

ผู้แทนโดยชอบธรรมทำสัญญาขายไม้มรดกส่วนของผู้เยาว์-ไม่ต้องขออนุญาตศาลก่อน ผู้แทนโดยชอบธรรมทำสัญญาขายไม้มรดกส่วนของผู้เยาว์-ไม่ต้องขออนุญาตศาลก่อน ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ทำสัญญาขายไม้เคี่ยมในส่วนที่เป็นของผู้เยาว์ มิใช่เป็นการนำทรัพย์สินของผู้เยาว์ไปแสวงหาผลประโยชน์อันจำเป็นต้องขออนุญาตต่อศาลก่อน สัญญาซื้อขายไม้เคี่ยมมีผลสมบูรณ์บังคับกันได้ตามกฎหมายจำเลยในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1394/2545
จำเลยในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ทำสัญญาขายไม้เคี่ยมในส่วนที่เป็นของผู้เยาว์กับโจทก์ มิใช่เป็นการนำทรัพย์สินของผู้เยาว์ไปแสวงหาผลประโยชน์อันจำเป็นต้องขออนุญาตต่อศาลก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1574(11) หากแต่เป็นการทำสัญญาขายอสังหาริมทรัพย์ของผู้เยาว์ ซึ่งไม่ขัดต่อมาตรา 1574 เพราะไม่เป็นกรณีที่ต้องห้ามตามมาตรา 1574 สัญญาซื้อขายไม้เคี่ยมมีผลสมบูรณ์บังคับกันได้ตามกฎหมายจำเลยในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2538 จำเลยในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายปิยะวุฒิ และเด็กหญิงปวันรัตน์ ได้ทำสัญญาจะขายไม้เคี่ยม 500 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายทวี สามีจำเลย ในราคาลูกบาศก์เมตรละ 2,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,000,000 บาท ให้แก่โจทก์ โดยในวันทำสัญญาจำเลยได้รับเงินมัดจำจากโจทก์ 50,000 บาท และตกลงให้จำเลยส่งมอบไม้เคี่ยมให้แก่โจทก์เสร็จสิ้นภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันทำสัญญาหากผิดนัดจำเลยยอมให้โจทก์ปรับเป็นเงิน 1 เท่า ของราคาค่าไม้ทั้งหมด แต่ถ้าหากโจทก์ผิดนัดยอมให้ยึดเงินมัดจำ แต่เมื่อครบกำหนดตามสัญญาจำเลยไม่ได้ส่งมอบไม้เคี่ยมให้แก่โจทก์ตามสัญญาทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขาดผลกำไรจากการขายไม้เคี่ยมไม่ต่ำกว่า 2,500,000 บาท แต่โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเท่าเบี้ยปรับ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำและชำระเบี้ยปรับรวมเป็นเงิน 2,050,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายไม้เคี่ยมตามฟ้องโจทก์จริง แต่โจทก์และจำเลยไม่มีเจตนาที่จะผูกพันตามสัญญาเป็นการทำสัญญาขึ้นโดยมีเจตนาลวงที่จะใช้สัญญาดังกล่าวนั้นนำไม้เคี่ยมออกมาจากกองมรดก สัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆะขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายปิยะวุฒิ และเด็กหญิงปวันรัตน์ ชำระเงินแก่โจทก์ 1,050,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 มีนาคม 2540 ซึ่งเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2538 จำเลยในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายปิยะวุฒิ และเด็กหญิงปวันรัตน์ กับโจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายไม้เคี่ยม ตามเอกสารหมาย จ.1 โดยจำเลยตกลงจะขายไม้เคี่ยมจำนวน 500 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายบุญทวี ให้แก่โจทก์ ในราคาลูกบาศก์เมตรละ 2,000 บาทรวมเป็นเงิน 1,000,000 บาท จำเลยจะส่งมอบไม้เคี่ยมให้แก่โจทก์เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญาแต่จำเลยไม่ส่งมอบไม้เคี่ยมดังกล่าวให้แก่โจทก์ตามสัญญา...
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยประการต่อมามีว่า การที่จำเลยในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายปิยะวุฒิและเด็กหญิงปวันรัตน์ นำไม้เคี่ยมซึ่งเป็นมรดกของนายบุญทวีในส่วนที่เป็นของผู้เยาว์ทั้งสองไปทำสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์ เป็นการนำทรัพย์สินของผู้เยาว์ไปหาประโยชน์โดยมิได้รับอนุญาตต่อศาลเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 หรือไม่ เห็นว่าการที่จำเลยในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ทั้งสองดังกล่าวทำสัญญาจะซื้อจะขายไม้เคี่ยมในส่วนที่เป็นของผู้เยาว์ทั้งสองกับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 ไม่ใช่เป็นการนำทรัพย์สินของผู้เยาว์ไปแสวงหาผลประโยชน์อันจำเป็นต้องขออนุญาตต่อศาลก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574(11) หากแต่เป็นการทำสัญญาขายสังหาริมทรัพย์ของผู้เยาว์ ซึ่งไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 เพราะไม่เป็นกรณีที่ต้องห้ามตามมาตรา 1574 แต่อย่างใด สัญญาจะซื้อขายไม้เคี่ยมตามเอกสารหมาย จ.1 มีผลสมบูรณ์บังคับกันได้ตามกฎหมาย จำเลยในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ทั้งสองดังกล่าวย่อมต้องผูกพันตามสัญญาจะซื้อจะขายไม้เคี่ยมเอกสารหมาย จ.1 ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายปิยะวุฒิ และเด็กหญิงปวันรัตน์ ชำระเงินจำนวน 550,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 มีนาคม 2540 ซึ่งเป็นวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
มาตรา 1574 นิติกรรมใดอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ดังต่อไปนี้ ผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำมิได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาต
(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้
(2) กระทำให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งทรัพยสิทธิของผู้เยาว์อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
(3) ก่อตั้งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอื่นใดในอสังหาริมทรัพย์
(4) จำหน่ายไปทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งสิทธิเรียกร้องที่จะให้ได้มาซึ่งทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้ หรือสิทธิเรียกร้องที่จะให้ทรัพย์สินเช่นว่านั้นของผู้เยาว์ปลอดจากทรัพยสิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินนั้น
(5) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี
(6) ก่อข้อผูกพันใด ๆ ที่มุ่งให้เกิดผลตาม (1) (2) หรือ (3)
(7) ให้กู้ยืมเงิน
(8) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่จะเอาเงินได้ของผู้เยาว์ให้แทนผู้เยาว์เพื่อการกุศลสาธารณะ เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา ทั้งนี้ พอสมควรแก่ฐานานุรูปของผู้เยาว์
(9) รับการให้โดยเสน่หาที่มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพัน หรือไม่รับการให้โดยเสน่หา
(10) ประกันโดยประการใด ๆ อันอาจมีผลให้ผู้เยาว์ต้องถูกบังคับชำระหนี้หรือทำนิติกรรมอื่นที่มีผลให้ผู้เยาว์ต้องรับเป็นผู้รับชำระหนี้ของบุคคลอื่นหรือแทนบุคคลอื่น
(11) นำทรัพย์สินไปแสวงหาผลประโยชน์นอกจากในกรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1598/4 (1) (2) หรือ (3)
(12) ประนีประนอมยอมความ
(13) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
มาตรา 1598/4 เงินได้ของผู้อยู่ในปกครองนั้น ผู้ปกครองย่อมใช้ได้ตามสมควรเพื่อการอุปการะเลี้ยงดูและการศึกษาของผู้อยู่ในปกครอง ถ้ามีเหลือให้ใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ เฉพาะในเรื่องต่อไปนี้
(1) ซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทยหรือพันธบัตรที่รัฐบาลไทยค้ำประกัน
(2) รับขายฝากหรือรับจำนองอสังหาริมทรัพย์ในลำดับแรก แต่จำนวนเงินที่รับขายฝากหรือรับจำนองต้องไม่เกินกึ่งราคาตลาดของอสังหาริมทรัพย์นั้น
(3) ฝากประจำในธนาคารที่ได้ตั้งขึ้นโดยกฎหมายหรือที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการในราชอาณาจักร
(4) ลงทุนอย่างอื่นซึ่งศาลอนุญาตเป็นพิเศษ
|
นิติกรรม