

ข้อตกลงให้ผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ชำระค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ข้อตกลงให้ผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ชำระค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย การซื้อขายที่ดินกำหนดว่าค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และค่าภาษีธุรกิจเฉพาะให้ผู้เสนอซื้อเป็นผู้ชำระได้ระบุไว้ในเอกสารการประมูลทรัพย์สินพร้อมขายซึ่งเป็นเอกสารที่ผู้ขายทรัพย์ทำขึ้นและเผยแพร่ให้สาธารณชนทราบก่อนกำหนดวันทำการแข่งขันราคา ผู้ซื้อได้ลงลายมือชื่อไว้ในฐานะผู้เข้าแข่งขันราคาได้รับทราบเงื่อนไขว่าค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ ผู้ชนะการแข่งขันราคาเป็นผู้ชำระ เมื่อมีการทราบเงื่อนไขแล้วก็เป็นเรื่องที่ผู้ซื้อทรัพย์จะต้องพิจารณาตัดสินใจเองว่าสมควรที่จะเข้าแข่งขันราคาเพื่อซื้อทรัพย์สินหรือไม่ ดังนั้นการเข้าแข่งขันราคาเพื่อซื้อทรัพย์สินจึงต้องถือว่าเป็นความสมัครใจของผู้ซื้อเอง จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นข้อตกลงในสัญญาที่ทำให้ผู้ขายได้เปรียบผู้ซื้อทรัพย์เกินสมควร อันจะเข้าลักษณะของข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 เมื่อไม่ใช่ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมแล้วผู้ซื้อจึงต้องผูกพันตามเงื่อนไขและข้อตกลงที่ทำไว้ ผู้ซื้อจึงไม่อาจฟ้องขอให้บังคับผู้ขายคืนค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และค่าภาษีธุรกิจเฉพาะได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1144/2565 เงื่อนไขที่กำหนดให้ผู้ชนะการแข่งขันราคาเป็นผู้ชำระค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ ได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งในเอกสารการประมูลทรัพย์สินพร้อมขาย โจทก์ที่ 5 ย่อมต้องทราบดีว่าหากตนชนะการแข่งขันและได้ทำสัญญาซื้อขายกับจำเลย โจทก์ที่ 5 จะต้องมีภาระภาษีจำนวนเท่าใด การที่จำเลยกำหนดให้โจทก์ที่ 5 เป็นผู้รับภาระในการชำระค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นข้อตกลงในสัญญาที่ทำให้จำเลยได้เปรียบโจทก์ที่ 5 เกินสมควร อันจะเข้าลักษณะของข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมตามบทบัญญัติมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 ดังนั้น โจทก์ที่ 5 รวมทั้งโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ที่ได้รับอนุมัติจากจำเลยให้ร่วมรับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินรวม 21 โฉนด จากจำเลย ต้องผูกพันตามเงื่อนไขและข้อตกลงที่โจทก์ที่ 5 ทำไว้ โจทก์ทั้งหกฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย 1,417,000 บาท ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ 4,251,000 บาท ดอกเบี้ย 122,580.21 บาท รวม 5,790,580.21 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 5,668,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งหก จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 2,834,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 5 มกราคม 2560) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งหก กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งหกโดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยใช้แทนเท่าจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ทั้งหกชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์ทั้งหกและจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ที่ 5 และที่ 6 เป็นน้องของนายชาญชัย เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 2, 14650, 19211 ถึง 19229 รวม 21 โฉนด เป็นของนายชาญชัย เมื่อนายชาญชัยถึงแก่ความตาย นางผจงจิตต์ ซึ่งเป็นภริยาของนายชาญชัยและในฐานะผู้จัดการมรดกของนายชาญชัยนำที่ดินดังกล่าวโอนชำระหนี้จำนองให้แก่จำเลย วันที่ 14 มีนาคม 2558 โจทก์ที่ 5 ประมูลทรัพย์สินพร้อมขายครั้งที่ 1/2558 ของจำเลย โดยเสนอราคาซื้อทรัพย์สินรายการที่ 6 คือ ที่ดินรวม 21 โฉนด ดังกล่าวในราคา 141,700,000 บาท จำเลยอนุมัติขายทรัพย์สินดังกล่าวแก่โจทก์ที่ 5 วันที่ 23 มีนาคม 2558 โจทก์ที่ 5 ชำระเงินประกันการซื้อ 14,170,000 บาท พร้อมทำบันทึกข้อตกลงการวางเงินประกันการซื้อทรัพย์ โดยข้อตกลงข้อ 3.2 และ 3.3 มีข้อความว่า ค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ ผู้เสนอซื้อเป็นผู้รับภาระ โจทก์ที่ 5 ขอขยายระยะเวลาการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินหลายครั้ง ต่อมาวันที่ 20 พฤศจิกายน 2558 โจทก์ที่ 5 มีหนังสือถึงจำเลยขอเปลี่ยนแปลงผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากโจทก์ที่ 5 เป็นโจทก์ทั้งหก วันที่ 25 พฤศจิกายน 2558 จำเลยโดยคณะกรรมการซื้อขายทรัพย์สินพร้อมขาย มีมติอนุมัติให้เปลี่ยนชื่อผู้รับโอนกรรมสิทธิ์จากโจทก์ที่ 5 เป็นโจทก์ทั้งหก โดยโจทก์ทั้งหกต้องผูกพันตามเงื่อนไขการซื้อทรัพย์เช่นเดียวกับโจทก์ที่ 5 และมีการแบ่งที่ดินเป็น 10 ส่วน โจทก์ที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ 3 ส่วน โจทก์ที่ 2 และที่ 6 ถือกรรมสิทธิ์คนละ 2 ส่วน โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 5 ถือกรรมสิทธิ์คนละ 1 ส่วนและวันที่ 22 กันยายน 2559 จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 21 โฉนด ให้แก่โจทก์ทั้งหก โดยโจทก์ทั้งหกเป็นผู้ชำระค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และภาษีธุรกิจเฉพาะ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า เงื่อนไขที่กำหนดให้โจทก์ทั้งหกในฐานะผู้ซื้อชำระค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 4 หรือไม่ เห็นว่า เงื่อนไขเกี่ยวกับค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และค่าภาษีธุรกิจเฉพาะที่กำหนดให้ผู้เสนอซื้อหรือผู้ชนะการแข่งขันราคาเป็นผู้ชำระนั้น ได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งในเอกสารการประมูลทรัพย์สินพร้อมขาย ครั้งที่ 1/2558 ซึ่งเป็นเอกสารที่จำเลยทำขึ้นและเผยแพร่ให้สาธารณชนทราบตั้งแต่ก่อนถึงกำหนดวันทำการแข่งขันราคาในใบลงทะเบียนการแข่งขันราคาทรัพย์สินพร้อมขายทรัพย์สินพร้อมขายฉบับลงวันที่ 11 มีนาคม 2558 ที่โจทก์ที่ 5 ลงลายมือชื่อไว้ในฐานะผู้เข้าแข่งขันราคาก็ได้ระบุไว้ว่า ค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ ผู้ชนะการแข่งขันราคาเป็นผู้ชำระ อีกทั้งตามบันทึกข้อตกลงการวางเงินประกันการซื้อทรัพย์ที่ทำขึ้นหลังจากโจทก์ที่ 5 ชนะการแข่งขันราคาก็มีเนื้อหาในทำนองเดียวกัน เมื่อมีการกำหนดเงื่อนไขในการแข่งขันราคาไว้ดังกล่าวแล้ว ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ที่ 5 จะต้องพิจารณาตัดสินใจเองว่าสมควรที่จะเข้าแข่งขันราคาเพื่อซื้อทรัพย์สินคือที่ดินรวม 21 โฉนด ที่จำเลยนำออกขายหรือไม่ ดังนั้นการที่โจทก์ที่ 5 เข้าแข่งขันราคาเพื่อซื้อทรัพย์สินดังกล่าวรวมทั้งทำบันทึก จึงต้องถือว่าเป็นความสมัครใจของโจทก์ที่ 5 เอง โจทก์ที่ 5 จึงต้องผูกพันตามเงื่อนไขที่จำเลยกำหนดไว้ และเมื่อพิจารณาถึงเงื่อนไขที่กำหนดให้ผู้ชนะการแข่งขันราคาเป็นผู้ชำระค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายและค่าภาษีธุรกิจเฉพาะซึ่งเป็นข้อพิพาทในคดีนี้จะเห็นได้ว่า ค่าภาษีนั้นเป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดไว้โดยชัดแจ้งว่าจะต้องชำระเพียงใด มิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยกำหนดขึ้นเอง ซึ่งโจทก์ที่ 5 ก็ย่อมต้องทราบดีว่าหากตนชนะการแข่งขันและได้ทำสัญญาซื้อขายกับจำเลยจะต้องมีภาระภาษีจำนวนเท่าใด การที่จำเลยกำหนดให้โจทก์ที่ 5 เป็นผู้รับภาระในการชำระค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายและค่าภาษีธุรกิจเฉพาะจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นข้อตกลงในสัญญาที่ทำให้จำเลยได้เปรียบโจทก์ที่ 5 เกินสมควร อันจะเข้าลักษณะของข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมตามบทบัญญัติมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 เมื่อไม่ใช่ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมแล้ว โจทก์ที่ 5 รวมทั้งโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ที่ได้รับอนุมัติจากจำเลยให้ร่วมรับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินรวม 21 โฉนด จากจำเลยโดยต้องผูกพันตามเงื่อนไขและข้อตกลงที่โจทก์ที่ 5 ทำไว้ ก็ไม่อาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และค่าภาษีธุรกิจเฉพาะได้ เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ประเด็นอื่นตามฎีกาของจำเลยจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอีก เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งหก ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ |