

นิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ นิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ • การขายที่ดินที่ผู้เยาว์ถือกรรมสิทธิ์ • มาตรา 1574 การอนุญาตจากศาล • ผู้แทนโดยชอบธรรมขายทรัพย์สินผู้เยาว์ • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 453/2567 • กฎหมายคุ้มครองผู้เยาว์ • อำนาจศาลในการทำนิติกรรมผู้เยาว์ • การจัดการทรัพย์สินผู้เยาว์โดยผู้ปกครอง สรุปย่อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 453/2567 ย่อดังนี้: คดีนี้ผู้ร้องขอขายที่ดินที่ตนถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้เยาว์ เพื่อการศึกษาของบุตร โดยศาลต้องอนุญาตให้ทำนิติกรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1574 เพื่อประโยชน์ผู้เยาว์ โดยมีหลักฐานว่าการขายที่ดินดังกล่าวมีราคาเกินกว่าประเมิน และเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของผู้เยาว์ แม้ศาลชั้นต้นระบุว่าขาดการยินยอมจากมารดา แต่ข้อเท็จจริงคือมารดาไม่ได้ดูแลและติดต่อไม่ได้ ศาลอุทธรณ์อ้างว่าไม่มีเหตุฉุกเฉินหรือเร่งด่วน แต่ไม่ตรงกับหลักในมาตรา 1574 ที่ให้ศาลกำกับดูแลการทำธุรกรรมเพื่อประโยชน์ผู้เยาว์ จึงพิจารณาให้อนุญาตตามคำร้องของผู้ร้อง **ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 ระบุถึงอำนาจของผู้แทนโดยชอบธรรมในการจัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์ โดยกำหนดให้การทำนิติกรรมที่มีผลกระทบต่อทรัพย์สินของผู้เยาว์ต้องได้รับอนุญาตจากศาล หากการทำนิติกรรมนั้นเป็นประโยชน์ต่อผู้เยาว์หรือทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด ซึ่งเป็นหลักที่คุ้มครองผลประโยชน์ของผู้เยาว์โดยเฉพาะ *ในกรณีที่ผู้แทนโดยชอบธรรมต้องการขายทรัพย์สิน เช่น ที่ดินที่ผู้เยาว์ถือกรรมสิทธิ์ร่วม ผู้แทนต้องแสดงให้ศาลเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้เยาว์ ศาลจะตรวจสอบว่าเหตุผลในการขายมีความเหมาะสมหรือไม่ และต้องพิจารณาความเสี่ยงหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้เยาว์ โดยศาลจะตัดสินให้การอนุญาตเมื่อพิจารณาเห็นว่าการขายนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์ และไม่ทำให้เกิดความเสียหายเกินควร หลักนี้จึงสะท้อนถึงการกำกับดูแลและปกป้องสิทธิของผู้เยาว์ให้ได้รับประโยชน์สูงสุดในการทำนิติกรรมที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน. ผู้ร้องกับนางสาวจิฎาภรณ์ มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ นายกรกฎ อายุ 21 ปี นายสิรวิชฐ์ อายุ 18 ปี และเด็กหญิงจิตต์สิน อายุ 13 ปี ผู้ร้องกับนางสาวจิฎาภรณ์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างร่วมกัน ศาลพิพากษาให้ผู้ร้องกับนางสาวจิฎาภรณ์หย่ากัน โดยให้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ร่วมกัน นางสาวจิฎาภรณ์ยกกรรมสิทธิ์ส่วนของตนให้แก่บุตรทั้งสาม ข้อเท็จจริงปรากฏว่าบุตรทั้งสามคนอยู่กับผู้ร้อง ผู้ร้องให้การอุปการะเลี้ยงดูคนเดียว นางสาวจิฎาภรณ์ไม่ได้ติดต่อหรือกลับมาพบบุตรทั้งสามอีก คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมขายที่ดินในส่วนของผู้เยาว์ที่ถือกรรมสิทธิ์รวมแทนผู้เยาว์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอ ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าที่ดินพิพาทมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน 4 คนคือผู้ร้องและบุตรอีก 3 คน ผู้ร้องเพียงผู้เดียวที่แบกรับภาระทั้งค่าใช้จ่ายและการดูแลบุตรทั้งสามคน โดยอาศัยรายได้จากค่าเช่าอาคารที่พักอาศัยเพียงเล็กน้อย เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจทำให้ผู้เช่าที่พักลดลง แต่มีภาระค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของผู้เยาว์ทั้งสองยังมีอยู่มากพอสมควร การที่ผู้ร้องจะขอขายทรัพย์กรรมสิทธิ์ร่วม จึงมีเหตุผลเพื่อการศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์ เมื่อผู้ร้องในฐานะของผู้แทนโดยชอบธรรมมาร้องขออนุญาตทำนิติกรรมขายที่ดินโดยประสงค์จะให้ศาลกำกับดูแลเพื่อให้เหมาะสมเป็นประโยชน์ต่อบุตรผู้เยาว์ เมื่อได้ความว่าการขายที่ดินได้รับราคาที่สูงกว่าราคาประเมินจึงเป็นเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะอนุญาตให้มีการขายได้โดยเร็วเพื่อประโยชน์ของบุตรผู้เยาว์โดยแท้ ที่ศาลชั้นต้นอ้างว่าการทำนิติกรรมขายไม่ได้รับความยินยอมจากนางสาวจิฎาภรณ์มารดาผู้เยาว์ ข้อวินิจฉัยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์แท้จริงที่ผู้เยาว์พึงได้รับ ส่วนที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษอ้างว่าไม่มีเรื่องเร่งด่วนหรือเหตุฉุกเฉินโดยอ้างว่ารอให้ผู้เยาว์เจริญวัยจนบรรลุนิติภาวะตัดสินใจเอง ก็เป็นข้อวินิจฉัยที่ขัดต่อเจตนารมณ์ที่มาตรา 1574 ให้ศาลกำกับดูแลการทำนิติกรรม ไม่ใช่ปล่อยให้ช่วงเวลาที่ยังเป็นผู้เยาว์เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์แล้วเมื่อบรรลุนิติภาวะจึงค่อยมาดำเนินการ เหตุผลและคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสอง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น ศาลฎีกาพิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ร้องขายที่ดิน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 453/2567 ผู้ร้องขอขายที่ดินซึ่งผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้เยาว์ เพื่อการศึกษาแก่ผู้เยาว์ซึ่งเป็นบุตร ผู้ร้องในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมมาร้องขออนุญาตทำนิติกรรมขายที่ดินต่อศาลตาม ป.พ.พ. มาตรา 1574 ก็เพื่อให้ศาลกำกับดูแลให้เหมาะสมเป็นประโยชน์ต่อผู้เยาว์หรือก่อความเสียหายแก่ผู้เยาว์น้อยที่สุด เมื่อได้ความว่าการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งอนาคตของผู้เยาว์และได้รับราคาที่สูงกว่าราคาประเมิน จึงเป็นเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะอนุญาตให้มีการขายได้โดยเร็วเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์ ที่ศาลชั้นต้นอ้างว่าการทำนิติกรรมขายไม่ได้รับความยินยอมจาก จ. มารดาผู้เยาว์ เป็นการวินิจฉัยขัดกับข้อเท็จจริงเนื่องจากที่ จ. ไม่ได้ดูแลผู้เยาว์และไม่อาจติดต่อได้ ส่วนที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษอ้างว่า ไม่มีเรื่องเร่งด่วนหรือเหตุฉุกเฉิน ก็ไม่ได้อยู่ในบริบทที่มาตรา 1574 กำหนดไว้ ส่วนที่อ้างว่ารอให้ผู้เยาว์ทั้งสองเจริญวัยจนบรรลุนิติภาวะตัดสินใจเอง ก็เป็นข้อวินิจฉัยที่ขัดต่อเจตนารมณ์ที่มาตรา 1574 ให้ศาลกำกับดูแลการทำนิติกรรม ไม่ใช่ปล่อยให้ช่วงเวลาที่ยังเป็นผู้เยาว์เสียไปโดยเปล่าประโยชน์
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมขายที่ดินโฉนดเลขที่ 91693 พร้อมสิ่งปลูกสร้างในส่วนของผู้เยาว์ทั้งสองที่ถือกรรมสิทธิ์รวมแทนผู้เยาว์ทั้งสอง ศาลชั้นต้นประกาศนัดไต่สวน ไม่มีผู้ใดคัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ผู้ร้องจดทะเบียนสมรสกับนางสาวจิฎาภรณ์ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2542 ระหว่างสมรสมีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ นายกรกฎ ขณะยื่นคำร้องขออายุ 21 ปี นายสิรวิชฐ์ ขณะยื่นคำร้องขออายุ 18 ปี และเด็กหญิงจิตต์สิน ขณะยื่นคำร้องขออายุ 13 ปี ผู้ร้องกับนางสาวจิฎาภรณ์เป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 91693 เนื้อที่ 85 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านพัก ในโครงการบ้านจัดสรร อ. ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ผู้ร้องกับนางสาวจิฎาภรณ์หย่า โดยให้ผู้ร้องกับนางสาวจิฎาภรณ์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้งสองร่วมกัน สำหรับที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง นางสาวจิฎาภรณ์ยกกรรมสิทธิ์ส่วนที่ถือร่วมกับผู้ร้องให้แก่ผู้เยาว์ทั้งสองกับนายกรกฎ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและสำเนาโฉนดที่ดิน ข้อเท็จจริงปรากฏตามทางไต่สวนและรายงานแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีครอบครัวที่ผู้เยาว์มีผลประโยชน์หรือส่วนได้เสีย ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2564 ว่าผู้เยาว์ทั้งสองกับนายกรกฎอยู่กับผู้ร้อง ผู้ร้องให้การอุปการะเลี้ยงดูคนเดียว นางสาวจิฎาภรณ์ไม่ได้ติดต่อหรือกลับมาพบผู้เยาว์ทั้งสองกับนายกรกฎอีก โดยได้ความจากนายสิรวิชฐ์และเด็กหญิงจิตต์สินว่าไม่ทราบว่านางสาวจิฎาภรณ์ไปอยู่ที่ใดขาดการติดต่อกันตั้งแต่ปี 2558 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทในส่วนของผู้เยาว์ทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์ที่ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันของบุคคล 4 คน ส่วนหนึ่งเป็นของผู้ร้องซึ่งเป็นบิดาของผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมอีก 3 คน ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ร้องแม้จะต้องปกครองดูแลผู้เยาว์ทั้งสองกับนายกรกฎร่วมกับนางสาวจิฎาภรณ์ผู้เป็นมารดา แต่ความเป็นจริงผู้ร้องเพียงผู้เดียวที่แบกรับภาระทั้งค่าใช้จ่ายและการดูแลผู้เยาว์ทั้งสองกับนายกรกฎ โดยอาศัยรายได้จากค่าเช่าอาคารที่พักอาศัยเพียงเล็กน้อย เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้ผู้เช่าที่พักลดลง แต่ภาระค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของผู้เยาว์ทั้งสองยังมีอยู่มากพอสมควรไม่ว่ารายจ่ายของนายสิรวิชฐ์ที่วิทยาลัย ด. หรือรายจ่ายของเด็กหญิงจิตต์สิน ที่โรงเรียน ส. รวมทั้งค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอื่น ๆ การที่ผู้ร้องจะขอขายทรัพย์กรรมสิทธิ์ร่วม จึงมีเหตุผลเพื่อการลงทุนในการศึกษาแก่ผู้เยาว์ทั้งสองให้มีความรู้เพราะการมีวิชาความรู้ย่อมสร้างโอกาสที่จะหาที่ดินที่เสียไปให้กลับมีขึ้นอีกได้ง่าย และดีกว่าการมีที่ดินแต่ไร้วิชาความรู้ อันจะทำให้ต้องสูญเสียที่ดินไปโดยง่ายในอนาคตและไร้ประโยชน์แก่ผู้เยาว์ทั้งสอง ส่วนผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมอีก 3 คน บุตรคนโตนายกรกฎบรรลุนิติภาวะแล้ว ผู้เยาว์คนที่ 2 นายสิรวิชฐ์อายุ 18 ปี มีการศึกษาตามวัย มีวุฒิภาวะพอสมควรซึ่งทั้งสองคนมีวัยและวุฒิภาวะและการศึกษาที่เพียงพอจะตัดสินใจได้ถึงความจำเป็นในการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว เพื่อประโยชน์ของผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมทุกคน รวมทั้งประโยชน์ของเด็กหญิงจิตต์สินผู้เยาว์ด้วย เมื่อผู้ร้องในฐานะของผู้แทนโดยชอบธรรมมาร้องขออนุญาตทำนิติกรรมขายที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 ที่ประสงค์จะให้ศาลกำกับดูแลเพื่อให้เหมาะสมเป็นประโยชน์ต่อผู้เยาว์ทั้งสองหรือก่อความเสียหายแก่ผู้เยาว์ทั้งสองน้อยที่สุด เมื่อได้ความว่าการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งอนาคตของผู้เยาว์ทั้งสองและได้รับราคาที่สูงกว่าราคาประเมินจึงเป็นเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะอนุญาตให้มีการขายได้โดยเร็วเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์ทั้งสองโดยแท้ ที่ศาลชั้นต้นอ้างว่าการทำนิติกรรมขายไม่ได้รับความยินยอมจากนางสาวจิฎาภรณ์มารดาผู้เยาว์ทั้งสอง เป็นการวินิจฉัยโดยขัดข้อเท็จจริงที่นางสาวจิฎาภรณ์ไม่ได้ดูแลผู้เยาว์ทั้งสองและไม่อาจติดต่อได้ ข้อวินิจฉัยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์แท้จริงที่ผู้เยาว์ทั้งสองพึงได้รับ ส่วนที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษอ้างว่าไม่มีเรื่องเร่งด่วนหรือเหตุฉุกเฉิน ก็ไม่ได้อยู่ในบริบทที่มาตรา 1574 กำหนดไว้ ส่วนที่อ้างว่ารอให้ผู้เยาว์ทั้งสองเจริญวัยจนบรรลุนิติภาวะตัดสินใจเอง ก็เป็นข้อวินิจฉัยที่ขัดต่อเจตนารมณ์ที่มาตรา 1574 ให้ศาลกำกับดูแลการทำนิติกรรม ไม่ใช่ปล่อยให้ช่วงเวลาที่ยังเป็นผู้เยาว์เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์แล้วเมื่อบรรลุนิติภาวะจึงค่อยมาดำเนินการ เหตุผลและคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสอง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น พิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ร้องขายที่ดินโฉนดเลขที่ 91693 พร้อมสิ่งปลูกสร้างในส่วนที่ผู้เยาว์ทั้งสองผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ ***บทความเรื่อง: การใช้อำนาจปกครองในการจัดการทรัพย์สินของบุตรผู้เยาว์ **การใช้อำนาจปกครองในการจัดการทรัพย์สินของบุตรผู้เยาว์ *การใช้อำนาจปกครองในการจัดการทรัพย์สินของบุตรผู้เยาว์เป็นหน้าที่สำคัญของผู้ปกครองตามกฎหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้เยาว์อย่างสูงสุด ซึ่งในบางกรณีการทำนิติกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ต้องได้รับการอนุญาตจากศาลก่อนเพื่อป้องกันการกระทำที่อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เยาว์ *ประเภทของนิติกรรมที่ผู้ใช้อำนาจปกครองสามารถทำได้และไม่สามารถทำได้ 1.นิติกรรมที่ผู้ปกครองสามารถทำได้: ผู้ปกครองมีสิทธิในการจัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์ในการทำธุรกรรมทั่วไป เช่น การใช้จ่ายเพื่อการศึกษา การดูแลสุขภาพ และการดูแลทรัพย์สินเพื่อการยังชีพของผู้เยาว์ 2.นิติกรรมที่ผู้ปกครองไม่สามารถทำได้โดยลำพัง: oการขายทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง เช่น ที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ oการก่อหนี้ที่อาจเป็นภาระผูกพันต่อผู้เยาว์ oการทำธุรกรรมที่เสี่ยงต่อการสูญเสียทรัพย์สินของผู้เยาว์ **นิติกรรมที่ต้องขออนุญาตศาลก่อน *ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 กำหนดไว้ว่านิติกรรมบางประเภทที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน เช่น การขายที่ดิน การจำนองทรัพย์สิน และการทำธุรกรรมที่อาจก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ผู้เยาว์ เนื่องจากศาลต้องพิจารณาว่านิติกรรมนั้นเป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์หรือก่อความเสียหายน้อยที่สุด **ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574: กำหนดให้ผู้ใช้อำนาจปกครองต้องขออนุญาตจากศาลในการจัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์ในบางกรณีเพื่อป้องกันการกระทำที่อาจทำให้ผู้เยาว์เสียหาย 2.มาตรา 1598/23: ว่าด้วยอำนาจของผู้ปกครองในการจัดการทรัพย์สินและการใช้สิทธิต่าง ๆ ของผู้เยาว์ หลักกฎหมายที่อ้างอิง *มาตรา 1574 เป็นมาตราที่เน้นการคุ้มครองผู้เยาว์เป็นหลัก โดยศาลทำหน้าที่พิจารณาว่าการทำธุรกรรมหรือการจัดการทรัพย์สินนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดหรือไม่ เพื่อให้การตัดสินใจของผู้ปกครองไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เยาว์ ซึ่งทำให้เกิดกระบวนการตรวจสอบและคุ้มครองในนิติกรรมที่มีมูลค่าสูงหรืออาจมีผลกระทบในระยะยาว ***คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 453/2567: ศาลอนุญาตให้ผู้ปกครองขายที่ดินที่ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้เยาว์เพื่อนำรายได้มาใช้ในการศึกษาของผู้เยาว์ โดยเห็นว่าการขายเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์และได้รับราคาที่เหมาะสม แม้ว่าจะไม่มีการยินยอมจากมารดา เนื่องจากไม่สามารถติดต่อได้ ศาลจึงพิจารณาอนุญาตตามกฎหมาย 2.คำพิพากษาศาลฎีกาอื่น ๆ (ตัวอย่างทั่วไป): มีกรณีที่ศาลพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตการทำนิติกรรมของผู้ปกครองตามดุลยพินิจ เพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์เป็นหลัก บทความนี้ช่วยให้เห็นภาพรวมและการนำไปใช้ของกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาและความเข้าใจที่ดีขึ้นในเรื่องนี้.
|