

การซื้อขายที่ดินตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ • การซื้อขายที่ดินตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 • ข้อกำหนดห้ามโอนที่ดิน 10 ปี • การคืนเงินตาม มาตรา 407 และ 411 • หลักฐานสัญญาซื้อขาย ป.รัษฎากร มาตรา 118 ข้อความสรุป คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2889/2553 1. ประเด็นกฎหมายและข้อเท็จจริง: โจทก์ทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับจำเลยที่ 1 โดยไม่ทราบว่าที่ดินมีข้อกำหนดห้ามโอน ทำให้การซื้อขายนี้ขัดกับกฎหมาย เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 150 ซึ่งระบุว่า นิติกรรมที่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมถือเป็นโมฆะ การกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่มีผลทางกฎหมาย 2. ภาระการชำระเงิน: เนื่องจากสัญญานั้นเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องชำระราคาที่ดินที่เหลือ ส่วนการที่โจทก์ชำระเงินในเบื้องต้นก็เพราะไม่รู้ว่าที่ดินดังกล่าวมีข้อห้ามโอน การชำระหนี้ดังกล่าวไม่ขัดกับ มาตรา 407 และ 411 ดังนั้น จำเลยที่ 1 ต้องคืนเงินจำนวน 340,000 บาทที่โจทก์ได้ชำระมาแล้ว 3. เรื่องการปิดอากรแสตมป์: จำเลยที่ 1 โต้แย้งว่า สัญญาซื้อขายควรจะปิดอากรแสตมป์เพื่อรับฟังเป็นหลักฐานได้ อย่างไรก็ดี โจทก์อ้างสัญญาเพื่อยืนยันการทำสัญญาระหว่างกัน ไม่ได้เป็นใบรับที่ต้องปิดอากรแสตมป์ ดังนั้นสัญญาดังกล่าวสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานได้ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118 4. ผลคำพิพากษาศาลฎีกา: ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยที่ 1 คืนเงิน 340,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับจากวันที่ 1 สิงหาคม 2543 จนถึงวันชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
(ฎีกาย่อสั้น) ขณะโจทก์ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่ทราบว่ามีข้อกำหนดห้ามโอนที่ดินพิพาท นิติกรรมซื้อขายที่ดินดังกล่าวเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ย่อมตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องชำระราคาที่ดินที่เหลือแก่จำเลยที่ 1 อีก การที่โจทก์ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเพราะต้องการที่ดินพิพาทโดยไม่รู้มาก่อนว่าที่ดินพิพาทอยู่ในบังคับแห่งกฎหมายที่กำหนดข้อห้ามโอนไว้ กรณีดังกล่าวไม่ใช่โจทก์กระทำการตามอำเภอใจเสมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระหรือกระทำการชำระหนี้อันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีตาม ป.พ.พ. มาตรา 407 และมาตรา 411 จำเลยที่ 1 จึงต้องคืนเงินที่ค่าที่ดินที่ได้ชำระมาแล้วให้แก่โจทก์ โจทก์อ้างหนังสือสัญญาซื้อขายเพื่อแสดงข้อเท็จจริงต่อศาลว่าได้มีการทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่ได้อ้างเพื่อแสดงข้อเท็จจริงว่าเป็นใบรับ จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์และไม่ต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118 โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองคืนเงิน 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน 7,932 บาท จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวน 340,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 7,932 บาท ตามที่โจทก์ขอ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้ตกเป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าที่ดินจำนวน 340,000 บาท คืนจากจำเลยที่ 1 หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ขณะโจทก์ทำสัญญาซื้อขายจากจำเลยที่ 1 นั้น โจทก์ไม่ทราบว่ามีข้อกำหนดห้ามโอนที่ดินพิพาท และนิติกรรมดังกล่าวเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 เมื่อสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะมาแต่แรกแล้ว โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องชำระราคาที่ดินที่เหลือแก่จำเลยที่ 1 อีก การที่โจทก์ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 1 ก็เพราะต้องการที่ดินพิพาทโดยไม่รู้มาก่อนว่าที่ดินพิพาทอยู่ในบังคับแห่งกฎหมายที่กำหนดข้อห้ามโอนไว้ กรณีดังกล่าวไม่ใช่โจทก์กระทำการตามอำเภอใจเสมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระหรือกระทำการชำระหนี้เป็นการอันฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407 และมาตรา 411 ดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกา จำเลยที่ 1 จึงต้องคืนเงินจำนวน 340,000 บาท แก่โจทก์
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า สัญญาซื้อขายมิอาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานเพราะมิได้ปิดอากรแสตป์ ปรากฏว่าโจทก์อ้างหนังสือสัญญาซื้อขายเพื่อแสดงข้อเท็จจริงต่อศาลว่าได้มีการทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จริง ไม่ได้อ้างเพื่อแสดงข้อเท็จจริงว่าเป็นใบรับ จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์และไม่ต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ |