
| สิทธิทายาท, สละมรดกผู้เยาว์, เพิกถอนโอนที่ดิน(ฎีกา 1649/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิทธิของทายาทผู้เยาว์ในทรัพย์มรดก และขอบเขตอำนาจของผู้ใช้อำนาจปกครองและผู้จัดการมรดก โดยศาลวินิจฉัยว่าการสละมรดกของผู้เยาว์ต้องได้รับอนุญาตจากศาลตาม ป.พ.พ. มาตรา 1574 หากไม่ปฏิบัติจะไม่มีผลผูกพันผู้เยาว์ รวมทั้งชี้ว่าผู้จัดการมรดกไม่มีสิทธิจำหน่ายทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือเพื่อแลกกับผลทางคดีอาญา กรณีโอนที่ดินมรดกโดยมิชอบจึงต้องเพิกถอนเฉพาะส่วนของผู้ตายตามมาตรา 1300 และกรณีให้เช่าทรัพย์มรดกที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของร่วมทุกคนตามมาตรา 1361 ทายาทสามารถเรียกค่าเสียหายได้จนกว่าจะแบ่งมรดกหรือไถ่ถอนจำนองเสร็จ ✅ สรุปข้อเท็จจริง ในคดีนี้ ผู้ตายมีที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสกับภริยา (จำเลยที่ 2) เมื่อนายชาลีถึงแก่กรรม ลูกทั้งสามคน (โจทก์ทั้งสาม) เป็นผู้เยาว์ อยู่ในความปกครองของมารดา มารดาได้ทำบันทึกข้อตกลงสละมรดกแทนลูกในชั้นบังคับคดี โดยไม่รับอนุญาตจากศาล ต่อมาผู้จัดการมรดกคือจำเลยที่ 2 ขายที่ดินให้จำเลยที่ 3 (ลูกอีกคน) และจำเลยที่ 3 โอนต่อให้จำเลยที่ 1 เพื่อนำไปจำนองเพื่อใช้ชำระหนี้คดีอาญาของจำเลยที่ 2 ศาลพบว่าโอนเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ไม่ใช่เพื่อกองมรดก ทายาทจึงฟ้องเพิกถอนการโอนที่ดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 ศาลฎีกาวินิจฉัยให้เพิกถอนเฉพาะส่วนของผู้ตายครึ่งหนึ่ง และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายรายเดือนจนกว่าจะไถ่ถอนจำนองหรือแบ่งมรดก ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้อยู่ที่การตีความและบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับ “สิทธิของผู้เยาว์ในทรัพย์มรดก” และ “อำนาจของผู้จัดการมรดก” โดยอาศัยหลักตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นหลัก ซึ่งมาตราที่เป็นหัวใจของคดีนี้ คือ มาตรา 1574, 1300, 1719, 1361 และ 1600 “สาระสำคัญของคดีนี้ 1. ผู้เยาว์สละมรดกต้องได้รับอนุญาตศาลก่อน (มาตรา 1574) ประเด็นหลักของคดีอยู่ที่มารดาทำบันทึกสละมรดกแทนลูกซึ่งเป็นผู้เยาว์ โดยไม่ขออนุญาตศาล ศาลวินิจฉัยว่านิติกรรมนี้ไม่มีผลผูกพันผู้เยาว์ จึงไม่ใช่การสละมรดกที่ชอบด้วยกฎหมาย 2. ผู้จัดการมรดกต้องจัดการเพื่อประโยชน์ของกองมรดกและทายาท (มาตรา 1719 และ 1723) จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกโอนที่ดินเพื่อประโยชน์ส่วนตน (เพื่อให้ตนหลุดจากคดีอาญา) การกระทำดังกล่าวไม่ใช่เพื่อประโยชน์กองมรดก และเป็นการใช้อำนาจในทางที่มิชอบ 3. ทายาทมีสิทธิขอเพิกถอนการโอนทรัพย์มรดกที่ทำโดยมิชอบ (มาตรา 1300) เมื่อมีการโอนทรัพย์โดยไม่ชอบและไม่ใช่เพื่อประโยชน์กองมรดก ทายาทมีสิทธิฟ้องเพิกถอนเฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายได้ตามกฎหมาย 4. การจัดการทรัพย์ร่วมต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน (มาตรา 1361) จำเลยที่ 1 นำทรัพย์มรดกบางส่วนให้เช่า ซึ่งเป็นการทำให้เกิดภาระติดพันแก่กรรมสิทธิ์รวม ต้องได้รับยินยอมจากทายาททุกคน เมื่อไม่ได้รับยินยอม ทายาทมีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้ 5. ค่าเสียหายจากการใช้ทรัพย์มรดกต้องนำเข้าเป็นกองมรดก (มาตรา 1600) ค่าเสียหายที่เรียกจากจำเลยไม่ใช่เป็นของโจทก์แต่ละคนทันที แต่ต้องเข้ากองมรดกก่อน แล้วแบ่งเมื่อถึงเวลาแบ่งมรดก เพื่อความเป็นธรรมแก่ทายาททุกคน ✅ ประเด็นกฎหมายสำคัญ 1) สละมรดกของผู้เยาว์ต้องได้รับอนุญาตศาลก่อน อ้างอิง: ป.พ.พ. มาตรา 1574 (2)(4) หากไม่ปฏิบัติ นิติกรรมเป็นโมฆะสำหรับผู้เยาว์ 2) ผู้จัดการมรดกต้องทำเพื่อตัวกองมรดก อ้างอิง: ป.พ.พ. มาตรา 1719, 1723, 1724 หากจัดการเพื่อประโยชน์ส่วนตน ทายาทขอเพิกถอนได้ 3) เพิกถอนสัญญาซื้อขายมรดก อ้างอิง: ป.พ.พ. มาตรา 1300 เพิกถอนเฉพาะส่วนทรัพย์มรดก ไม่กระทบส่วนจำเลย 4) กรรมสิทธิ์รวมในมรดก อ้างอิง: ป.พ.พ. มาตรา 1361 ให้เช่าบ้านติดที่ดินมรดกต้องได้รับยินยอมจากทายาททุกคน 5) ค่าเสียหายต่อเนื่อง อ้างอิง: ป.พ.พ. มาตรา 1600 เข้ากองมรดกจนกว่าจะแบ่งมรดกหรือไถ่จำนอง ✅ วิเคราะห์กฎหมาย คำพิพากษานี้เป็นตัวอย่างชัดเจนของการคุ้มครองสิทธิเด็กในทรัพย์มรดกและการกำกับพฤติกรรมของผู้จัดการมรดก ศาลยืนยันว่ามารดาไม่อาจสละมรดกแทนลูกโดยไม่ขอศาล เมื่อไม่มีการสละมรดก ลูกยังเป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์มรดก ผู้จัดการมรดกจึงต้องรักษาทรัพย์เพื่อกองมรดกและทายาททุกคน การโอนทรัพย์เพื่อให้ตนหลุดพ้นคดีอาญาจึงเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ และสามารถเพิกถอนได้ ✅ IRAC (แบบขยายเต็ม) Issue (ประเด็น) ผู้เยาว์สละมรดกได้หรือไม่หากไม่ได้รับอนุญาตศาล และเมื่อผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์เพื่อประโยชน์ตนเอง ทายาทมีสิทธิฟ้องเพิกถอนได้เพียงใด Rule (กฎหมาย) • ป.พ.