ความรับผิดของผู้รับประกันภัย, รถสูญหาย, ถูกเพลิงไหม, การละทิ้งความครอบครองรถยนต์ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์
ความรับผิดของผู้รับประกันภัย, รถสูญหาย, ถูกเพลิงไหม, การละทิ้งความครอบครองรถยนต์ โจทก์ทำประกันภัยรถยนต์ไว้กับจำเลย โดยกรมธรรม์ครอบคลุมกรณีรถยนต์สูญหายหรือไฟไหม้ โจทก์ขับรถยนต์ไปจอดริมถนนใกล้ร้านค้าเพื่อซื้อสินค้า โดยไม่ได้ล็อกประตูรถและวางกุญแจไว้บนเบาะด้านหน้า ต่อมารถยนต์ถูกลักไปและถูกพบในสภาพถูกเผา โจทก์จะมีส่วนประมาทเลินเล่อ แต่ไม่ถึงขั้นเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 282/2567 การตีความ ป.พ.พ. มาตรา 879 วรรคหนึ่ง อันเป็นบทยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัยนั้น ต้องตีความโดยเคร่งครัด การที่โจทก์ขับรถยนต์ที่ทำประกันภัยไว้กับจำเลยไปจอดที่หน้าร้านค้าอื่นซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสาธารณะขนาดใหญ่ มีร้านค้าตั้งอยู่ติด ๆ กัน สภาพที่เกิดเหตุเป็นตลาดย่านการค้า โดยห่างจากร้านค้าที่โจทก์ไปติดต่อประมาณ 5 ถึง 8 เมตร ไม่มีสิ่งใดปิดบังจุดที่จอดรถยนต์อันจะเป็นช่องทางให้คนร้ายสามารถลงมือกระทำความผิดได้โดยง่ายแต่อย่างใด แล้วลงไปติดต่อซื้อของประมาณ 6 นาที ขณะจอดรถเป็นเวลากลางวัน แม้โจทก์จะวางกุญแจไว้ที่เบาะข้างคนขับด้านหน้า และไม่ล็อกประตู ก็ยังอยู่ในวิสัยที่โจทก์สามารถดูแลรักษารถยนต์ได้ การจอดรถในลักษณะดังกล่าวไม่ใช่การละทิ้งความครอบครองชั่วคราว แม้จะพอถือได้ว่าโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่ออยู่บ้าง แต่ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ****โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ *จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง *ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ *โจทก์อุทธรณ์ *ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 16 เมษายน 2565) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามขอ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ *จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา *ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์ วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 โจทก์ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้กับจำเลย มีระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 และสิ้นสุดวันที่ 8 กรกฎาคม 2565 โดยกรมธรรม์ประกันภัยมีข้อตกลงว่าด้วยกรณีรถยนต์สูญหายหรือไฟไหม้ ผู้รับประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ 150,000 บาท เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2565 เวลา 10.10 นาฬิกา โจทก์ขับรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยแล่นไปจอดที่บริเวณหน้าร้านขายแบตเตอรี่ทุ่งสง 99 แล้วมีคนร้ายลักรถยนต์คันดังกล่าวไป ต่อมาวันที่ 26 มกราคม 2565 เจ้าพนักงานตำรวจได้รับแจ้งว่าพบรถยนต์ที่ถูกคนร้ายลักไปถูกเพลิงไหม้ที่ริมถนนสายเพชรเกษมฝั่งขาออกไปจังหวัดตรัง เยื้องโรงเรียนบ้านเหนือ อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ โจทก์แจ้งให้จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์แล้ว แต่จำเลยปฏิเสธอ้างว่าเหตุที่รถยนต์สูญหายเป็นเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ *คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า การกระทำของโจทก์เป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ขับรถยนต์ที่ทำประกันภัยไว้กับจำเลยแล่นไปจอดริมถนนบริเวณหน้าร้านขายแบตเตอรี่ทุ่งสง 99 ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสาธารณะขนาดใหญ่ มีร้านค้าตั้งอยู่ติด ๆ กัน ฝั่งตรงข้ามของถนนก็มีลักษณะเปิดเป็นร้านค้าเช่นเดียวกัน สภาพร้านขายของริมถนนบริเวณที่เกิดเหตุจึงมีลักษณะเป็นตลาดย่านการค้า โจทก์จอดรถเพื่อติดต่อขอซื้อแบตเตอรี่ โดยจอดรถห่างจากร้านประมาณ 5 ถึง 8 เมตร เนื่องจากไม่มีที่จอดรถ เมื่อจอดรถแล้วลงจากรถไปต่อรองราคากับเจ้าของร้านทุ่งสงแบตเตอรี่ 99 ใช้เวลาประมาณ 6 นาที จึงหันหลังกลับมาที่รถยนต์เพื่อให้พนักงานของร้านนำแบตเตอรี่ที่ตกลงซื้อไปส่งให้ แต่รถยนต์หายไปจากที่จอดแล้ว จากข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจุดจอดรถยนต์อยู่ใกล้ร้านขายแบตเตอรี่และจุดที่โจทก์ติดต่อขอซื้อแบตเตอรี่กับทางเจ้าของร้านอย่างมาก การติดต่อขอซื้อแบตเตอรี่ก็เป็นที่คาดการณ์ได้ว่าใช้เวลาไม่นาน และจากข้อเท็จจริงก็ได้ความว่าใช้เวลาประมาณ 6 นาทีเท่านั้น ขณะจอดรถเป็นเวลากลางวัน ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่ามีสิ่งใดปิดบังจุดที่จอดรถยนต์อันเป็นช่องทางให้คนร้ายสามารถลงมือกระทำความผิดได้โดยง่ายแต่อย่างใด และจุดจอดรถอยู่หน้าร้านค้าหรืออาคารที่พักอาศัยของบุคคลอื่นซึ่งอยู่ติดกับร้านขายแบตเตอรี่ จุดจอดรถจึงอยู่เยื้องจากหน้าร้านขายแบตเตอรี่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น การจอดรถยนต์ของโจทก์ในลักษณะดังกล่าวโดยวางกุญแจไว้ที่เบาะข้างคนขับด้านหน้าไม่ล็อกประตู ก็ยังอยู่ในวิสัยที่โจทก์สามารถดูแลรักษารถยนต์ซึ่งเป็นหน้าที่ของโจทก์ได้ การจอดรถยนต์ของโจทก์ในลักษณะดังกล่าวมิใช่การละทิ้งการครอบครองชั่วคราว รถยนต์ยังอยู่ในความครอบครองของโจทก์ และการตีความตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 879 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดเมื่อความวินาศภัยหรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริต หรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ และข้อสัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งเป็นบทยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันนั้น ต้องตีความโดยเคร่งครัด ดังนั้นแม้การที่โจทก์จอดรถยนต์ โดยวางกุญแจไว้ที่รถ ไม่นำกุญแจติดตัวไปด้วยและไม่ปิดล็อกรถยนต์จะพอถือได้ว่าโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่ออยู่บ้าง แต่ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นความรับผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและข้อตกลงตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จะทำให้จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยหลุดพ้นจากความรับผิด จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่ทำให้ผลคำพิพากษาเปลี่ยนแปลง จึงไม่จำต้องวินิจฉัย *พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 4,000 บาท แทนโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นในชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 879 • ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง • การยกเว้นความรับผิดในกรมธรรม์ประกันภัย • คดีรถยนต์สูญหาย ประกันภัย • ความรับผิดของผู้รับประกันภัย • ตีความข้อยกเว้นความรับผิดในสัญญาประกัน • คำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องประกันภัยรถยนต์ • ข้อพิพาทเกี่ยวกับการละทิ้งความครอบครองรถยนต์
*คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 282/2567 (ย่อ) ข้อเท็จจริงและปัญหาที่ต้องวินิจฉัย โจทก์ทำประกันภัยรถยนต์ไว้กับจำเลย โดยกรมธรรม์ครอบคลุมกรณีรถยนต์สูญหายหรือไฟไหม้ โจทก์ขับรถยนต์ไปจอดริมถนนใกล้ร้านค้าเพื่อซื้อสินค้า โดยไม่ได้ล็อกประตูรถและวางกุญแจไว้บนเบาะด้านหน้า ต่อมารถยนต์ถูกลักและถูกพบในสภาพถูกเผา โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหม แต่จำเลยปฏิเสธ โดยอ้างว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของโจทก์เข้าข่าย "ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง" ตาม ป.พ.พ. มาตรา 879 หรือไม่ ข้อพิจารณา •การจอดรถริมถนนในย่านการค้าช่วงกลางวัน และการจอดใกล้ร้านค้าโดยห่างเพียง 5-8 เมตร แม้โจทก์ไม่ได้ล็อกประตูหรือเก็บกุญแจไว้กับตัว ก็ยังอยู่ในวิสัยที่สามารถดูแลรถยนต์ได้ ไม่ถือเป็นการละทิ้งความครอบครองชั่วคราว •การตีความข้อยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัยตาม ป.พ.พ. มาตรา 879 วรรคหนึ่ง ต้องตีความโดยเคร่งครัด แม้โจทก์จะมีส่วนประมาทเลินเล่อ แต่ไม่ถึงขั้นเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง •การกระทำดังกล่าวไม่เข้าข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหม *คำพิพากษา ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้จำเลยชดใช้เงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันฟ้อง และค่าทนายความชั้นฎีกา 4,000 บาท ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมอื่นให้เป็นพับ พิพากษายืน หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 879 วรรคหนึ่ง *บทบัญญัติ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 879 วรรคหนึ่ง ระบุว่า "ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดเมื่อความวินาศภัยหรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญาได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์" *คำอธิบายหลักการสำคัญ 1.ข้อยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัย *มาตรา 879 วรรคหนึ่งกำหนดเงื่อนไขที่ผู้รับประกันภัยสามารถปฏิเสธความรับผิดได้ หากเหตุการณ์ความเสียหายที่เกิดขึ้นมาจากการกระทำของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ในสองกรณี: oความทุจริต: เช่น การก่อเหตุเสียหายขึ้นเองเพื่อเรียกร้องค่าสินไหม oความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง: เช่น การกระทำที่ไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรจนเกิดความเสียหาย 2.การตีความข้อยกเว้น การยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัยถือเป็นข้อจำกัดสิทธิของผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์ ดังนั้น ต้องตีความอย่างเคร่งครัด กล่าวคือ ต้องพิจารณาอย่างละเอียดว่า การกระทำที่กล่าวหาว่าเป็น "ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง" นั้นมีลักษณะร้ายแรงเพียงพอหรือไม่ 3.ความประมาทเลินเล่อทั่วไปและอย่างร้ายแรง oความประมาทเลินเล่อทั่วไป: การกระทำที่อาจมีความไม่รอบคอบบ้างแต่ไม่ถึงกับร้ายแรง เช่น ลืมล็อกประตูรถ oความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง: การกระทำที่แสดงถึงการขาดความระมัดระวังในระดับที่ไม่ควรเกิด เช่น การจอดรถในสถานที่เปลี่ยว ทิ้งกุญแจในรถโดยไม่มีความจำเป็น และไม่เฝ้าดูแลเลย *การนำหลักกฎหมายนี้ไปใช้ในคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 282/2567 ในคดีนี้ ศาลพิจารณาแล้วว่า การที่โจทก์จอดรถใกล้ร้านค้าในตลาดย่านการค้า แม้ไม่ได้ล็อกประตูหรือเก็บกุญแจไว้กับตัว แต่ยังอยู่ในวิสัยที่สามารถดูแลได้ ไม่ถือเป็นการละทิ้งความครอบครองหรือการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง การตีความข้อยกเว้นความรับผิดในมาตรา 879 ต้องเคร่งครัด ดังนั้น การกระทำของโจทก์ไม่เข้าเงื่อนไขข้อยกเว้น และผู้รับประกันภัยต้องรับผิดตามกรมธรรม์ *สรุป หลักกฎหมายในมาตรา 879 วรรคหนึ่ง เป็นมาตรการคุ้มครองผู้รับประกันภัยจากการกระทำที่ไม่สมควรของผู้เอาประกันภัย แต่ในขณะเดียวกันก็กำหนดให้ตีความอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้ผู้รับประกันภัยปฏิเสธความรับผิดโดยไม่มีเหตุอันสมควร การนำมาตรานี้ไปใช้จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในบริบทของคดีแต่ละกรณี ****บทความ: ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงและข้อยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัย 1. ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงคืออะไร ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง (Gross Negligence) หมายถึง การกระทำหรือการละเว้นกระทำของบุคคลที่แสดงถึงความขาดความระมัดระวังในระดับที่ไม่สมควรหรือไม่คาดหวังจากบุคคลทั่วไปในสถานการณ์เดียวกัน ถือเป็นการละเมิดหน้าที่ในการป้องกันความเสียหายที่มีผลกระทบร้ายแรงกว่าการประมาทเลินเล่อทั่วไป (Ordinary Negligence) ความแตกต่างระหว่างความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงกับไม่ร้ายแรง 1.ความประมาทเลินเล่อทั่วไป oการกระทำที่ขาดความระมัดระวัง เช่น การลืมล็อกประตูรถ แต่ยังอยู่ในวิสัยที่สามารถป้องกันได้โดยไม่เกิดผลกระทบร้ายแรง 2.ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง oการกระทำที่ขาดความระมัดระวังขั้นพื้นฐาน เช่น จอดรถในพื้นที่เสี่ยงโดยทิ้งกุญแจไว้ในรถโดยไม่มีเหตุผลสมควร ซึ่งเพิ่มโอกาสให้เกิดความเสียหายโดยง่าย ตัวอย่างเช่น: ในกรณีที่โจทก์จอดรถในตลาดที่มีผู้คนพลุกพล่าน (ตามแนวของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 282/2567) แม้โจทก์จะไม่ได้ล็อกประตู แต่ยังถือว่าอยู่ในวิสัยที่ดูแลได้ จึงไม่ใช่ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง 2. ข้อยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัย บทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้อง •ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 879 วรรคหนึ่ง: ระบุว่าผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดหากความเสียหายเกิดขึ้นเพราะ oความทุจริตของผู้เอาประกันภัย oความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัย หลักการพิจารณาข้อยกเว้นความรับผิด 1.ตีความอย่างเคร่งครัด ข้อยกเว้นความรับผิดต้องตีความโดยไม่ขยายความ เพื่อปกป้องสิทธิของผู้เอาประกันภัย 2.วิเคราะห์การกระทำของผู้เอาประกันภัย oลักษณะการกระทำ: ผู้เอาประกันภัยละเลยหน้าที่ดูแลทรัพย์สินหรือไม่ oระดับความประมาท: เป็นเพียงประมาทเลินเล่อทั่วไปหรือร้ายแรง 3.ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ความเสียหายที่เกิดขึ้นต้องมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง 3. ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 3.1 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 282/2567 โจทก์จอดรถในตลาดย่านการค้า โดยไม่ได้ล็อกประตูรถและวางกุญแจไว้ในรถ ศาลพิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความประมาทเลินเล่อ แต่ไม่ถึงขั้น "ร้ายแรง" ผู้รับประกันภัยจึงไม่พ้นความรับผิด 3.2 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2121/2560 ผู้เอาประกันภัยทิ้งรถยนต์ไว้ในพื้นที่เปลี่ยว ทิ้งกุญแจไว้ในรถโดยไม่มีความจำเป็น และไม่ได้ป้องกันทรัพย์สิน ศาลพิจารณาว่าเป็น "ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง" ผู้รับประกันภัยพ้นความรับผิด 3.3 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2555 ผู้เอาประกันภัยดื่มสุราอย่างหนักและขับรถโดยประมาทจนเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ศาลพิจารณาว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ส่งผลให้ผู้รับประกันภัยพ้นความรับผิด 3.4 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 819/2554 ผู้เอาประกันภัยจอดรถในพื้นที่เสี่ยง โดยปล่อยให้รถไม่ได้ล็อกและไม่อยู่เฝ้าดูแล ศาลเห็นว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัย 4. ข้อสรุปและบทเรียนจากตัวอย่างคดี 1.การประมาทเลินเล่อที่เข้าข้อยกเว้นความรับผิดต้องมีลักษณะร้ายแรงที่เห็นได้ชัดเจน 2.ศาลจะพิจารณาจากลักษณะสถานที่ ระดับความระมัดระวัง และความเกี่ยวข้องระหว่างการกระทำกับผลที่เกิดขึ้น 3.ผู้เอาประกันภัยควรปฏิบัติตามหน้าที่ดูแลทรัพย์สินอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันปัญหาในภายหลัง บทบัญญัติในมาตรา 879 จึงเป็นหลักการสำคัญที่สร้างความสมดุลระหว่างสิทธิของผู้เอาประกันภัยและความรับผิดชอบของผู้รับประกันภัยในสัญญาประกันภัย |