ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด, การขยายเวลาชำระหนี้, ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน

ท นาย อาสา ฟรี

 

 

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด, การขยายเวลาชำระหนี้, ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน

การพักชำระหนี้ตามมาตรการโควิด-19 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเสนอ เป็นเพียงการขอความร่วมมือ มิใช่คำสั่งบังคับ การขยายเวลาชำระหนี้ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 700 มิฉะนั้น ผู้ค้ำประกันพ้นจากความรับผิดในสัญญา

*สรุปบทความ: มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในสถานการณ์โรคโควิด-19 และผลกระทบต่อผู้ค้ำประกัน*

มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งต่อสถาบันการเงินนั้น เป็นเพียงการขอความร่วมมือ มิใช่คำสั่งบังคับ สถาบันการเงินไม่จำเป็นต้องขยายระยะเวลาชำระหนี้ตามสัญญา แต่หากเลือกดำเนินการ จะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ที่เกี่ยวข้องกับหลักประกันและผู้ค้ำประกัน 

กรณีนี้ โจทก์ (เจ้าหนี้) ผ่อนปรนการชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 (ลูกหนี้) โดยพักชำระหนี้ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงกันยายน 2563 รวม 6 งวด และขยายระยะเวลาการชำระหนี้งวดสุดท้ายจากเดิมที่กำหนดในเดือนธันวาคม 2567 เป็นเดือนมิถุนายน 2568 แม้ว่าการพักชำระหนี้นี้ไม่ได้เปลี่ยนจำนวนงวด แต่ถือเป็นการผ่อนเวลาชำระหนี้ ทำให้ในระหว่างนี้โจทก์ไม่อาจฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้อได้ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่ถือว่าผิดนัด

อย่างไรก็ตาม การพักชำระหนี้ดังกล่าวส่งผลให้ภาระของจำเลยที่ 2 (ผู้ค้ำประกัน) ยาวนานขึ้นตามเงื่อนไขใหม่ของสัญญา การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเข้าข่ายการผ่อนเวลาชำระหนี้ตาม **ป.พ.พ. มาตรา 700 วรรคหนึ่ง** ซึ่งกำหนดให้การผ่อนเวลาชำระหนี้ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน หากไม่มีความยินยอม ผู้ค้ำประกันย่อมพ้นจากความรับผิด 

ในกรณีนี้ โจทก์ไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 2 ในการขยายระยะเวลาชำระหนี้ จึงทำให้จำเลยที่ 2 หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน

ประเด็นสำคัญ**  

การพักชำระหนี้แม้ช่วยลูกหนี้ในระยะสั้น แต่มีผลกระทบต่อความรับผิดของผู้ค้ำประกัน หากการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขไม่ได้รับการยินยอมจากผู้ค้ำประกัน สัญญาค้ำประกันจะไม่ผูกพันตามกฎหมายอีกต่อไป

ข้อกฎหมายอ้างอิง**  

ป.พ.พ. มาตรา 700 วรรคหนึ่ง**: การผ่อนเวลาชำระหนี้ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน มิฉะนั้นผู้ค้ำประกันจะพ้นจากความรับผิด

 

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2528/2567

มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแจ้งไปยังสถาบันการเงินตามสำเนาหนังสือธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่มีลักษณะเป็นคำสั่งการที่บังคับให้สถาบันการเงินต้องปฏิบัติ หากแต่เป็นเพียงการขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินเท่านั้น และตามสำเนาหนังสือธนาคารแห่งประเทศไทย ลงวันที่ 26 มีนาคม 2563 ข้อ 2 (3) ระบุชัดเจนว่าการดำเนินการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ตามมาตรการนี้ สถาบันการเงินไม่จำเป็นต้องขยายระยะเวลาการชำระหนี้เสร็จสิ้นตามสัญญา แต่หากมีการขยายระยะเวลาการชำระหนี้เสร็จสิ้นตามสัญญาออกไปก็ขอให้ถือปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวกับหลักประกันและผู้ค้ำประกัน การที่โจทก์มีหนังสือแจ้งผลการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไปยังจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์ผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ตามที่กำหนดในสัญญาเช่าซื้อตั้งแต่งวดเดือนเมษายน 2563 ถึงงวดเดือนกันยายน 2563 รวม 6 งวด แล้วให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดเดือนตุลาคม 2563 ถึงงวดเดือนมิถุนายน 2568 แทนนั้น แม้จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงจำนวนงวดที่ต้องชำระค่าเช่าซื้อ เพราะจำเลยที่ 1 ยังต้องชำระค่าเช่าซื้อให้เสร็จสิ้นภายใน 72 งวด แต่ก็เป็นผลให้ในระหว่างนี้โจทก์ไม่อาจใช้สิทธิฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้อโดยถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดได้ และการจะพักชำระหนี้ตามมาตรการดังกล่าวหรือไม่ยังต้องคำนึงถึงเจตนาของคู่สัญญาเป็นสำคัญ ดังจะเห็นได้จากข้อความตอนท้ายของหนังสือที่โจทก์มีไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ให้จำเลยที่ 1 แสดงความไม่ประสงค์ให้โจทก์ทราบภายในกำหนดด้วย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าการพักชำระหนี้ค่าเช่าซื้อแต่ละงวดเป็นเพียงชะลอการผิดนัดของลูกหนี้ในระหว่างสัญญาเท่านั้น เมื่อค่าเช่าซื้องวดสุดท้ายที่เดิมถึงกำหนดชำระเดือนธันวาคม 2567 ถูกขยายระยะเวลาไปอีก 6 เดือน เป็นเดือนมิถุนายน 2568 การพักชำระหนี้ตามมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยจึงมีลักษณะเป็นการผ่อนเวลาชำระหนี้ อันเป็นผลให้จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันต้องรับภาระผูกพันตามสัญญายาวนานขึ้นจากที่ระบุในสัญญา หากโจทก์จะให้ความช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อ ด้วยการขยายระยะเวลาชำระหนี้เสร็จสิ้นอันเป็นการผ่อนเวลาออกไปในส่วนของจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันนั้นก็ต้องอยู่ในบังคับของ ป.พ.พ. มาตรา 700 วรรคหนึ่ง คือ ต้องให้จำเลยที่ 2 ตกลงด้วยในการผ่อนเวลานั้น การที่โจทก์เพียงมีหนังสือแจ้งผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ด้วยการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ตกลงยินยอมในการขยายระยะเวลาชำระหนี้ด้วย จึงมีผลให้จำเลยที่ 2 หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันไปตามบทกฎหมายดังกล่าว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 553,645.47 บาท ดอกเบี้ยช่วงพักชำระหนี้ 17,030.22 บาท ค่าขาดประโยชน์นับแต่จำเลยที่ 1 ผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 9 เดือน เป็นเงิน 45,000 บาท และค่าขาดประโยชน์ต่อไปอีกเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทน พร้อมชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 598,645.47 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 351,873 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 13 สิงหาคม 2564) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าขาดประโยชน์ 36,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และชำระค่าขาดประโยชน์อีกเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทน แต่ทั้งนี้ไม่เกิน 6 เดือน หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ ให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แทน เฉพาะค่าขาดประโยชน์ให้ชำระ 8,000 บาท กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 351,873 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา (พิพากษาวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามที่โจทก์อุทธรณ์ และให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ 36,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 13 สิงหาคม 2564) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามที่โจทก์อุทธรณ์ และให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายอีกเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทนเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ไม่เกิน 6 เดือน กับให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยระหว่างพักชำระหนี้ 17,030.22 บาท ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันรับฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ในราคา 691,290.47 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตกลงชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดรายเดือน รวม 72 งวด เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 1 มกราคม 2562 และงวดต่อไปทุกวันที่ 1ของทุกเดือน งวดที่ 1 ถึงงวดที่ 12 งวดละ 7,275 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) งวดที่ 13 ถึงงวดที่ 71 งวดละ 10,069 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) งวดที่ 72 ชำระ 9,919.47 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และสัญญาค้ำประกัน หลังทำสัญญาจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อ 17 งวด เป็นเงิน 137,645บาท โจทก์พักชำระหนี้ให้ 6 เดือน โดยคิดดอกเบี้ยระหว่างพักชำระหนี้อัตราร้อยละ 9.18 ต่อปี เป็นเงิน 17,030.22 บาท แล้วจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 18 ประจำวันที่ 1 ธันวาคม 2563 สามงวดติดต่อกันเป็นต้นมา โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าซื้อและบอกเลิกสัญญาภายใน 30 วัน แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ตามหนังสือ เรื่อง ให้ชำระหนี้และบอกเลิกสัญญาพร้อมใบไปรษณีย์ตอบรับในประเทศ