พ. มาตรา 1574 นิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินผู้เยาว์ต้องได้รับอนุญาตศาล • มาตรา 1719, 1723, 1724 ผู้จัดการมรดกต้องทำเพื่อประโยชน์กองมรดก • มาตรา 1300 สิทธิทายาทเพิกถอนนิติกรรมที่ละเมิดกองมรดก • มาตรา 1361 ให้เช่าทรัพย์รวมต้องยินยอมทุกฝ่าย Application (การประยุกต์ข้อเท็จจริง) มารดาสละมรดกแทนลูกในชั้นบังคับคดีโดยไม่ขอศาล นิติกรรมจึงไม่ผูกพันเด็ก ผู้จัดการมรดกโอนที่ดินเพื่อให้หลุดคดีอาญา ไม่ใช่เพื่อแบ่งมรดก จึงเพิกถอนได้เฉพาะส่วนของผู้ตาย และให้ค่าเสียหายจนกว่าจะไถ่จำนองหรือแบ่งมรดก Conclusion (บทสรุป) นิติกรรมสละมรดกไม่ผูกพันโจทก์ การโอนที่ดินผิดวัตถุประสงค์ทางมรดก เพิกถอนได้เฉพาะส่วนมรดก และโจทก์มีสิทธิรับค่าเสียหายต่อเนื่อง ✅ ข้อคิดทางกฎหมาย คดีนี้ตอกย้ำหลักสำคัญว่า • สิทธิของผู้เยาว์ในมรดกได้รับความคุ้มครองสูงสุด • ผู้จัดการมรดกต้องทำเพื่อกองมรดก ไม่ใช่เพื่อหลีกเลี่ยงคดีของตน • นิติกรรมที่กระทบสิทธิเจ้าของร่วมโดยไม่ได้ยินยอมเพิกถอนได้ • ค่าผลประโยชน์ที่ได้จากการใช้ทรัพย์มรดกต้องส่งคืนกองมรดกจนกว่าจะจัดแบ่งเสร็จ แนวคำถาม - ธงคำตอบ คำถามที่ 1 เมื่อมารดาของโจทก์ทั้งสามทำบันทึกข้อตกลงสละมรดกแทนผู้เยาว์ในระหว่างชั้นบังคับคดี โดยอ้างว่าต้องการยุติข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินมรดกของผู้ตาย ทั้งที่ตนเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองในขณะนั้น แต่ไม่ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาลตามกฎหมาย ผู้เยาว์ยังมีสิทธิถือครองมรดกอยู่หรือไม่ และบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมีผลผูกพันโจทก์ทั้งสามหรือไม่ คำตอบ กรณีนี้มารดาของโจทก์ทั้งสามในฐานะผู้ใช้อำนาจปกครองได้ทำบันทึกข้อตกลงสละสิทธิในมรดกแทนโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นผู้เยาว์ในขณะนั้น โดยมิได้ยื่นคำร้องขออนุญาตศาลตามที่กฎหมายกำหนด การกระทำดังกล่าวถูกตีความว่าเป็นการ "จำหน่ายสิทธิในทรัพย์ของผู้เยาว์" อันเข้าลักษณะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 (2) และ (4) ซึ่งบัญญัติให้การกระทำเกี่ยวกับทรัพย์สินสำคัญของผู้เยาว์ เช่น การสละมรดก ต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน หากไม่ได้รับการอนุญาต นิติกรรมดังกล่าวย่อมไม่มีผลผูกพันผู้เยาว์ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่า บันทึกข้อตกลงการสละมรดกดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสาม และถือว่าโจทก์ทั้งสามยังคงมีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตายอย่างสมบูรณ์ สามารถดำเนินคดีเพื่อเรียกร้องสิทธิในที่ดินพิพาทได้ คำถามที่ 2 เมื่อผู้จัดการมรดกใช้ตำแหน่งโอนทรัพย์มรดกให้แก่บุคคลอื่นเพื่อให้ตนได้รับประโยชน์จากการให้ผู้อื่นถอนฟ้องคดีอาญา มิใช่เพื่อประโยชน์แก่กองมรดกและทายาททุกคน ผู้จัดการมรดกมีสิทธิทำเช่นนั้นหรือไม่ และทายาทสามารถฟ้องเพิกถอนการโอนดังกล่าวได้หรือไม่เพียงใด คำตอบ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกได้ใช้ตำแหน่งโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 และต่อมาโอนให้จำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 2 ได้รับประโยชน์ในคดีอาญาที่ตนถูกกล่าวหา ไม่ใช่เพื่อประโยชน์แก่กองมรดกหรือทายาทคนอื่น การโอนดังกล่าวจึงเป็นการใช้อำนาจในทางที่มิชอบ ผิดจากหน้าที่ผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 และมาตรา 1723 ที่กำหนดให้ผู้จัดการมรดกต้องจัดการเพื่อประโยชน์ของกองมรดกและทายาทเท่านั้น ศาลจึงถือว่าการโอนที่ดินดังกล่าวอาจเพิกถอนได้ตามมาตรา 1300 โดยเพิกถอนได้เฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายครึ่งหนึ่ง ส่วนส่วนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสินสมรสไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนได้ ทายาทจึงมีอำนาจฟ้องเพิกถอนสัญญาขายและโอนที่ดินดังกล่าวเฉพาะสัดส่วนมรดกของผู้ตายเท่านั้น คำถามที่ 3 ในกรณีที่จำเลยที่ 1 ซึ่งรับโอนที่ดินบางส่วนและเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์มรดก ได้นำบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินพิพาทให้บุคคลอื่นเช่า ทั้งที่ทายาทคนอื่นไม่ยินยอม ทายาทมีสิทธิเรียกค่าเสียหายหรือไม่ การให้เช่าดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และค่าเสียหายต้องจัดการอย่างไร คำตอบ เมื่อจำเลยที่ 1 รับโอนที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 จึงเป็นเจ้าของรวมกับโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาทผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เกี่ยวกับทรัพย์ส่วนรวม แม้เจ้าของรวมคนหนึ่งจะจัดการรักษาทรัพย์ตามปกติได้ตามมาตรา 1358 แต่การให้เช่าบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินเช่นนี้ถือเป็นการทำให้เกิดภาระติดพันแก่ที่ดินร่วม ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคนตามมาตรา 1361 วรรคสอง เมื่อโจทก์ทั้งสามแสดงเจตนาไม่ยินยอม การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงขัดต่อสิทธิของเจ้าของรวมคนอื่นตามมาตรา 1360 วรรคหนึ่ง ทายาทจึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายตามกฎหมาย และเนื่องจากทรัพย์ยังไม่ได้แบ่งมรดก ค่าเสียหายที่ได้รับต้องนำเข้ากองมรดกของผู้ตายตามมาตรา 1600 และให้จำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้เป็นรายเดือนจนกว่าจะมีการแบ่งมรดกหรือไถ่ถอนจำนองเสร็จสิ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1649/2567 ป.พ.พ. มาตรา 1566 และมาตรา 1574 ให้อำนาจผู้ใช้อำนาจปกครองทำนิติกรรมใด ๆ อันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ได้เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทผู้ใช้อำนาจปกครองต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนจึงจะทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์ได้ การสละมรดกของผู้เยาว์เป็นการกระทำให้สิ้นสุดลงทั้งหมดซึ่งทรัพยสิทธิของผู้เยาว์อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และเป็นการจำหน่ายไปทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งสิทธิเรียกร้องที่จะได้มาซึ่งทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้หรือสิทธิเรียกร้องที่จะให้ทรัพย์สินเช่นว่านั้นของผู้เยาว์ปลอดจากทรัพยสิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินนั้น การที่โจทก์ทั้งสามสละมรดกที่ดินพิพาทโดย ส. มารดาผู้ใช้อำนาจปกครองของโจทก์ทั้งสามทำบันทึกตกลงสละมรดกของผู้ตายไว้เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2547 ขณะที่โจทก์ทั้งสามเป็นผู้เยาว์ ส. จึงต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนทำบันทึกข้อตกลง ตามมาตรา 1574 (2) (4) ไม่ปรากฏว่า ส. ได้รับอนุญาตจากศาลให้ทำบันทึกข้อตกลงแต่อย่างใด บันทึกข้อตกลงที่ ส. ทำไว้ไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสามไม่เป็นการสละมรดกที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้ตาย เมื่อโจทก์ทั้งสามไม่ได้สละมรดก ดังนั้นจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 เพื่อให้จำเลยที่ 3 นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองเป็นหลักประกันการกู้เงินจากธนาคาร ก. แล้วนำเงินที่ได้จากการกู้ยืมมาเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 ยังได้ความว่า จำเลยที่ 2 มอบเงินให้จำเลยที่ 3 ไปไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทแล้วจำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งการให้จำเลยที่ 3 โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ว่า จำเลยที่ 2 ยังคงมีอำนาจสั่งการให้จำเลยที่ 3 จัดการเกี่ยวกับที่ดินพิพาทได้ตามความต้องการ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นเพียงตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในการถือที่ดินพิพาทไว้แทน ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของผู้ตายจึงยังเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย การที่จำเลยที่ 2 สั่งให้จำเลยที่ 3 โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 2 กับ ป. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยมีข้อความตอนหนึ่งให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่ ป. หรือแก่บุคคลที่ ป. กำหนด โดยทายาทคนอื่นไม่รู้เห็นยินยอมด้วย และทำไปเพื่อต้องการให้ ป. ไปถอนฟ้องคดีอาญาจำเลยที่ 2 ข้อหายักยอก เป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 ไม่ใช่การจัดการทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกและทายาท เพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิที่จะกระทำให้มีผลผูกพันทรัพย์มรดกได้ คงมีผลผูกพันที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 เท่านั้น ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของผู้ตายยังเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย โจทก์ทั้งสามมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2548 ระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และเพิกถอนสัญญาขายที่ดินพิพาท พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ได้เฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 โดยปลอดจากภาระจำนองที่ดินทั้งแปลง เพราะการจำนองที่ดินพิพาทต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1361 วรรคสอง โจทก์ทั้งสามเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 โดยยึดโยงจากการที่จำเลยที่ 1 ให้บุคคลอื่นเช่าบ้านเลขที่ 262/1 อยู่บนที่ดินพิพาท ขณะฟ้องไม่ปรากฏว่าสัญญาเช่าเลิกกันแต่อย่างใด เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรวมที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ทำสัญญาขายที่ดินพิพาท ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ก่อนจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่า การที่จำเลยที่ 1 นำบ้านดังกล่าวออกให้บุคคลอื่นเช่า เป็นการจัดการทรัพย์สินตามธรรมดาเพื่อรักษาทรัพย์สินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1358 วรรคสอง ซึ่งเจ้าของรวมคนใดคนหนึ่งมีสิทธิจัดการได้เสมอโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมคนอื่นก่อน แต่การที่จำเลยที่ 1 ให้เช่าบ้านเลขที่ 262/1 บนที่ดินพิพาทเป็นก่อให้เกิดภาระติดพันบ้านเลขที่ 262/1 บนที่ดินพิพาท ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1361 วรรคสอง ฟ้องโจทก์ทั้งสามแสดงออกชัดว่า ไม่ยินยอม การให้เช่าบ้านเลขที่ 262/1 บนที่ดินพิพาทจึงขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่น ๆ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1360 วรรคหนึ่ง โจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกที่ดินพิพาทเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทของผู้ตาย จึงเป็นผู้เสียหายชอบที่จะใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดในส่วนของผู้ตายเพื่อประโยชน์แก่เจ้าของรวมทุกคน เรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ได้ ส่วนระยะเวลาการชดใช้ค่าเสียหายนั้นให้นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปตลอดระยะเวลาที่มีการเช่าบ้านเลขที่ 262/1 หรือจนกว่าจะมีการแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินพิพาท หรือจนกว่าจะไถ่ถอนจำนองเสร็จสิ้น แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 กำหนดระยะเวลาให้ถึงวันที่จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5), 246 และ 252 โจทก์ทั้งสามฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 8026 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 และฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2548 ให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 พร้อมบ้านเลขที่ 262/1 หากไม่ดำเนินการขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง จากธนาคาร ซ. เป็นเงิน 6,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยที่ 1 หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 6,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป และหากจำเลยทั้งสามไม่สามารถดำเนินการเพิกถอนการขายและโอนที่ดินได้ก็ให้จำเลยทั้งสามชำระเงิน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 40,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม กับให้กำจัดจำเลยทั้งสามมิให้มีสิทธิรับมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสาม กับให้โจทก์ทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีโดยวินิจฉัยปัญหาอื่นที่ยังไม่ได้วินิจฉัย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา และได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลบางส่วน โดยให้เสียค่าขึ้นศาลจำนวน 30,000 บาท ศาลฎีกาพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 8026 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2548 ระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 8026 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสามในที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 พร้อมบ้านเลขที่ 262/1 ในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายชาลี หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม กับให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง จากธนาคาร ซ. ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยที่ 1 หากไม่ไถ่ถอนจำนองให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 6,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 กรกฎาคม 2559) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามเดือนละ 40,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะไถ่ถอนจำนองเสร็จสิ้น และให้กำจัดจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิให้มีสิทธิรับมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ทั้งสามได้รับยกเว้นแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสามอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลบางส่วน โดยให้เสียค่าขึ้นศาลคนละจำนวน 20,000 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสามในที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 พร้อมบ้านเลขที่ 262/1 คนละ 1 ใน 12 ส่วน ของครึ่งหนึ่งแห่งทรัพย์สินดังกล่าว หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสาม เดือนละ 5,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 กรกฎาคม 2559) จนกว่าจะไถ่ถอนจำนองเสร็จสิ้น หากจำเลยที่ 1 ไม่ไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง จากธนาคาร ซ. ให้โจทก์ทั้งสามไถ่ถอนได้เอง โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ยกคำขอที่ขอให้กำจัดจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิให้มีสิทธิรับมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่เสียเกินมาคนละ 15,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ โจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา โดยโจทก์ทั้งสามได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ส่วนจำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลบางส่วน โดยให้เสียค่าขึ้นศาลจำนวน 20,000 บาท ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องขอถอนฎีกา ศาลฎีกาอนุญาต จำหน่ายคดีโจทก์ทั้งสามออกจากสารบบความศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติว่า โจทก์ทั้งสามบุตรเป็นของนายชาลี กับนางแสงอรุณ โจทก์ทั้งสามเป็นทายาทโดยธรรมของนายชาลี จำเลยที่ 1 และนายชาลีเป็นบุตรของนายประยูร กับนางสุดใจ จำเลยที่ 2 เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของนายชาลี มีบุตรด้วยกัน 6 คน จำเลยที่ 3 เป็นบุตรคนหนึ่งของบุคคลทั้งสอง จำเลยที่ 1 เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายชาลี นายชาลีถึงแก่ความตายวันที่ 25 กรกฎาคม 2544 ขณะถึงแก่ความตายที่ดินพิพาทโฉนดตราจองเลขที่ 8026 พร้อมบ้านเลขที่ 262/1 ปลูกอยู่บนที่ดินแปลงนี้ เป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 2 กับนายชาลี จึงตกเป็นทรัพย์มรดกเฉพาะส่วนของนายชาลี ต่อมาที่ดินแปลงนี้มีการขอออกโฉนดเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 190849 วันที่ 20 พฤศจิกายน 2544 ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ตามคำสั่งคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1109/2544 หมายเลขแดงที่ 1484/2544 ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกฟ้องนางแสงอรุณเรียกทรัพย์มรดกของผู้ตายซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทในคดีนี้ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 153/2545 หมายเลขแดงที่ 1448/2546 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสของจำเลยที่ 2 กับผู้ตาย เป็นทรัพย์มรดกให้ขับไล่นางแสงอรุณออกจากบ้านเลขที่ 262/1 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 และศาลฎีกาพิพากษายืนในประเด็นดังกล่าว ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ในคดีดังกล่าว และคดีอยู่ในชั้นบังคับคดี วันที่ 17 สิงหาคม 2547 นางแสงอรุณในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้ใช้อำนาจปกครองของโจทก์ทั้งสามทำบันทึกข้อตกลงในชั้นบังคับคดี ตามบันทึกข้อตกลง ต่อมาจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องในคดีดังกล่าวอ้างว่า นางแสงอรุณผิดข้อตกลง ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ยกอุทธรณ์ของนางแสงอรุณ และเพิกถอนคำสั่งทุเลาการบังคับคดี ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า บันทึกข้อตกลงดังกล่าวมิใช่คำพิพากษาตามยอม ไม่มีผลผูกพันคู่ความ ตามคำสั่งวันที่ 27 พฤษภาคม 2548 นายประยูรยื่นคำร้องขอถอนจำเลยที่ 2 ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1109/2544 หมายเลขแดงที่ 1484/2544 ของศาลชั้นต้น วันที่ 9 มิถุนายน 2548 จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายขายที่ดินพิพาทโฉนดตราจองเลขที่ 8026 ให้แก่จำเลยที่ 3 ในวันเดียวกันนั้นจำเลยที่ 3 จดทะเบียนจำนองต่อธนาคาร ก. วันที่ 10 สิงหาคม 2548 จำเลยที่ 2 กับนายประยูรทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีที่นายประยูร ยื่นคำร้องขอถอนจำเลยที่ 2 ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ตามสัญญาประนีประนอมยอม วันที่ 15 สิงหาคม 2548 จำเลยที่ 3 ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทจากธนาคาร ก. วันที่ 1 ธันวาคม 2548 จำเลยที่ 3 ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 นำโฉนดตราจองที่ดินพิพาทขอออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 190849 วันที่ 29 พฤษภาคม 2549 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถอนจำเลยที่ 2 ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้วตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1109/2544 หมายเลขแดงที่ 1484/2544 ของศาลชั้นต้น ตามคำสั่ง วันที่ 26 ธันวาคม 2549 พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นจำเลยในข้อหาเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งศาล (ผู้จัดการมรดกของผู้ตาย) ยักยอกทรัพย์มรดกของผู้ตาย วันที่ 12 พฤศจิกายน 2550 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 354 ตามคำฟ้องและคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1544/2549 หมายเลขแดงที่ 1492/2550 ของศาลชั้นต้น วันที่ 16 ตุลาคม 2550 นายประยูรถึงแก่ความตาย วันที่ 13 มีนาคม 2551 ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายประยูร วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 จำเลยที่ 1 จำนองที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 190849 ไว้ต่อธนาคาร ซ. ยกคำขอกำจัดจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิให้รับมรดกของผู้ตาย โจทก์ทั้งสามมิได้ฎีกา จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ฎีกามีว่า โจทก์ทั้งสามมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 ผู้ขายกับจำเลยที่ 3 ผู้ซื้อ ฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2548 และสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 3 ผู้ขายกับจำเลยที่ 1 ผู้ซื้อ ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 หรือไม่ และจำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ข้อที่จำเลยที่ 1 ฎีกาในทำนองว่า โจทก์ทั้งสามสละมรดกที่ดินพิพาทโดยนางแสงอรุณมารดาผู้ใช้อำนาจปกครองของโจทก์ทั้งสามทำบันทึกตกลงสละมรดกของผู้ตายไว้เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2547 ขณะนางแสงอรุณทำบันทึกฉบับนี้โจทก์ทั้งสามเป็นผู้เยาว์อยู่ในอำนาจปกครองของนางแสงอรุณมารดาโจทก์ทั้งสามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566 และมาตรา 1574 ให้อำนาจผู้ใช้อำนาจปกครองทำนิติกรรมใด ๆ อันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ได้เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทผู้ใช้อำนาจปกครองต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนจึงจะทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์ได้ การสละมรดกของผู้เยาว์เป็นการกระทำให้สิ้นสุดลงทั้งหมดซึ่งทรัพยสิทธิของผู้เยาว์อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และเป็นการจำหน่ายไปทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งสิทธิเรียกร้องที่จะได้มาซึ่งทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้หรือสิทธิเรียกร้องที่จะให้ทรัพยสินเช่นว่านั้นของผู้เยาว์ปลอดจากทรัพยสิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินนั้น นางแสงอรุณจึงต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนทำบันทึกข้อตกลง ทั้งนี้ตามที่กำหนดไว้ใน มาตรา 1574 (2) (4) ไม่ปรากฏว่า นางแสงอรุณได้รับอนุญาตจากศาลให้ทำบันทึก ข้อตกลงแต่อย่างใด บันทึกข้อตกลง ที่นางแสงอรุณทำไว้ไม่มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสามไม่เป็นการสละมรดกที่ดินพิพาท ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาว่าโจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์ทั้งสามไม่ได้สละมรดก ดังนั้น จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย เป็นตัวแทนของทายาทในการจัดการทรัพย์มรดก มีหน้าที่จัดการทรัพย์มรดกโดยทั่วไปเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกและทายาท เพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719, 1723, 1724 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 ตามหนังสือสัญญาขาย เพื่อให้จำเลยที่ 3 นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองเป็นหลักประกันการกู้เงินจากธนาคาร ก. ตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดิน แล้วนำเงินที่ได้จากการกู้ยืมมาเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 ยังได้ความว่า จำเลยที่ 2 มอบเงินให้จำเลยที่ 3 ไปไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาท แล้วจำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งการให้จำเลยที่ 3 โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ตามหนังสือสัญญาขาย พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ว่า จำเลยที่ 2 ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 ตามหนังสือสัญญาขาย โดยมีความมุ่งหมายให้จำเลยที่ 3 นำที่ดินพิพาทไปเป็นหลักประกันในการกู้เงินจากธนาคาร ก. แทนจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ยังคงมีอำนาจสั่งการให้จำเลยที่ 3 จัดการเกี่ยวกับที่ดินพิพาทได้ตามความต้องการ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นเพียงตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในการถือที่ดินพิพาทไว้แทน ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของผู้ตายจึงยังเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย ส่วนการที่จำเลยที่ 2 สั่งให้จำเลยที่ 3 โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น เป็นการจัดการทรัพย์มรดกโดยชอบหรือไม่ เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1109/2544 หมายเลขแดงที่ 1484/2544 ของศาลชั้นต้น นายประยูรร้องขอถอนจำเลยที่ 2 จากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย จำเลยที่ 2 กับนายประยูรทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยมีข้อความตอนหนึ่งให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพาทให้แก่นายประยูรหรือแก่บุคคลที่นายประยูรกำหนด โดยทายาทคนอื่นไม่รู้เห็นยินยอมด้วย และทำไปเพื่อต้องการให้นายประยูรไปถอนฟ้องคดีอาญาจำเลยที่ 2 ข้อหายักยอก เป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 ไม่ใช่การจัดการทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกและทายาท เพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิที่จะกระทำให้มีผลผูกพันทรัพย์มรดกได้ คงมีผลผูกพันที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 เท่านั้น และไม่อาจอ้างสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งทำโดยผู้ไม่มีอำนาจกระทำนิติกรรมผูกพันทรัพย์มรดกได้มาบังคับใช้ให้ต้องโอนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกให้แก่จำเลยที่ 1 กรณีที่ผู้พิพากษาลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลเพื่อรับรู้ว่ามีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเท่านั้น ขณะจำเลยที่ 3 ตัวแทนของจำเลยที่ 2 โอนที่ดินพาทให้แก่จำเลยที่ 1 วันที่ 1 ธันวาคม 2548 จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2549 และนายประยูรยังมีชีวิต (ถึงแก่ความตายวันที่ 16 ตุลาคม 2550) จำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกของผู้ตายและไม่มีหน้าที่อย่างใดในกองมรดกของผู้ตาย ที่จำเลยที่ 2 เบิกความว่า โอนที่ดินพิพาทเพื่อให้จำเลยที่ 1 นำเข้ากองมรดกของผู้ตายเพื่อไปบริหารจัดการหนี้ของผู้ตาย และที่จำเลยที่ 1 ฎีกาในทำนองเดียวกันว่า เพื่อไปบริหารจัดการชำระหนี้ของผู้ตาย จึงฟังไม่ขึ้น เมื่อจำเลยที่ 3 ตัวแทนของจำเลยที่ 2 โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 โดยเป็นการจัดการทรัพย์มรดกโดยมิชอบ ไม่สุจริต และไม่มีสิทธิที่จะกระทำได้ จำเลยที่ 1 ซึ่งรับโอนที่ดินพิพาทไว้ก็ไม่มีสิทธิ ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของผู้ตายยังเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย โจทก์ทั้งสามมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2548 ระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และเพิกถอนสัญญาขายที่ดินพิพาท พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ได้เฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 โดยปลอดจากภาระจำนองที่ดินทั้งแปลง เพราะการจำนองที่ดินพิพาทต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคสอง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินพาท ฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2548 ระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และเพิกถอนสัญญาขายที่ดินพิพาท ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ทั้งแปลงรวมถึงที่ดินพิพาทในส่วนของจำเลยที่ 2 ด้วยซึ่งมิใช่ทรัพย์มรดกของผู้ตาย ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา เนื่องด้วยอำนาจกรรมสิทธิ์ จำเลยที่ 2 เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิจำหน่ายทรัพย์สินของตนได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336, 1361 วรรคหนึ่ง ดังนั้น คงเพิกถอนได้เฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกกึ่งหนึ่งของที่ดินพิพาท ส่วนปัญหาว่า จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามนับถัดจากวันฟ้องตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 หรือไม่ เพียงใดนั้น เห็นว่า โจทก์ทั้งสามเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 โดยยึดโยงจากการที่จำเลยที่ 1 ให้บุคคลอื่นเช่าบ้านเลขที่ 262/1 อยู่บนที่ดินพิพาท ขณะฟ้องไม่ปรากฏว่าสัญญาเช่าเลิกกันแต่อย่างใด เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรวมที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ทำสัญญาขายที่ดินพิพาท ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ก่อนจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าวันที่ 25 มิถุนายน 2557 จำเลยที่ 1 นำบ้านดังกล่าวออกให้บุคคลอื่นเช่า เป็นการจัดการทรัพย์สินตามธรรมดาเพื่อรักษาทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1358 วรรคสอง ซึ่งเจ้าของรวมคนใดคนหนึ่งมีสิทธิจัดการได้เสมอโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมคนอื่นก่อน แต่การที่จำเลยที่ 1 ให้เช่าบ้านเลขที่ 262/1 บนที่ดินพิพาทเป็นก่อให้เกิดภาระติดพัน บ้านเลขที่ 262/1 บนที่ดินพิพาท ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคสอง ฟ้องโจทก์ทั้งสามแสดงออกชัดว่า ไม่ยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำบ้านเลขที่ 262/1 บนที่ดินพิพาทออกให้เช่า การให้เช่าบ้านเลขที่ 262/1 บนที่ดินพิพาทจึงขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่น ๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1360 วรรคหนึ่ง โจทก์ทั้งสามในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกที่ดินพิพาทเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทของผู้ตาย จึงเป็นผู้เสียหายชอบที่จะใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดในส่วนของผู้ตายเพื่อประโยชน์แก่เจ้าของรวมทุกคน เรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และกรณีนี้ยังไม่ได้แบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท ต้องนำค่าเสียหายที่ได้รับมาเข้าเป็นกองมรดกของผู้ตาย เนื่องจากกองมรดกของผู้ตายได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดจนสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600 ค่าเสียหายตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 กำหนดให้เดือนละ 5,000 บาท จำเลยที่ 1 ไม่ได้ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 6 กำหนดให้สูงเกินไป ค่าเสียหายจึงเป็นไปตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 กำหนดไว้ ส่วนระยะเวลาการชดใช้ค่าเสียหายนั้นให้นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปตลอดระยะเวลาที่มีการเช่าบ้านเลขที่ 262/1 หรือจนกว่าจะมีการแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินพิพาท หรือจนกว่าจะไถ่ถอนจำนองเสร็จสิ้น แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 กำหนดระยะเวลาให้ถึงวันที่จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5), 246 และ 252 อนึ่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ทั้งสามดำเนินคดีโดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล และพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ทั้งสามได้รับยกเว้นแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท แต่มิได้สั่งให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระต่อศาลในนามของโจทก์ทั้งสามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 158 ศาลฎีกาจึงสั่งใหม่ให้ถูกต้อง พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนหนังสือสัญญาขายที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 8026 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2548 ระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และเพิกถอนหนังสือสัญญาขายที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 8026 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 เฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของนายชาลี กึ่งหนึ่ง ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายโดยนำเงินไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์เพื่อนำเข้ากองมรดกของผู้ตายดำเนินการจัดการทรัพย์มรดกต่อไป นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 กรกฎาคม 2559) เป็นต้นไปตลอดระยะเวลาที่มีการเช่าบ้านเลขที่ 262/1 หรือจนกว่าจะมีการแบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินพิพาท หรือจนกว่าจะไถ่ถอนจำนองเสร็จสิ้น แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 แต่ค่าธรรมเนียมศาลในศาลชั้นต้นที่จำเลยทั้งสามจะต้องใช้แทนโจทก์ทั้งสามตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระต่อศาลในนามของโจทก์ทั้งสาม ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2568 – เพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินมรดกเมื่อการโอนเป็นไปในทางเสียเปรียบกองมรดก Quick Summary: คดีนี้ศาลฎีกาวางหลักสำคัญเกี่ยวกับการเพิกถอนนิติกรรมโอนอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทรัพย์มรดกเมื่อการโอนก่อให้เกิดความเสียเปรียบแก่บุคคลผู้มีฐานะจะจดทะเบียนสิทธิได้อยู่ก่อน (เช่น ทายาทหรือกองมรดกเอง) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 ทั้งยังพิจารณาขอบเขตหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตามมาตรา 1719 และ 1723 ว่าต้องจัดการเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกและทายาท ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือบุคคลภายนอก การโอนที่ดินมรดกโดยอาศัยผู้รับโอนที่ “ไม่สุจริต” หรือรู้อยู่แล้วว่าการโอนนั้นขัดกับสิทธิของกองมรดก ย่อมเปิดช่องให้ทายาท/กองมรดกฟ้องเพิกถอนได้ ศาลยังเน้นว่าการพิจารณาความสุจริตของผู้รับโอนต้องดูพฤติการณ์ก่อน–ขณะ–หลังโอน เช่น การนำทรัพย์ไปจำนองเพื่อก่อหนี้ที่มิใช่ของกองมรดก หรือการหมุนเวียนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวผู้จัดการมรดก ซึ่งสะท้อนเจตนาจัดการเพื่อประโยชน์ส่วนตน กรณีนี้จึงรับฟังได้ว่าเป็นการโอนเสียเปรียบกองมรดก ต้องเพิกถอนเฉพาะส่วนที่กระทบสิทธิของกองมรดกและทายาท และจัดให้ทรัพย์กลับคืนสภาพก่อนโอนตามมาตรา 1300 อันเป็นแนวที่สอดคล้องกับ 1649/2567 ที่เพิกถอนเฉพาะสัดส่วนทรัพย์มรดกของผู้ตายและตัดภาระจำนองที่เกิดโดยปราศจากความยินยอมเจ้าของรวมทั้งหมดตามมาตรา 1361 วรรคสอง. 