
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 952/2543: การรวมฟ้องหนี้บัญชีเดินสะพัดแม้ภาระชำระต่างกัน
🔍 บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยว่าการกู้เบิกเงินเกินบัญชีสองฉบับโดยใช้บัญชีเดินสะพัดบัญชีเดียว แม้จำเลยที่เกี่ยวข้องมีภาระชำระหนี้ไม่เท่ากัน แต่เมื่อไม่สามารถแยกมูลหนี้ได้ จึงถือเป็นมูลหนี้เดียวกัน ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์สามารถรวมฟ้องจำเลยทั้งหมดในคดีเดียวได้ และพิพากษากลับให้รับฟ้องไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
🧾 ข้อเท็จจริงโดยสังเขป โจทก์ซึ่งเป็นธนาคาร ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งหก โดยระบุว่า: •จำเลยที่ 1 เปิดบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์ โดยใช้บัญชีเงินฝากกระแสรายวันเพียงบัญชีเดียว •จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี 2 ฉบับ: oฉบับแรก วงเงิน 2 ล้านบาท oฉบับที่สอง วงเงิน 7 ล้านบาท •จำเลยที่ 2–6 ได้ค้ำประกันหนี้เฉพาะในฉบับที่สอง และยอมรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วม •การเบิกเงินจากบัญชีนี้ ไม่สามารถระบุได้ว่าเบิกตามสัญญาใด •ยอดหนี้รวมทั้งหมด 12,361,110.64 บาท ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นหนี้คนละสัญญาและไม่เกี่ยวข้องกัน จึงไม่รับฟ้องรวม แต่ศาลฎีกาเห็นต่าง
สรุปย่อฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยสรุปว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ 2 ฉบับ ผ่านบัญชีเดินสะพัดบัญชีเดียว ซึ่งไม่สามารถแยกได้ว่าหนี้จำนวนใดมาจากสัญญาฉบับใด หนี้รวมกันเป็น 12,361,110.64 บาท ถือเป็นมูลหนี้เดียวกัน แม้จำเลยที่ 2 ถึง 6 จะค้ำประกันเฉพาะฉบับที่สองและมีภาระชำระหนี้ต่างกัน ก็สามารถรวมฟ้องเป็นคดีเดียวได้ การที่ศาลล่างไม่รับฟ้องไม่ตรงตามแนวทางของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์จึงฟังขึ้น
⚖️ คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า: •แม้มีสัญญากู้ 2 ฉบับ แต่ใช้บัญชีเดินสะพัดเดียวกันในการดำเนินธุรกรรมการเงิน •การเบิก–จ่าย ไม่สามารถระบุชัดเจนว่าเป็นการเบิกตามสัญญาใด •จึงถือว่าหนี้ทั้งสองฉบับมีลักษณะเป็น “มูลหนี้เดียวกัน” •แม้ว่าภาระของจำเลยแต่ละรายจะต่างกัน แต่สามารถรวมฟ้องไว้ในคดีเดียวได้ •ส่วนรายละเอียดว่าจำเลยใดต้องรับผิดเท่าใด เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงภายหลัง ผลคือ ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้รับฟ้องของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป
📚 ขยายความประเด็นทางกฎหมาย ✅ การวินิจฉัย "มูลหนี้เดียวกัน" ประเด็นหลักในคดีนี้คือ การตีความว่า “มูลหนี้เดียวกัน” หมายถึงอะไรในกรณีที่มีสัญญาหลายฉบับ หากธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดดำเนินผ่านบัญชีเดียว และไม่สามารถแยกหนี้ได้ว่าเกิดจากสัญญาใด การรวมฟ้องจึงถือว่าไม่ผิดหลักกฎหมาย หลักกฎหมายนี้ช่วยให้การดำเนินคดีมีความคล่องตัว ไม่ต้องฟ้องแยกคดีหลายฉบับให้ยุ่งยาก โดยเฉพาะในกรณีที่มูลหนี้ไม่อาจแยกแยะได้ทางบัญชีหรือพฤติการณ์ ✅ ผู้ค้ำประกันและลูกหนี้ร่วม ในคดีนี้ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ค้ำประกันเฉพาะในสัญญาฉบับที่สอง แต่เนื่องจากมูลหนี้รวมไม่สามารถแยกได้ว่ามาจากสัญญาใดเท่าใด การรวมฟ้องในคดีเดียวก็ยังชอบด้วยกฎหมาย กฎหมายไม่ได้กำหนดให้โจทก์ต้องฟ้องแยก หากภาระหนี้มีที่มาจากมูลหนี้เดียวกัน ยิ่งในกรณีที่ผู้ค้ำประกันยอมรับผิดเสมือนลูกหนี้ร่วม ยิ่งสนับสนุนการรวมฟ้อง