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า โจทก์ผ่อนเวลาให้จำเลยที่ 1 ลูกหนี้อันมีผลให้จำเลยที่ 2 หลุดพ้นจากความรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์มีหนังสือแจ้งผลการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไปยังจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์ผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ตามที่กำหนดในสัญญาเช่าซื้อตั้งแต่งวดเดือนเมษายน 2563 ถึงงวดเดือนกันยายน 2563 รวม 6 งวด แล้วให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดเดือนตุลาคม 2563 ถึงงวดเดือนมิถุนายน 2568 แทน นั้น แม้จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงจำนวนงวดที่ต้องชำระค่าเช่าซื้อ เพราะจำเลยที่ 1 ยังต้องชำระค่าเช่าซื้อให้เสร็จสิ้นภายใน 72 งวด แต่ก็เป็นผลให้จำเลยที่ 1 ไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้องวดเดือนเมษายน 2563 ถึงงวดเดือนกันยายน 2563 โดยไม่ถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัด ซึ่งในระหว่างนี้โจทก์ไม่อาจใช้สิทธิฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้อได้ ทั้งค่าเช่าซื้องวดสุดท้ายที่เดิมถึงกำหนดชำระเดือนธันวาคม 2567 ยังถูกขยายระยะเวลาไปอีก 6 เดือน เป็นเดือนมิถุนายน 2568 การพักชำระหนี้ที่เป็นการช่วยเหลือลูกหนี้ตามมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยจึงมีลักษณะเป็นการผ่อนเวลาชำระหนี้ อันเป็นผลให้จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันต้องรับภาระผูกพันตามสัญญายาวนานขึ้นจากที่ระบุในสัญญา ทั้งมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแจ้งไปยังสถาบันการเงิน ไม่มีลักษณะเป็นคำสั่งการที่บังคับให้สถาบันการเงินต้องปฏิบัติ หากแต่เป็นเพียงการขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินเท่านั้น ซึ่งโจทก์เองก็ยอมรับในข้อนี้ การจะพักชำระหนี้ตามมาตรการดังกล่าวหรือไม่จึงยังต้องคำนึงถึงเจตนาของคู่สัญญาเป็นสำคัญ ดังจะเห็นได้จากข้อความตอนท้ายของหนังสือที่โจทก์มีไปถึงจำเลยที่ 1 ที่ให้จำเลยที่ 1 แสดงความไม่ประสงค์ให้โจทก์ทราบภายในกำหนดด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามสำเนาหนังสือธนาคารแห่งประเทศไทย ลงวันที่ 26 มีนาคม 2563 ข้อ 2 (3) ยังกล่าวชัดเจนว่าการดำเนินการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ตามมาตรการนี้ สถาบันการเงินไม่จำเป็นต้องขยายระยะเวลาการชำระหนี้เสร็จสิ้นตามสัญญา แต่หากมีการขยายระยะเวลาการชำระหนี้เสร็จสิ้นตามสัญญาออกไปก็ขอให้ถือปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวกับหลักประกันและผู้ค้ำประกัน อันเป็นการย้ำให้เห็นว่าการพักชำระหนี้ค่าเช่าซื้อแต่ละงวดตามมาตรการดังกล่าวเป็นเพียงให้ชะลอการผิดนัดของลูกหนี้ในระหว่างสัญญาเท่านั้น ดังนั้น หากโจทก์จะให้ความช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อ ด้วยการขยายระยะเวลาชำระหนี้เสร็จสิ้นอันเป็นการผ่อนเวลาออกไปในส่วนของจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันนั้นก็ต้องอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ ต้องให้จำเลยที่ 2 ตกลงด้วยในการผ่อนเวลานั้น การที่โจทก์เพียงมีหนังสือแจ้งผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ด้วยการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ตกลงยินยอมในการขยายระยะเวลาชำระหนี้ด้วย จึงมีผลให้จำเลยที่ 2 หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันไปตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

1. สัญญาเช่าซื้อรถยนต์ 

2. ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน 

3. พักชำระหนี้ตามมาตรการธนาคารแห่งประเทศไทย 

4. การขยายเวลาชำระหนี้  

5. มาตรา 700 วรรคหนึ่ง  

6. ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด 

7. สิทธิของเจ้าหนี้และลูกหนี้ในสัญญาเช่าซื้อ 

8. คำพิพากษาศาลฎีกาคดีผู้บริโภค  

สรุปคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีเช่าซื้อรถยนต์**

โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 และ 2 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน พร้อมดอกเบี้ยและค่าขาดประโยชน์ จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์คืนหรือชำระราคาแทน 351,873 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าขาดประโยชน์ และกำหนดให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แทนในบางส่วน 

