู้เยาว์ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่า บันทึกข้อตกลงการสละมรดกดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสาม และถือว่าโจทก์ทั้งสามยังคงมีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตายอย่างสมบูรณ์ สามารถดำเนินคดีเพื่อเรียกร้องสิทธิในที่ดินพิพาทได้

คำถามที่ 2

เมื่อผู้จัดการมรดกใช้ตำแหน่งโอนทรัพย์มรดกให้แก่บุคคลอื่นเพื่อให้ตนได้รับประโยชน์จากการให้ผู้อื่นถอนฟ้องคดีอาญา มิใช่เพื่อประโยชน์แก่กองมรดกและทายาททุกคน ผู้จัดการมรดกมีสิทธิทำเช่นนั้นหรือไม่ และทายาทสามารถฟ้องเพิกถอนการโอนดังกล่าวได้หรือไม่เพียงใด

คำตอบ

ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกได้ใช้ตำแหน่งโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 และต่อมาโอนให้จำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 2 ได้รับประโยชน์ในคดีอาญาที่ตนถูกกล่าวหา ไม่ใช่เพื่อประโยชน์แก่กองมรดกหรือทายาทคนอื่น การโอนดังกล่าวจึงเป็นการใช้อำนาจในทางที่มิชอบ ผิดจากหน้าที่ผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 และมาตรา 1723 ที่กำหนดให้ผู้จัดการมรดกต้องจัดการเพื่อประโยชน์ของกองมรดกและทายาทเท่านั้น ศาลจึงถือว่าการโอนที่ดินดังกล่าวอาจเพิกถอนได้ตามมาตรา 1300 โดยเพิกถอนได้เฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายครึ่งหนึ่ง ส่วนส่วนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสินสมรสไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนได้ ทายาทจึงมีอำนาจฟ้องเพิกถอนสัญญาขายและโอนที่ดินดังกล่าวเฉพาะสัดส่วนมรดกของผู้ตายเท่านั้น

คำถามที่ 3

ในกรณีที่จำเลยที่ 1 ซึ่งรับโอนที่ดินบางส่วนและเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์มรดก ได้นำบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินพิพาทให้บุคคลอื่นเช่า ทั้งที่ทายาทคนอื่นไม่ยินยอม ทายาทมีสิทธิเรียกค่าเสียหายหรือไม่ การให้เช่าดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และค่าเสียหายต้องจัดการอย่างไร

คำตอบ

เมื่อจำเลยที่ 1 รับโอนที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 จึงเป็นเจ้าของรวมกับโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาทผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เกี่ยวกับทรัพย์ส่วนรวม แม้เจ้าของรวมคนหนึ่งจะจัดการรักษาทรัพย์ตามปกติได้ตามมาตรา 1358 แต่การให้เช่าบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินเช่นนี้ถือเป็นการทำให้เกิดภาระติดพันแก่ที่ดินร่วม ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคนตามมาตรา 1361 วรรคสอง เมื่อโจทก์ทั้งสามแสดงเจตนาไม่ยินยอม การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงขัดต่อสิทธิของเจ้าของรวมคนอื่นตามมาตรา 1360 วรรคหนึ่ง ทายาทจึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายตามกฎหมาย และเนื่องจากทรัพย์ยังไม่ได้แบ่งมรดก ค่าเสียหายที่ได้รับต้องนำเข้ากองมรดกของผู้ตายตามมาตรา 1600 และให้จำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้เป็นรายเดือนจนกว่าจะมีการแบ่งมรดกหรือไถ่ถอนจำนองเสร็จสิ้น


ป.พ.พ. มาตรา 1574 “นิติกรรมใดอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ดังต่อไปนี้ ผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำมิได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาต (1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้ (2) กระทำให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งทรัพยสิทธิของผู้เยาว์อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ (3) ก่อตั้งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอื่นใดในอสังหาริมทรัพย์ (4) โอนหรือเลิกสิทธิเรียกร้องที่จะได้มาซึ่งทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์หรือในสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้ หรือสิทธิเรียกร้องที่จะให้ทรัพย์สินเช่นนั้นปลอดจากทรัพยสิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินนั้น …” ป.พ.พ. มาตรา 1300 “ถ้าได้จดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสียเปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนนั้นได้ แต่การโอนอันมีค่าตอบแทนซึ่งผู้รับโอนกระทำการโดยสุจริตนั้น ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ท่านว่าจะเรียกให้เพิกถอนทะเบียนไม่ได้” ป.พ.พ. มาตรา 1358 “ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าของรวมมีสิทธิจัดการทรัพย์สินรวมกัน ในเรื่องจัดการตามธรรมดา ท่านว่าพึงตกลงโดยคะแนนข้างมากแห่งเจ้าของรวม แต่เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ อาจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในทางจัดการตามธรรมดาได้ เว้นแต่ฝ่ายข้างมากได้ตกลงไว้เป็นอย่างอื่น แต่เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ อาจทำการเพื่อรักษาทรัพย์สินได้เสมอ” ป.พ.พ. มาตรา 1360 “เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ มีสิทธิใช้ทรัพย์สินได้ แต่การใช้นั้นต้องไม่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่น ๆ วรรคสอง ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ มีสิทธิได้ดอกผลตามส่วนของตนที่มีในทรัพย์สินนั้น” ป.พ.พ. มาตรา 1361 “เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ จะจำหน่ายส่วนของตน หรือจำนอง หรือก่อให้เกิดภาระติดพันก็ได้ แต่ตัวทรัพย์สินนั้นจะจำหน่าย จำนำ จำนอง หรือก่อให้เกิดภาระติดพันได้ก็แต่ด้วยความยินยอมแห่งเจ้าของรวมทุกคน” ป.พ.พ. มาตรา 1600 “ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ กองมรดกของผู้ตายได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้” ป.พ.พ. มาตรา 1719 “ผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่ที่จะทำการอันจำเป็น เพื่อให้การเป็นไปตามคำสั่งแจ้งชัดหรือโดยปริยายแห่งพินัยกรรม และเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป หรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก”