2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1480/2563 – ผู้จัดการมรดกมีอำนาจโอนทรัพย์ในบางกรณี แต่ต้องไม่ขัดหน้าที่และหลักสุจริต Quick Summary: คดีนี้ช่วยทำความเข้าใจ “เส้นบาง ๆ” ระหว่างอำนาจของผู้จัดการมรดกตามมาตรา 1719, 1723 กับการใช้สิทธิที่เกินขอบเขตหน้าที่ ศาลอธิบายว่าผู้จัดการมรดกอาจโอนทรัพย์มรดกให้ “ตนเอง” ในฐานะทายาทได้ หากเป็นไปภายใต้กรอบแห่งหน้าที่เพื่อประโยชน์กองมรดกและมิได้ทำให้ทายาทอื่นเสียเปรียบ และผู้รับโอนต้องสุจริต โดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการโอน การชำระหนี้ของกองมรดก ความโปร่งใส และการรับรู้ของทายาทอื่น ๆ หากพบว่าการโอนถูกใช้เป็นเครื่องมือเบี่ยงทรัพย์ให้พ้นจากกองมรดก หรือก่อหนี้/ภาระที่ไม่ใช่ของกองมรดก เช่น นำไปจำนองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ย่อมเป็นการฝ่าฝืนหน้าที่และเปิดช่องให้ฟ้องเพิกถอนตามมาตรา 1300 ได้ ประเด็นนี้เทียบได้กับ 1649/2567 ที่ศาลชี้ให้เห็นว่า แม้ผู้จัดการมรดกจะอ้างสัญญาประนีประนอม/ความตกลงกับญาติผู้ใหญ่เพื่อบริหารจัดการ แต่เมื่อเจตนาที่แท้จริงมุ่งประโยชน์ของตนเองและนำไปสู่การโอนต่อโดยตัวแทน ย่อมไม่สุจริตและไม่ผูกพันส่วนทรัพย์ของกองมรดก ทำให้เพิกถอนได้เฉพาะส่วนของผู้ตายตามมาตรา 1300 พร้อมพิจารณาภาระจำนองตามมาตรา 1361 วรรคสอง. 3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8308/2561 – การทำสัญญา/ยอมความแทนผู้เยาว์โดยไม่ขออนุญาตศาล “ไม่ผูกพันผู้เยาว์” Quick Summary: คดีนี้เป็นแนวสำคัญเกี่ยวกับมาตรา 1574 ในมิติ “ผลทางกฎหมาย” ของนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินผู้เยาว์ที่ทำโดยผู้ใช้อำนาจปกครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล ศาลฎีกาวางหลักชัดเจนว่า ตัวบทไม่ได้กำหนดให้ “โมฆะ” แต่เป็น “ไม่ผูกพันผู้เยาว์” ผู้มีสิทธิยกความไม่ผูกพันขึ้นอ้างได้คือผู้เยาว์ (หรือภายหลังเป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้วก็ยังยกขึ้นอ้างได้) กรณีมีการทำสัญญาประนีประนอม/ยอมความที่มีผลลด–สละ–จำหน่ายทรัพยสิทธิของผู้เยาว์ในอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ หากไม่ได้รับอนุญาตศาลล่วงหน้า นิติกรรมดังกล่าวย่อมไม่ผูกพันผู้เยาว์ แนวนี้สอดรับกับ 1649/2567 ที่ศาลชี้ว่า “บันทึกข้อตกลงสละมรดก” ซึ่งมารดาทำแทนบุตรผู้เยาว์โดยไม่ขออนุญาตศาล ไม่ผูกพันผู้เยาว์และไม่ถือเป็นการสละมรดก ส่งผลให้ทายาทผู้เยาว์ยังมีอำนาจฟ้องเพิกถอนสัญญาซื้อขายและการโอนที่ดินเฉพาะส่วนทรัพย์มรดกของผู้ตาย รวมถึงอาศัยมาตรา 1361 วรรคสอง จัดการกับภาระจำนอง/สัญญาเช่าที่ก่อภาระในทรัพย์รวมโดยมิได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน. 4. แนวคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์รวมและการก่อภาระติดพันในทรัพย์รวม – ฎีกาที่ 9761/2555 และคดีว่าด้วย “จำนอง/เช่าในทรัพย์รวม” Quick Summary: ในข้อพิพาททรัพย์สินที่เป็น “กรรมสิทธิ์รวม” ศาลฎีกาถือหลักตามมาตรา 1361 วรรคสองว่า การก่อภาระติดพัน “ต่อตัวทรัพย์” (เช่น จำนอง หรือการให้เช่าที่ก่อภาระติดพันแก่ทรัพย์) ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวม “ทุกคน” หากขาดความยินยอม สัญญาย่อมขัดต่อสิทธิของเจ้าของรวมอื่นและเป็นเหตุให้เจ้าของรวมผู้อื่นฟ้องคุ้มครองสิทธิได้ เช่น แนวคำวินิจฉัยที่ว่า “การจดทะเบียนจำนองทรัพย์รวมโดยเจ้าของรวมเพียงคนเดียว ไม่ชอบด้วยมาตรา 1361 วรรคสอง” และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9761/2555 ซึ่งตอกย้ำฐานะสิทธิของเจ้าของรวมและการใช้สิทธิทางศาล (เช่น ฟ้องแบ่งกรรมสิทธิ์รวม) โดยไม่ตกอยู่ใต้ข้อจำกัดอายุความ 1 ปีในบางกรณี ประเด็นเหล่านี้สัมพันธ์โดยตรงกับ 1649/2567 ที่ศาลสั่งให้การให้เช่าบ้านบนที่ดินทรัพย์รวมต้องเคารพสิทธิของเจ้าของรวมอื่น การให้เช่าที่ก่อ “ภาระติดพันแก่ทรัพย์” โดยไม่ยินยอมจึงขัดมาตรา 1361 วรรคสอง และเจ้าของรวมคนอื่นย่อมเรียกค่าเสียหายจากผู้ที่ก่อภาระโดยพลการได้. 5. บทวิเคราะห์ทางวิชาการศาลยุติธรรม: ผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์ให้บุคคลภายนอก
Quick Summary: เอกสารวิชาการของศาลยุติธรรมได้สรุปแนวที่สอดคล้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาหลายฉบับว่า เมื่อผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ให้บุคคลภายนอกโดยขัดต่อประโยชน์กองมรดกหรือทำให้ทายาทเสียเปรียบ ข้อพิพาทเรื่อง “ใครมีสิทธิดีกว่า” ระหว่างทายาทกับผู้รับโอนภายนอก ต้องชั่งตามมาตรา 1300 ว่าทายาท/กองมรดกเป็น “บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน” หรือไม่ หากใช่ ย่อมเรียกเพิกถอนได้ และต้องพิจารณาความสุจริตของผู้รับโอนอย่างเคร่งครัด แนวคิดนี้ประยุกต์ใช้โดยตรงใน 1649/2567 ที่เห็นว่าการขาย/โอนต่อโดย “ตัวแทน” ของผู้จัดการมรดกเพื่อวัตถุประสงค์นอกเหนือการบริหารกองมรดก (เช่น เพื่อแลกกับการถอนฟ้องคดีอาญาของผู้จัดการมรดกเอง) เป็นการจัดการที่ไม่สุจริต ไม่ชอบด้วยหน้าที่ และเพิกถอนได้เฉพาะส่วนทรัพย์ของผู้ตาย พร้อมตัดภาระจำนองที่วางบนทรัพย์รวมโดยขาดความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน |