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แก้คำพิพากษาให้ดอกเบี้ยอัตราใหม่ตามประกาศกระทรวงการคลัง และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 โดยเห็นว่าการที่โจทก์พักชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 ตามมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย ถือเป็นการผ่อนเวลาชำระหนี้ ทำให้จำเลยที่ 2 หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน เนื่องจากไม่มีการยินยอมจากจำเลยที่ 2

ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ว่า การพักชำระหนี้ดังกล่าวส่งผลให้จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน เพราะไม่มีการตกลงยินยอมจากจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 วรรคหนึ่ง ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

**พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ**

**หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 วรรคหนึ่ง**  

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ *มาตรา 700 วรรคหนึ่ง* ระบุว่า:

"ถ้าลูกหนี้ได้ตกลงกับเจ้าหนี้ให้ขยายเวลาชำระหนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันจะพ้นจากความรับผิดสำหรับหนี้ที่ได้ค้ำประกันไว้"

*คำอธิบายหลักกฎหมาย*  

1. *การผ่อนเวลาชำระหนี้ (Extension of Time)* 

   การผ่อนเวลาชำระหนี้หมายถึงการที่เจ้าหนี้และลูกหนี้ตกลงกันเพื่อขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาชำระหนี้ออกไปจากที่ระบุไว้ในสัญญาเดิม เช่น การพักชำระหนี้ หรือการขยายกำหนดเวลาการชำระหนี้ตามมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้

2. *ผลต่อผู้ค้ำประกัน* 

  หากเจ้าหนี้ตกลงขยายเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ *โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน* จะถือว่าผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดชอบในหนี้นั้น  

 - เหตุผลคือการขยายเวลาชำระหนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงและภาระต่อผู้ค้ำประกันเกินกว่าที่ได้ตกลงไว้ในสัญญาเดิม ดังนั้น กฎหมายจึงกำหนดให้ผู้ค้ำประกันต้องยินยอมต่อการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขดังกล่าว มิฉะนั้นความรับผิดของผู้ค้ำประกันจะสิ้นสุดลง

3. *การคุ้มครองสิทธิของผู้ค้ำประกัน*  

   กฎหมายมุ่งเน้นการคุ้มครองสิทธิของผู้ค้ำประกันที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในข้อตกลงใหม่ระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ เพราะการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสัญญา เช่น การผ่อนเวลาชำระหนี้ อาจส่งผลให้ภาระของผู้ค้ำประกันหนักขึ้นหรือยาวนานขึ้นจากที่ตกลงไว้เดิม

*ตัวอย่างในบทความ*  

ในคดีนี้ โจทก์ (เจ้าหนี้) ได้ขยายเวลาชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 (ลูกหนี้) ตามมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 2 (ผู้ค้ำประกัน) แม้การช่วยเหลือดังกล่าวจะเป็นผลจากมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ก็ไม่ได้บังคับให้สถาบันการเงินต้องดำเนินการ และโจทก์ได้ดำเนินการขยายเวลาชำระหนี้โดยลำพัง การที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ตกลงยินยอมในส่วนนี้ ทำให้จำเลยที่ 2 พ้นจากความรับผิดตามหลักกฎหมายในมาตรา 700 วรรคหนึ่ง

สรุปความสำคัญ

หลักการในมาตรา 700 วรรคหนึ่ง ย้ำความสำคัญของการปกป้องสิทธิของผู้ค้ำประกันในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสัญญา ผู้ค้ำประกันต้องได้รับการยินยอมก่อนเพื่อคงความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายในสัญญา

*ความหมายของการที่ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 วรรคหนึ่ง ระบุว่า หากเจ้าหนี้ตกลงขยายเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันจะพ้นจากความรับผิดในหนี้นั้น เนื่องจากการขยายเวลาชำระหนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงหรือภาระให้แก่ผู้ค้ำประกันเกินกว่าที่ตกลงไว้เดิม ดังนั้น กฎหมายจึงกำหนดให้ผู้ค้ำประกันต้องยินยอมต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มิฉะนั้น ความรับผิดของผู้ค้ำประกันจะสิ้นสุดลง