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1649/2567

ป.พ.พ. มาตรา 1566 และมาตรา 1574 ให้อำนาจผู้ใช้อำนาจปกครองทำนิติกรรมใด ๆ อันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ได้เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทผู้ใช้อำนาจปกครองต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนจึงจะทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์ได้ การสละมรดกของผู้เยาว์เป็นการกระทำให้สิ้นสุดลงทั้งหมดซึ่งทรัพยสิทธิของผู้เยาว์อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และเป็นการจำหน่ายไปทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งสิทธิเรียกร้องที่จะได้มาซึ่งทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้หรือสิทธิเรียกร้องที่จะให้ทรัพย์สินเช่นว่านั้นของผู้เยาว์ปลอดจากทรัพยสิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินนั้น การที่โจทก์ทั้งสามสละมรดกที่ดินพิพาทโดย ส. มารดาผู้ใช้อำนาจปกครองของโจทก์ทั้งสามทำบันทึกตกลงสละมรดกของผู้ตายไว้เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2547 ขณะที่โจทก์ทั้งสามเป็นผู้เยาว์ ส. จึงต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนทำบันทึกข้อตกลง ตามมาตรา 1574 (2) (4) ไม่ปรากฏว่า ส. ได้รับอนุญาตจากศาลให้ทำบันทึกข้อตกลงแต่อย่างใด บันทึกข้อตกลงที่ ส. ทำไว้ไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสามไม่เป็นการสละมรดกที่ดินพิพาท

ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้ตาย เมื่อโจทก์ทั้งสามไม่ได้สละมรดก ดังนั้นจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 เพื่อให้จำเลยที่ 3 นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองเป็นหลักประกันการกู้เงินจากธนาคาร ก. แล้วนำเงินที่ได้จากการกู้ยืมมาเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 ยังได้ความว่า จำเลยที่ 2 มอบเงินให้จำเลยที่ 3 ไปไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทแล้วจำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งการให้จำเลยที่ 3 โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ว่า จำเลยที่ 2 ยังคงมีอำนาจสั่งการให้จำเลยที่ 3 จัดการเกี่ยวกับที่ดินพิพาทได้ตามความต้องการ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นเพียงตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในการถือที่ดินพิพาทไว้แทน ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของผู้ตายจึงยังเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย

การที่จำเลยที่ 2 สั่งให้จำเลยที่ 3 โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 2 กับ ป. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยมีข้อความตอนหนึ่งให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่ ป. หรือแก่บุคคลที่ ป. กำหนด โดยทายาทคนอื่นไม่รู้เห็นยินยอมด้วย และทำไปเพื่อต้องการให้ ป. ไปถอนฟ้องคดีอาญาจำเลยที่ 2 ข้อหายักยอก เป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 ไม่ใช่การจัดการทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกและทายาท เพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิที่จะกระทำให้มีผลผูกพันทรัพย์มรดกได้ คงมีผลผูกพันที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 เท่านั้น ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของผู้ตายยังเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย โจทก์ทั้งสามมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2548 ระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และเพิกถอนสัญญาขายที่ดินพิพาท พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ได้เฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 โดยปลอดจากภาระจำนองที่ดินทั้งแปลง เพราะการจำนองที่ดินพิพาทต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1361 วรรคสอง

โจทก์ทั้งสามเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 โดยยึดโยงจากการที่จำเลยที่ 1 ให้บุคคลอื่นเช่าบ้านเลขที่ 262/1 อยู่บนที่ดินพิพาท ขณะฟ้องไม่ปรากฏว่าสัญญาเช่าเลิกกันแต่อย่างใด เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรวมที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ทำสัญญาขายที่ดินพิพาท ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ก่อนจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่า การที่จำเลยที่ 1 นำบ้านดังกล่าวออกให้บุคคลอื่นเช่า เป็นการจัดการทรัพย์สินตามธรรมดาเพื่อรักษาทรัพย์สินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1358 วรรคสอง ซึ่งเจ้าของรวมคนใดคนหนึ่งมีสิทธิจัดการได้เสมอโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมคนอื่นก่อน แต่การที่จำเลยที่ 1 ให้เช่าบ้านเลขที่ 262/1 บนที่ดินพิพาทเป็นก่อให้เกิดภาระติดพันบ้านเลขที่ 262/1 บนที่ดินพิพาท ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1361 วรรคสอง ฟ้องโจทก์ทั้งสามแสดงออกชัดว่า ไม่ยินยอม การให้เช่าบ้านเลขที่ 262/1 บนที่ดินพิพาทจึงขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่น ๆ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1360 วรรคหนึ่ง โจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกที่ดินพิพาทเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทของผู้ตาย จึงเป็นผู้เสียหายชอบที่จะใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดในส่วนของผู้ตายเพื่อประโยชน์แก่เจ้าของรวมทุกคน เรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ได้ ส่วนระยะเวลาการชดใช้ค่าเสียหายนั้นให้นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปตลอดระยะเวลาที่มีการเช่าบ้านเลขที่ 262/1 หรือจนกว่าจะมีการแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินพิพาท หรือจนกว่าจะไถ่ถอนจำนองเสร็จสิ้น แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 กำหนดระยะเวลาให้ถึงวันที่จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5), 246 และ 252

โจทก์ทั้งสามฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 8026 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 และฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2548 ให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 พร้อมบ้านเลขที่ 262/1 หากไม่ดำเนินการขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง จากธนาคาร ซ. เป็นเงิน 6,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยที่ 1 หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 6,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป และหากจำเลยทั้งสามไม่สามารถดำเนินการเพิกถอนการขายและโอนที่ดินได้ก็ให้จำเลยทั้งสามชำระเงิน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 40,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม กับให้กำจัดจำเลยทั้งสามมิให้มีสิทธิรับมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง

จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสาม กับให้โจทก์ทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท

โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีโดยวินิจฉัยปัญหาอื่นที่ยังไม่ได้วินิจฉัย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา และได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลบางส่วน โดยให้เสียค่าขึ้นศาลจำนวน 30,000 บาท

ศาลฎีกาพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 8026 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2548 ระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 8026 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสามในที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 พร้อมบ้านเลขที่ 262/1 ในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายชาลี หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม กับให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง จากธนาคาร ซ. ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยที่ 1 หากไม่ไถ่ถอนจำนองให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 6,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 กรกฎาคม 2559) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามเดือนละ 40,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะไถ่ถอนจำนองเสร็จสิ้น และให้กำจัดจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิให้มีสิทธิรับมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ทั้งสามได้รับยกเว้นแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลบางส่วน โดยให้เสียค่าขึ้นศาลคนละจำนวน 20,000 บาท

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสามในที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 พร้อมบ้านเลขที่ 262/1 คนละ 1 ใน 12 ส่วน ของครึ่งหนึ่งแห่งทรัพย์สินดังกล่าว หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสาม เดือนละ 5,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 กรกฎาคม 2559) จนกว่าจะไถ่ถอนจำนองเสร็จสิ้น หากจำเลยที่ 1 ไม่ไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง จากธนาคาร ซ. ให้โจทก์ทั้งสามไถ่ถอนได้เอง โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ยกคำขอที่ขอให้กำจัดจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิให้มีสิทธิรับมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่เสียเกินมาคนละ 15,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

โจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา โดยโจทก์ทั้งสามได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ส่วนจำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลบางส่วน โดยให้เสียค่าขึ้นศาลจำนวน 20,000 บาท

ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องขอถอนฎีกา ศาลฎีกาอนุญาต จำหน่ายคดีโจทก์ทั้งสามออกจากสารบบความศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติว่า โจทก์ทั้งสามบุตรเป็นของนายชาลี กับนางแสงอรุณ โจทก์ทั้งสามเป็นทายาทโดยธรรมของนายชาลี จำเลยที่ 1 และนายชาลีเป็นบุตรของนายประยูร กับนางสุดใจ จำเลยที่ 2 เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของนายชาลี มีบุตรด้วยกัน 6 คน จำเลยที่ 3 เป็นบุตรคนหนึ่งของบุคคลทั้งสอง จำเลยที่ 1 เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายชาลี นายชาลีถึงแก่ความตายวันที่ 25 กรกฎาคม 2544 ขณะถึงแก่ความตายที่ดินพิพาทโฉนดตราจองเลขที่ 8026 พร้อมบ้านเลขที่ 262/1 ปลูกอยู่บนที่ดินแปลงนี้ เป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 2 กับนายชาลี จึงตกเป็นทรัพย์มรดกเฉพาะส่วนของนายชาลี ต่อมาที่ดินแปลงนี้มีการขอออกโฉนดเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 วันที่ 20 พฤศจิกายน 2544 ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ตามคำสั่งคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1109/2544 หมายเลขแดงที่ 1484/2544 ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกฟ้องนางแสงอรุณเรียกทรัพย์มรดกของผู้ตายซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทในคดีนี้ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 153/2545 หมายเลขแดงที่ 1448/2546 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสของจำเลยที่ 2 กับผู้ตาย เป็นทรัพย์มรดกให้ขับไล่นางแสงอรุณออกจากบ้านเลขที่ 262/1 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 และศาลฎีกาพิพากษายืนในประเด็นดังกล่าว ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ในคดีดังกล่าว และคดีอยู่ในชั้นบังคับคดี วันที่ 17 สิงหาคม 2547 นางแสงอรุณในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้ใช้อำนาจปกครองของโจทก์ทั้งสามทำบันทึกข้อตกลงในชั้นบังคับคดี ตามบันทึกข้อตกลง ต่อมาจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องในคดีดังกล่าวอ้างว่า นางแสงอรุณผิดข้อตกลง ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ยกอุทธรณ์ของนางแสงอรุณ และเพิกถอนคำสั่งทุเลาการบังคับคดี ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า บันทึกข้อตกลงดังกล่าวมิใช่คำพิพากษาตามยอม ไม่มีผลผูกพันคู่ความ ตามคำสั่งวันที่ 27 พฤษภาคม 2548 นายประยูรยื่นคำร้องขอถอนจำเลยที่ 2 ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1109/2544 หมายเลขแดงที่ 1484/2544 ของศาลชั้นต้น วันที่ 9 มิถุนายน 2548 จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายขายที่ดินพิพาทโฉนดตราจองเลขที่ 8026 ให้แก่จำเลยที่ 3 ในวันเดียวกันนั้นจำเลยที่ 3 จดทะเบียนจำนองต่อธนาคาร ก. วันที่ 10 สิงหาคม 2548 จำเลยที่ 2 กับนายประยูรทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีที่นายประยูร ยื่นคำร้องขอถอนจำเลยที่ 2 ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ตามสัญญาประนีประนอมยอม วันที่ 15 สิงหาคม 2548 จำเลยที่ 3 ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทจากธนาคาร ก. วันที่ 1 ธันวาคม 2548 จำเลยที่ 3 ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 นำโฉนดตราจองที่ดินพิพาทขอออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 190849 วันที่ 29 พฤษภาคม 2549 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถอนจำเลยที่ 2 ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้วตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1109/2544 หมายเลขแดงที่ 1484/2544 ของศาลชั้นต้น ตามคำสั่ง วันที่ 26 ธันวาคม 2549 พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นจำเลยในข้อหาเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งศาล (ผู้จัดการมรดกของผู้ตาย) ยักยอกทรัพย์มรดกของผู้ตาย วันที่ 12 พฤศจิกายน 2550 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 354 ตามคำฟ้องและคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1544/2549 หมายเลขแดงที่ 1492/2550 ของศาลชั้นต้น วันที่ 16 ตุลาคม 2550 นายประยูรถึงแก่ความตาย วันที่ 13 มีนาคม 2551 ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายประยูร วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 จำเลยที่ 1 จำนองที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 190849 ไว้ต่อธนาคาร ซ. ยกคำขอกำจัดจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิให้รับมรดกของผู้ตาย โจทก์ทั้งสามมิได้ฎีกา จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6

ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ฎีกามีว่า โจทก์ทั้งสามมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 ผู้ขายกับจำเลยที่ 3 ผู้ซื้อ ฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2548 และสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 3 ผู้ขายกับจำเลยที่ 1 ผู้ซื้อ ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 หรือไม่ และจำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ข้อที่จำเลยที่ 1 ฎีกาในทำนองว่า โจทก์ทั้งสามสละมรดกที่ดินพิพาทโดยนางแสงอรุณมารดาผู้ใช้อำนาจปกครองของโจทก์ทั้งสามทำบันทึกตกลงสละมรดกของผู้ตายไว้เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2547 ขณะนางแสงอรุณทำบันทึกฉบับนี้โจทก์ทั้งสามเป็นผู้เยาว์อยู่ในอำนาจปกครองของนางแสงอรุณมารดาโจทก์ทั้งสามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566 และมาตรา 1574 ให้อำนาจผู้ใช้อำนาจปกครองทำนิติกรรมใด ๆ อันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ได้เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทผู้ใช้อำนาจปกครองต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนจึงจะทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์ได้ การสละมรดกของผู้เยาว์เป็นการกระทำให้สิ้นสุดลงทั้งหมดซึ่งทรัพยสิทธิของผู้เยาว์อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และเป็นการจำหน่ายไปทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งสิทธิเรียกร้องที่จะได้มาซึ่งทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้หรือสิทธิเรียกร้องที่จะให้ทรัพยสินเช่นว่านั้นของผู้เยาว์ปลอดจากทรัพยสิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินนั้น นางแสงอรุณจึงต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนทำบันทึกข้อตกลง ทั้งนี้ตามที่กำหนดไว้ใน มาตรา 1574 (2) (4) ไม่ปรากฏว่า นางแสงอรุณได้รับอนุญาตจากศาลให้ทำบันทึก ข้อตกลงแต่อย่างใด บันทึกข้อตกลง ที่นางแสงอรุณทำไว้ไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสามไม่เป็นการสละมรดกที่ดินพิพาท ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาว่าโจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์ทั้งสามไม่ได้สละมรดก ดังนั้น จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย เป็นตัวแทนของทายาทในการจัดการทรัพย์มรดก มีหน้าที่จัดการทรัพย์มรดกโดยทั่วไปเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกและทายาท เพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719, 1723, 1724 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 ตามหนังสือสัญญาขาย เพื่อให้จำเลยที่ 3 นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองเป็นหลักประกันการกู้เงินจากธนาคาร ก. ตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดิน แล้วนำเงินที่ได้จากการกู้ยืมมาเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 ยังได้ความว่า จำเลยที่ 2 มอบเงินให้จำเลยที่ 3 ไปไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาท แล้วจำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งการให้จำเลยที่ 3 โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ตามหนังสือสัญญาขาย พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ว่า จำเลยที่ 2 ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 ตามหนังสือสัญญาขาย โดยมีความมุ่งหมายให้จำเลยที่ 3 นำที่ดินพิพาทไปเป็นหลักประกันในการกู้เงินจากธนาคาร ก. แทนจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ยังคงมีอำนาจสั่งการให้จำเลยที่ 3 จัดการเกี่ยวกับที่ดินพิพาทได้ตามความต้องการ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นเพียงตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในการถือที่ดินพิพาทไว้แทน ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของผู้ตายจึงยังเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย ส่วนการที่จำเลยที่ 2 สั่งให้จำเลยที่ 3 โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น เป็นการจัดการทรัพย์มรดกโดยชอบหรือไม่ เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1109/2544 หมายเลขแดงที่ 1484/2544 ของศาลชั้นต้น นายประยูรร้องขอถอนจำเลยที่ 2 จากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย จำเลยที่ 2 กับนายประยูรทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยมีข้อความตอนหนึ่งให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพาทให้แก่นายประยูรหรือแก่บุคคลที่นายประยูรกำหนด โดยทายาทคนอื่นไม่รู้เห็นยินยอมด้วย และทำไปเพื่อต้องการให้นายประยูรไปถอนฟ้องคดีอาญาจำเลยที่ 2 ข้อหายักยอก เป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 ไม่ใช่การจัดการทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกและทายาท เพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิที่จะกระทำให้มีผลผูกพันทรัพย์มรดกได้ คงมีผลผูกพันที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 เท่านั้น และไม่อาจอ้างสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งทำโดยผู้ไม่มีอำนาจกระทำนิติกรรมผูกพันทรัพย์มรดกได้มาบังคับใช้ให้ต้องโอนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกให้แก่จำเลยที่ 1 กรณีที่ผู้พิพากษาลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลเพื่อรับรู้ว่ามีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเท่านั้น ขณะจำเลยที่ 3 ตัวแทนของจำเลยที่ 2 โอนที่ดินพาทให้แก่จำเลยที่ 1 วันที่ 1 ธันวาคม 2548 จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2549 และนายประยูรยังมีชีวิต (ถึงแก่ความตายวันที่ 16 ตุลาคม 2550) จำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกของผู้ตายและไม่มีหน้าที่อย่างใดในกองมรดกของผู้ตาย ที่จำเลยที่ 2 เบิกความว่า โอนที่ดินพิพาทเพื่อให้จำเลยที่ 1 นำเข้ากองมรดกของผู้ตายเพื่อไปบริหารจัดการหนี้ของผู้ตาย และที่จำเลยที่ 1 ฎีกาในทำนองเดียวกันว่า เพื่อไปบริหารจัดการชำระหนี้ของผู้ตาย จึงฟังไม่ขึ้น เมื่อจำเลยที่ 3 ตัวแทนของจำเลยที่ 2 โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 โดยเป็นการจัดการทรัพย์มรดกโดยมิชอบ ไม่สุจริต และไม่มีสิทธิที่จะกระทำได้ จำเลยที่ 1 ซึ่งรับโอนที่ดินพิพาทไว้ก็ไม่มีสิทธิ ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของผู้ตายยังเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย โจทก์ทั้งสามมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2548 ระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และเพิกถอนสัญญาขายที่ดินพิพาท พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ได้เฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 โดยปลอดจากภาระจำนองที่ดินทั้งแปลง เพราะการจำนองที่ดินพิพาทต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคสอง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินพาท ฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2548 ระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และเพิกถอนสัญญาขายที่ดินพิพาท ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ทั้งแปลงรวมถึงที่ดินพิพาทในส่วนของจำเลยที่ 2 ด้วยซึ่งมิใช่ทรัพย์มรดกของผู้ตาย ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา เนื่องด้วยอำนาจกรรมสิทธิ์ จำเลยที่ 2 เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิจำหน่ายทรัพย์สินของตนได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336, 1361 วรรคหนึ่ง ดังนั้น คงเพิกถอนได้เฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกกึ่งหนึ่งของที่ดินพิพาท ส่วนปัญหาว่า จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามนับถัดจากวันฟ้องตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 หรือไม่ เพียงใดนั้น เห็นว่า โจทก์ทั้งสามเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 โดยยึดโยงจากการที่จำเลยที่ 1 ให้บุคคลอื่นเช่าบ้านเลขที่ 262/1 อยู่บนที่ดินพิพาท ขณะฟ้องไม่ปรากฏว่าสัญญาเช่าเลิกกันแต่อย่างใด เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรวมที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ทำสัญญาขายที่ดินพิพาท ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ก่อนจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าวันที่ 25 มิถุนายน 2557 จำเลยที่ 1 นำบ้านดังกล่าวออกให้บุคคลอื่นเช่า เป็นการจัดการทรัพย์สินตามธรรมดาเพื่อรักษาทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1358 วรรคสอง ซึ่งเจ้าของรวมคนใดคนหนึ่งมีสิทธิจัดการได้เสมอโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมคนอื่นก่อน แต่การที่จำเลยที่ 1 ให้เช่าบ้านเลขที่ 262/1 บนที่ดินพิพาทเป็นก่อให้เกิดภาระติดพัน บ้านเลขที่ 262/1 บนที่ดินพิพาท ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคสอง ฟ้องโจทก์ทั้งสามแสดงออกชัดว่า ไม่ยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำบ้านเลขที่ 262/1 บนที่ดินพิพาทออกให้เช่า การให้เช่าบ้านเลขที่ 262/1 บนที่ดินพิพาทจึงขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่น ๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1360 วรรคหนึ่ง โจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกที่ดินพิพาทเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทของผู้ตาย จึงเป็นผู้เสียหายชอบที่จะใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดในส่วนของผู้ตายเพื่อประโยชน์แก่เจ้าของรวมทุกคน เรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และกรณีนี้ยังไม่ได้แบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท ต้องนำค่าเสียหายที่ได้รับมาเข้าเป็นกองมรดกของผู้ตาย เนื่องจากกองมรดกของผู้ตายได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดจนสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600 ค่าเสียหายตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 กำหนดให้เดือนละ 5,000 บาท จำเลยที่ 1 ไม่ได้ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 6 กำหนดให้สูงเกินไป ค่าเสียหายจึงเป็นไปตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 กำหนดไว้ ส่วนระยะเวลาการชดใช้ค่าเสียหายนั้นให้นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปตลอดระยะเวลาที่มีการเช่าบ้านเลขที่ 262/1 หรือจนกว่าจะมีการแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินพิพาท หรือจนกว่าจะไถ่ถอนจำนองเสร็จสิ้น แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 กำหนดระยะเวลาให้ถึงวันที่จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5), 246 และ 252

อนึ่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ทั้งสามดำเนินคดีโดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล และพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ทั้งสามได้รับยกเว้นแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท แต่มิได้สั่งให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระต่อศาลในนามของโจทก์ทั้งสามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 158 ศาลฎีกาจึงสั่งใหม่ให้ถูกต้อง

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนหนังสือสัญญาขายที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 8026 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2548 ระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และเพิกถอนหนังสือสัญญาขายที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 8026 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 เฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของนายชาลี กึ่งหนึ่ง ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายโดยนำเงินไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์เพื่อนำเข้ากองมรดกของผู้ตายดำเนินการจัดการทรัพย์มรดกต่อไป นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 กรกฎาคม 2559) เป็นต้นไปตลอดระยะเวลาที่มีการเช่าบ้านเลขที่ 262/1 หรือจนกว่าจะมีการแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินพิพาท หรือจนกว่าจะไถ่ถอนจำนองเสร็จสิ้น แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 แต่ค่าธรรมเนียมศาลในศาลชั้นต้นที่จำเลยทั้งสามจะต้องใช้แทนโจทก์ทั้งสามตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระต่อศาลในนามของโจทก์ทั้งสาม ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2568 – เพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินมรดกเมื่อการโอนเป็นไปในทางเสียเปรียบกองมรดก

Quick Summary: คดีนี้ศาลฎีกาวางหลักสำคัญเกี่ยวกับการเพิกถอนนิติกรรมโอนอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทรัพย์มรดกเมื่อการโอนก่อให้เกิดความเสียเปรียบแก่บุคคลผู้มีฐานะจะจดทะเบียนสิทธิได้อยู่ก่อน (เช่น ทายาทหรือกองมรดกเอง) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 ทั้งยังพิจารณาขอบเขตหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตามมาตรา 1719 และ 1723 ว่าต้องจัดการเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกและทายาท ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือบุคคลภายนอก การโอนที่ดินมรดกโดยอาศัยผู้รับโอนที่ “ไม่สุจริต” หรือรู้อยู่แล้วว่าการโอนนั้นขัดกับสิทธิของกองมรดก ย่อมเปิดช่องให้ทายาท/กองมรดกฟ้องเพิกถอนได้ ศาลยังเน้นว่าการพิจารณาความสุจริตของผู้รับโอนต้องดูพฤติการณ์ก่อน–ขณะ–หลังโอน เช่น การนำทรัพย์ไปจำนองเพื่อก่อหนี้ที่มิใช่ของกองมรดก หรือการหมุนเวียนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวผู้จัดการมรดก ซึ่งสะท้อนเจตนาจัดการเพื่อประโยชน์ส่วนตน กรณีนี้จึงรับฟังได้ว่าเป็นการโอนเสียเปรียบกองมรดก ต้องเพิกถอนเฉพาะส่วนที่กระทบสิทธิของกองมรดกและทายาท และจัดให้ทรัพย์กลับคืนสภาพก่อนโอนตามมาตรา 1300 อันเป็นแนวที่สอดคล้องกับ 1649/2567 ที่เพิกถอนเฉพาะสัดส่วนทรัพย์มรดกของผู้ตายและตัดภาระจำนองที่เกิดโดยปราศจากความยินยอมเจ้าของรวมทั้งหมดตามมาตรา 1361 วรรคสอง. 

2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1480/2563 – ผู้จัดการมรดกมีอำนาจโอนทรัพย์ในบางกรณี แต่ต้องไม่ขัดหน้าที่และหลักสุจริต

Quick Summary: คดีนี้ช่วยทำความเข้าใจ “เส้นบาง ๆ” ระหว่างอำนาจของผู้จัดการมรดกตามมาตรา 1719, 1723 กับการใช้สิทธิที่เกินขอบเขตหน้าที่ ศาลอธิบายว่าผู้จัดการมรดกอาจโอนทรัพย์มรดกให้ “ตนเอง” ในฐานะทายาทได้ หากเป็นไปภายใต้กรอบแห่งหน้าที่เพื่อประโยชน์กองมรดกและมิได้ทำให้ทายาทอื่นเสียเปรียบ และผู้รับโอนต้องสุจริต โดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการโอน การชำระหนี้ของกองมรดก ความโปร่งใส และการรับรู้ของทายาทอื่น ๆ หากพบว่าการโอนถูกใช้เป็นเครื่องมือเบี่ยงทรัพย์ให้พ้นจากกองมรดก หรือก่อหนี้/ภาระที่ไม่ใช่ของกองมรดก เช่น นำไปจำนองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ย่อมเป็นการฝ่าฝืนหน้าที่และเปิดช่องให้ฟ้องเพิกถอนตามมาตรา 1300 ได้ ประเด็นนี้เทียบได้กับ 1649/2567 ที่ศาลชี้ให้เห็นว่า แม้ผู้จัดการมรดกจะอ้างสัญญาประนีประนอม/ความตกลงกับญาติผู้ใหญ่เพื่อบริหารจัดการ แต่เมื่อเจตนาที่แท้จริงมุ่งประโยชน์ของตนเองและนำไปสู่การโอนต่อโดยตัวแทน ย่อมไม่สุจริตและไม่ผูกพันส่วนทรัพย์ของกองมรดก ทำให้เพิกถอนได้เฉพาะส่วนของผู้ตายตามมาตรา 1300 พร้อมพิจารณาภาระจำนองตามมาตรา 1361 วรรคสอง. 

3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8308/2561 – การทำสัญญา/ยอมความแทนผู้เยาว์โดยไม่ขออนุญาตศาล “ไม่ผูกพันผู้เยาว์”

Quick Summary: คดีนี้เป็นแนวสำคัญเกี่ยวกับมาตรา 1574 ในมิติ “ผลทางกฎหมาย” ของนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินผู้เยาว์ที่ทำโดยผู้ใช้อำนาจปกครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล ศาลฎีกาวางหลักชัดเจนว่า ตัวบทไม่ได้กำหนดให้ “โมฆะ” แต่เป็น “ไม่ผูกพันผู้เยาว์” ผู้มีสิทธิยกความไม่ผูกพันขึ้นอ้างได้คือผู้เยาว์ (หรือภายหลังเป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้วก็ยังยกขึ้นอ้างได้) กรณีมีการทำสัญญาประนีประนอม/ยอมความที่มีผลลด–สละ–จำหน่ายทรัพยสิทธิของผู้เยาว์ในอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ หากไม่ได้รับอนุญาตศาลล่วงหน้า นิติกรรมดังกล่าวย่อมไม่ผูกพันผู้เยาว์ แนวนี้สอดรับกับ 1649/2567 ที่ศาลชี้ว่า “บันทึกข้อตกลงสละมรดก” ซึ่งมารดาทำแทนบุตรผู้เยาว์โดยไม่ขออนุญาตศาล ไม่ผูกพันผู้เยาว์และไม่ถือเป็นการสละมรดก ส่งผลให้ทายาทผู้เยาว์ยังมีอำนาจฟ้องเพิกถอนสัญญาซื้อขายและการโอนที่ดินเฉพาะส่วนทรัพย์มรดกของผู้ตาย รวมถึงอาศัยมาตรา 1361 วรรคสอง จัดการกับภาระจำนอง/สัญญาเช่าที่ก่อภาระในทรัพย์รวมโดยมิได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน. 

4. แนวคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์รวมและการก่อภาระติดพันในทรัพย์รวม – ฎีกาที่ 9761/2555 และคดีว่าด้วย “จำนอง/เช่าในทรัพย์รวม”

Quick Summary: ในข้อพิพาททรัพย์สินที่เป็น “กรรมสิทธิ์รวม” ศาลฎีกาถือหลักตามมาตรา 1361 วรรคสองว่า การก่อภาระติดพัน “ต่อตัวทรัพย์” (เช่น จำนอง หรือการให้เช่าที่ก่อภาระติดพันแก่ทรัพย์) ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวม “ทุกคน” หากขาดความยินยอม สัญญาย่อมขัดต่อสิทธิของเจ้าของรวมอื่นและเป็นเหตุให้เจ้าของรวมผู้อื่นฟ้องคุ้มครองสิทธิได้ เช่น แนวคำวินิจฉัยที่ว่า “การจดทะเบียนจำนองทรัพย์รวมโดยเจ้าของรวมเพียงคนเดียว ไม่ชอบด้วยมาตรา 1361 วรรคสอง” และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9761/2555 ซึ่งตอกย้ำฐานะสิทธิของเจ้าของรวมและการใช้สิทธิทางศาล (เช่น ฟ้องแบ่งกรรมสิทธิ์รวม) โดยไม่ตกอยู่ใต้ข้อจำกัดอายุความ 1 ปีในบางกรณี ประเด็นเหล่านี้สัมพันธ์โดยตรงกับ 1649/2567 ที่ศาลสั่งให้การให้เช่าบ้านบนที่ดินทรัพย์รวมต้องเคารพสิทธิของเจ้าของรวมอื่น การให้เช่าที่ก่อ “ภาระติดพันแก่ทรัพย์” โดยไม่ยินยอมจึงขัดมาตรา 1361 วรรคสอง และเจ้าของรวมคนอื่นย่อมเรียกค่าเสียหายจากผู้ที่ก่อภาระโดยพลการได้. 

5. บทวิเคราะห์ทางวิชาการศาลยุติธรรม: ผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์ให้บุคคลภายนอก

 

Quick Summary: เอกสารวิชาการของศาลยุติธรรมได้สรุปแนวที่สอดคล้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาหลายฉบับว่า เมื่อผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ให้บุคคลภายนอกโดยขัดต่อประโยชน์กองมรดกหรือทำให้ทายาทเสียเปรียบ ข้อพิพาทเรื่อง “ใครมีสิทธิดีกว่า” ระหว่างทายาทกับผู้รับโอนภายนอก ต้องชั่งตามมาตรา 1300 ว่าทายาท/กองมรดกเป็น “บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน” หรือไม่ หากใช่ ย่อมเรียกเพิกถอนได้ และต้องพิจารณาความสุจริตของผู้รับโอนอย่างเคร่งครัด แนวคิดนี้ประยุกต์ใช้โดยตรงใน 1649/2567 ที่เห็นว่าการขาย/โอนต่อโดย “ตัวแทน” ของผู้จัดการมรดกเพื่อวัตถุประสงค์นอกเหนือการบริหารกองมรดก (เช่น เพื่อแลกกับการถอนฟ้องคดีอาญาของผู้จัดการมรดกเอง) เป็นการจัดการที่ไม่สุจริต ไม่ชอบด้วยหน้าที่ และเพิกถอนได้เฉพาะส่วนทรัพย์ของผู้ตาย พร้อมตัดภาระจำนองที่วางบนทรัพย์รวมโดยขาดความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน




นิติกรรม

ข้อพิพาทงานก่อสร้าง เลิกสัญญาโดยปริยายและการคืนฐานะเดิม,ป.พ.พ. มาตรา 391,(ฎีกา 315/2567)
บอกล้างโมฆียะกรรม & เพิกถอนยึดทรัพย์ กลฉ้อฉล, ฉ้อโกง, (ฎีกา 5398/2567)
สัญญาเช่าโรงงาน โมฆียะ สำคัญผิด & ค่าเสียหาย(ฎีกา 7019/2567)
โมฆียะบันทึกข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ & กลฉ้อฉล (ฎีกา 1406-1407/2567)
คดีสัญญาซื้อขายหน่วยลงทุน-พัฒนาที่ดิน,ลาภมิควรได้, โมฆะ,(ฎีกา 2358/2567)
ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉล & สิทธิผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง (ฎีกา 3107/2568)
เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินฉ้อฉล & หนี้เช่าซื้อ, เจ้าหนี้เสียเปรียบ (ฎีกา 1383/2568)
คดีแพ่งเรื่องสิทธิไถ่ถอนจำนอง, การยอมรับโดยปริยายในคดีจำนอง-ฎีกา 3553/2568
โมฆะการเปลี่ยนผู้รับผลประโยชน์ประกันชีวิต(ฎีกา 1/2568)
การเปลี่ยนผู้รับประโยชน์กรมธรรม์ประกันชีวิตโดยผู้อนุบาล ขัดต่อเจตนาผู้เอาประกัน โมฆะเพราะไม่ได้รับอนุญาตศาล(ฎีกาที่ 1/2568)
จำนองที่ดินเฉพาะส่วน และสิทธิของเจ้าของรวม,จำนอง, เจ้าของรวม, มาตรา 1361, (ฎีกาที่ 5423/2553)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7504/2567 : คดีผู้บริโภค กู้ยืมเงินตามสัญญากู้ การให้การไม่ชัดแจ้ง และการห้ามอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2568: เพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินมรดกที่ไม่สุจริต
(ฎ.432-433/2567) เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดิน ปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจ และการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ฎีกาที่ 7639/2560 : คดีเพิกถอนการขายที่ดินพิพาท ระหว่างสินส่วนตัวกับสินสมรส และปัญหาอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4084/2567 ผลของการบอกล้างโมฆียะกรรมและการชดใช้ค่าเสียหายจากค่าเสื่อมราคา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5661/2567: การสละที่ดินโครงการเป็นทางสาธารณะ และผลทางกฎหมายของการโอนขาย
การโอนสิทธิเรียกร้องและสิทธิฟ้องลูกหนี้ตามสัญญาซื้อขาย(ฎีกาที่ 6557/2567)
การปล่อยกู้โดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราและผลของโมฆะกรรมตามกฎหมาย(ฎีกาที่ 6901/2567)
ส่งมอบรถหลักประกันไม่ใช่การชำระหนี้แทนเงินกู้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 656(ฎีกาที่ 6964/2567)
สิทธิในสัญญาเช่าซื้อกับการตกทอดทางมรดก: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1366/2516
ผู้อนุบาลและคนไร้ความสามารถ, สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์เป็นโมฆียะ, การบอกล้างโมฆียะกรรม
เพิกถอนนิติกรรมวิกลจริต, การบอกล้างโมฆียกรรม, นิติกรรมของผู้ป่วยจิตเวช, โมฆียกรรมกลายเป็นโมฆะ
ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด, การขยายเวลาชำระหนี้, ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน
คดีเลิกสัญญาก่อสร้าง, สิทธิในเบี้ยปรับตามกฎหมาย, เบี้ยปรับในสัญญาก่อสร้าง
ความรับผิดของผู้รับประกันภัย, รถสูญหาย, ถูกเพลิงไหม, การละทิ้งความครอบครองรถยนต์
คดีเกี่ยวกับการบุกรุกป่าสงวน, ข้อกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินรัฐ, สิทธิการครอบครองที่ดินชั่วคราว
กฎหมายกู้ยืมเงิน, หลักฐานการกู้ยืมเงิน, ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์, การกู้ยืมเงินในไลน์และเฟสบุค
นิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์
หลักฐานการกู้ยืมเงิน, การลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืม, การพิสูจน์การชำระหนี้
คดีผู้บริโภค, การใช้สิทธิไม่สุจริต, ความสุจริตในการชำระหนี้, มาตรฐานทางการค้า
สัญญาประนีประนอมยอมความ, การรังวัดที่ดินแนวเขต, อำนาจฟ้อง,
สัญญานายหน้าและค่านายหน้า, กฎหมายลาภมิควรได้, การบอกเลิกสัญญานายหน้าโดยไม่สุจริต
สัญญาซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะ, นิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน
กู้ยืมเงินไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ,สัญญาค้ำประกัน(ฎีกา 1263/2567)
การทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์
หนังสือสัญญากู้เงินตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์
การซื้อขายที่ดินตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150
ผู้รับจำนองมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นโดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีเจ้าหนี้อื่นมาขอเฉลี่ยหนี้
สัญญาเช่าที่ดินซึ่งเป็นเจ้าของรวม
การโอนที่ดินในระยะเวลาห้ามโอนเป็นโมฆะ
สิทธิบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด
คำสั่งงดสืบพยานจำเลย
สัญญาจะซื้อจะขายมีผลอย่างไรกับสัญญาซื้อขาย
หนังสือมอบอำนาจ พิมพ์ลายนิ้วมือ
กฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยฝ่าฝืนเป็นโมฆะ | ดอกเบี้ยผิดนัด
สิทธิของผู้รับจำนองเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้เรียกว่า"บุริมสิทธิ"
สัญญาที่ทำขึ้นโดยไม่มีเจตนาแท้จริงให้ผูกพันกัน
ความรับผิดในคดีแพ่งต้องอาศัยมูลมาจากการกระทำความผิดในทางอาญา
นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย, ฝ่าฝืนกฎหมาย
อำนาจฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการจำหน่ายที่ดินเพื่อชำระเป็นเงินให้คนต่างด้าว
ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมให้สินสมรสเมื่อผู้ให้ตายแล้วไม่ต้องฟ้องผู้จัดการมรดกก็ได้
ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินสินสมรส
การขายอสังหาริมทรัพย์ของบุตรผู้เยาว์จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน
ผลของการบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขาย คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิม
นิติกรรมอำพรางคู่กรณีต้องแสดงเจตนาทำนิติกรรมขึ้นสองนิติกรรม
องค์ประกอบของนิติกรรม
สัญญารับเหมาก่อสร้างเลิกกัน คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม
สัญญาซื้อขายที่ดินเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน
ทำสัญญากู้ยืมเงินในฐานะผู้แทนของสมาคมไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
แม้ดอกเบี้ยเป็นโมฆะแต่ยังต้องรับผิดต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยผิดนัด
ข้อตกลงให้ผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ชำระค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ขายที่ดินห้ามโอนภายใน 10 ปีเป็นการสละการครอบครอง
สิทธิได้รับค่าตอบแทนก่อนบอกเลิกสัญญาตัวแทนประกันชีวิต
ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประกันชีวิต-อ้างถูกฉ้อฉลให้ทำสัญญา
ผู้รับประกันภัยได้รับประกันวินาศภัยไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ
ลูกหนี้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเกินอัตราเป็นโมฆะต้องนำมาหักเป็นต้นเงิน
สัญญาเช่าบ้านภายหลังการซื้อขาย
ผู้จะขายไม่ได้รับใบอนุญาตให้จัดสรรที่ดินผู้จะซื้อไม่รู้สัญญาไม่เป็นโมฆะ
ผู้แทนโดยชอบธรรมทำสัญญาขายไม้มรดกส่วนของผู้เยาว์-ไม่ต้องขออนุญาตศาลก่อน
คู่สัญญามีอำนาจฟ้องให้โอนทรัพย์สินให้บุตรได้
การฟ้องคดีแพ่งมิใช่เป็นการทำนิติกรรม
การกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในสัญญาถือว่าเป็นเบี้ยปรับ