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

กรณีที่ศาลฎีกาพิพากษาให้ผู้ค้ำประกันชนะคดี (หลุดพ้นจากความรับผิด)

1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3513/2551 เจ้าหนี้ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ โดยผ่อนเวลาชำระหนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน ศาลวินิจฉัยว่าผู้ค้ำประกันพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 700 วรรคหนึ่ง 

2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3347/2529 โจทก์ผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน แม้สัญญาค้ำประกันจะมีข้อความให้ถือว่าผู้ค้ำประกันยินยอมในการผ่อนเวลา แต่ศาลเห็นว่าข้อความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญที่พิมพ์ไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่เจตนาที่แท้จริงของคู่กรณี จึงตกเป็นโมฆะ และผู้ค้ำประกันพ้นจากความรับผิด 

3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 101/2562 โจทก์มีหนังสือแจ้งให้ผู้ค้ำประกันทราบถึงการผิดนัดของลูกหนี้เมื่อพ้นกำหนด 60 วันตามมาตรา 686 วรรคหนึ่ง ทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน 

4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3513/2551 เจ้าหนี้ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ โดยผ่อนเวลาชำระหนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน ศาลวินิจฉัยว่าผู้ค้ำประกันพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 700 วรรคหนึ่ง

กรณีที่ศาลฎีกาพิพากษาให้ผู้ค้ำประกันแพ้คดี (ไม่หลุดพ้นจากความรับผิด)

1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4769/2547 การที่โจทก์ไม่ได้ยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนทันทีเมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา และปล่อยเวลาให้ล่วงเลย 8 เดือน จึงมิใช่การผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ และผู้ค้ำประกันไม่หลุดพ้นจากความรับผิด 

2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 319/2561 โจทก์ยอมรับชำระหนี้บางส่วนจากผู้ค้ำประกัน ย่อมเป็นประโยชน์แก่โจทก์เฉพาะเท่าที่ปลดหนี้ให้ เมื่อยังมีหนี้ส่วนที่เหลือ ลูกหนี้ชั้นต้นต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้อีกจนครบจำนวน และไม่หลุดพ้นจากความรับผิด 

3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2790/2549 แม้จำเลยจะได้รับเวนคืนหนังสือค้ำประกัน แต่หนี้ยังไม่ระงับสิ้นไป ผู้ค้ำประกันจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้ดังกล่าว 

4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3347/2529 แม้สัญญาค้ำประกันจะมีข้อความให้ถือว่าผู้ค้ำประกันยินยอมในการผ่อนเวลา แต่ศาลเห็นว่าข้อความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญที่พิมพ์ไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่เจตนาที่แท้จริงของคู่กรณี จึงตกเป็นโมฆะ และผู้ค้ำประกันพ้นจากความรับผิด 

สรุป การที่ผู้ค้ำประกันจะหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 700 วรรคหนึ่ง ขึ้นอยู่กับการที่เจ้าหนี้ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน หากมีการผ่อนเวลาโดยไม่ได้รับความยินยอม ผู้ค้ำประกันย่อมพ้นจากความรับผิด แต่หากไม่มีการผ่อนเวลาหรือได้รับความยินยอม ผู้ค้ำประกันยังคงต้องรับผิดตามสัญญา 




นิติกรรม

ผู้อนุบาลและคนไร้ความสามารถ, สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์เป็นโมฆียะ, การบอกล้างโมฆียะกรรม
เพิกถอนนิติกรรมวิกลจริต, การบอกล้างโมฆียกรรม, นิติกรรมของผู้ป่วยจิตเวช, โมฆียกรรมกลายเป็นโมฆะ
คดีเลิกสัญญาก่อสร้าง, สิทธิในเบี้ยปรับตามกฎหมาย, เบี้ยปรับในสัญญาก่อสร้าง
ความรับผิดของผู้รับประกันภัย, รถสูญหาย, ถูกเพลิงไหม, การละทิ้งความครอบครองรถยนต์
คดีเกี่ยวกับการบุกรุกป่าสงวน, ข้อกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินรัฐ, สิทธิการครอบครองที่ดินชั่วคราว
เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดิน, การปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจโอนที่ดิน, ค่าสินไหมทดแทนจากการละเมิด
กฎหมายกู้ยืมเงิน, หลักฐานการกู้ยืมเงิน, ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์, การกู้ยืมเงินในไลน์และเฟสบุค
นิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์
หลักฐานการกู้ยืมเงิน, การลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืม, การพิสูจน์การชำระหนี้
คดีผู้บริโภค, การใช้สิทธิไม่สุจริต, ความสุจริตในการชำระหนี้, มาตรฐานทางการค้า
สัญญาประนีประนอมยอมความ, การรังวัดที่ดินแนวเขต, อำนาจฟ้อง,
สัญญานายหน้าและค่านายหน้า, กฎหมายลาภมิควรได้, การบอกเลิกสัญญานายหน้าโดยไม่สุจริต
สัญญาซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะ, นิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน
กู้ยืมเงินไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ
ผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรสละมรดกของบุตรผู้เยาว์ไม่ได้
การทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์
หนังสือสัญญากู้เงินตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์
การซื้อขายที่ดินตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150
ผู้รับจำนองมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นโดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีเจ้าหนี้อื่นมาขอเฉลี่ยหนี้
สัญญาเช่าที่ดินซึ่งเป็นเจ้าของรวม
การโอนที่ดินในระยะเวลาห้ามโอนเป็นโมฆะ
สิทธิบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด
คำสั่งงดสืบพยานจำเลย
สัญญาจะซื้อจะขายมีผลอย่างไรกับสัญญาซื้อขาย
หนังสือมอบอำนาจ พิมพ์ลายนิ้วมือ
กฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยฝ่าฝืนเป็นโมฆะ | ดอกเบี้ยผิดนัด
สิทธิของผู้รับจำนองเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้เรียกว่า"บุริมสิทธิ"
ยืนยันข้อเท็จจริงหลายทางไม่อาจเป็นไปได้ในคราวเดียวกัน จึงไม่ขัดแย้งกันเอง
สัญญาที่ทำขึ้นโดยไม่มีเจตนาแท้จริงให้ผูกพันกัน
ความรับผิดในคดีแพ่งต้องอาศัยมูลมาจากการกระทำความผิดในทางอาญา
นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย, ฝ่าฝืนกฎหมาย
อำนาจฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการจำหน่ายที่ดินเพื่อชำระเป็นเงินให้คนต่างด้าว
ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมให้สินสมรสเมื่อผู้ให้ตายแล้วไม่ต้องฟ้องผู้จัดการมรดกก็ได้
ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินสินสมรส
การขายอสังหาริมทรัพย์ของบุตรผู้เยาว์จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน
ผลของการบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขาย คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิม
นิติกรรมอำพรางคู่กรณีต้องแสดงเจตนาทำนิติกรรมขึ้นสองนิติกรรม
องค์ประกอบของนิติกรรม
สัญญารับเหมาก่อสร้างเลิกกัน คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม
สัญญาซื้อขายที่ดินเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน
ทำสัญญากู้ยืมเงินในฐานะผู้แทนของสมาคมไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
แม้ดอกเบี้ยเป็นโมฆะแต่ยังต้องรับผิดต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยผิดนัด
ข้อตกลงให้ผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ชำระค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ขายที่ดินห้ามโอนภายใน 10 ปีเป็นการสละการครอบครอง
สิทธิได้รับค่าตอบแทนก่อนบอกเลิกสัญญาตัวแทนประกันชีวิต
ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประกันชีวิต-อ้างถูกฉ้อฉลให้ทำสัญญา
ผู้รับประกันภัยได้รับประกันวินาศภัยไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ
ลูกหนี้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเกินอัตราเป็นโมฆะต้องนำมาหักเป็นต้นเงิน
สัญญาเช่าบ้านภายหลังการซื้อขาย
ผู้จะขายไม่ได้รับใบอนุญาตให้จัดสรรที่ดินผู้จะซื้อไม่รู้สัญญาไม่เป็นโมฆะ
ผู้แทนโดยชอบธรรมทำสัญญาขายไม้มรดกส่วนของผู้เยาว์-ไม่ต้องขออนุญาตศาลก่อน
คู่สัญญามีอำนาจฟ้องให้โอนทรัพย์สินให้บุตรได้
การฟ้องคดีแพ่งมิใช่เป็นการทำนิติกรรม
การกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในสัญญาถือว่าเป็นเบี้ยปรับ
จดทะเบียนจำนองที่ดินเฉพาะส่วนของตน
สิทธิในการเช่าซื้อเป็นมรดกหรือไม่?