🧾 หลักกฎหมาย: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 194 มาตรา 194 บัญญัติว่า: “สิทธิเรียกร้องซึ่งเป็นอันผูกพันอยู่ระหว่างคู่กรณีสองฝ่าย หรือหลายฝ่าย จะต้องชำระให้แก่กันและกัน และเป็นสิทธิที่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ เรียกว่ามูลหนี้”
⚖️ คำอธิบายหลักกฎหมาย 🔹 ความหมายของ “มูลหนี้” (Obligation) คำว่า “มูลหนี้” ในที่นี้ หมายถึง ความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป ที่ทำให้บุคคลฝ่ายหนึ่งมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกระทำการ หรืองดเว้นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง และหากไม่ปฏิบัติตาม สิทธินั้นสามารถนำไปฟ้องร้องต่อศาลได้ตามกฎหมาย การมี "มูลหนี้" ต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการคือ: 1.คู่กรณีสองฝ่ายหรือหลายฝ่าย oอาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือผู้มีนิติบุคคลก็ได้ 2.มีสิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ได้ oหนี้ต้องมีความชัดเจนว่าฝ่ายหนึ่งมีหน้าที่จะต้องชำระให้แก่ฝ่ายอื่น 3.สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ oต้องเป็นสิทธิที่ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย มิใช่เพียงเรื่องศีลธรรม
🔎 ขยายความประเด็นทางกฎหมาย 🔸 การถือว่าหนี้หลายฉบับเป็น “มูลหนี้เดียวกัน” ในกรณีของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 952/2543 มีความสำคัญในแง่ของการตีความว่า หนี้หลายฉบับ (ในที่นี้คือสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี 2 ฉบับ) ที่ดำเนินผ่านบัญชีเดินสะพัดบัญชีเดียวกัน และไม่สามารถระบุแยกได้ว่าแต่ละยอดเป็นของสัญญาใด ย่อมถือว่าเป็น “มูลหนี้เดียวกัน” ตามความหมายของมาตรา 194 หลักการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องของ “การรวมฟ้อง” ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กล่าวคือ หากเป็นมูลหนี้เดียวกัน แม้จะมีคู่สัญญา (จำเลย) หลายคน หรือมีระดับความรับผิดไม่เท่ากัน ก็สามารถนำมารวมฟ้องในคดีเดียวได้ 🔸 ความยืดหยุ่นของกฎหมายในทางปฏิบัติ มาตรา 194 ไม่ได้ระบุลักษณะของ "มูลหนี้เดียวกัน" อย่างตายตัว แต่เปิดช่องให้ตีความตามข้อเท็จจริง หากกิจกรรมทางการเงินหรือข้อผูกพันมีลักษณะเชื่อมโยงต่อเนื่องกันอย่างแน่นแฟ้น จนไม่สามารถแยกออกจากกันโดยง่าย ศาลสามารถวินิจฉัยให้เป็นมูลหนี้เดียวกันได้ เพื่อประหยัดกระบวนการยุติธรรมและไม่ก่อให้เกิดความซ้ำซ้อนในทางคดี
📌 ตัวอย่างประกอบจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 952/2543 🔹 ข้อเท็จจริง: •จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคาร 2 ฉบับ (วงเงิน 2 และ 7 ล้านบาท) •ใช้บัญชีเดินสะพัดเดียวในการทำธุรกรรม •จำเลยที่ 2–6 ค้ำประกันเฉพาะฉบับที่สอง •ไม่สามารถแยกได้ว่าเงินที่เบิกมาจากสัญญาฉบับใด •ยอดหนี้รวม 12.36 ล้านบาท 🔹 การวินิจฉัยตามมาตรา 194: ศาลฎีกาถือว่าธุรกรรมดังกล่าวเป็น "มูลหนี้เดียวกัน" เพราะใช้บัญชีเดียวตลอด และไม่สามารถแบ่งแยกได้ว่าเงินจำนวนใดมาจากสัญญาฉบับใด การรวมฟ้องจำเลยทั้ง 6 ในคดีเดียว จึงเป็นไปโดยชอบ แม้ว่าจำเลยแต่ละรายจะมีภาระรับผิดไม่เท่ากันก็ตาม
สรุปหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องจากมาตรา 194 มาตรา 194 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วางหลักเกี่ยวกับ "มูลหนี้" ซึ่งหมายถึงสิทธิเรียกร้องที่ผูกพันอยู่ระหว่างคู่สัญญา และสามารถนำไปฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามกฎหมาย หากเป็นมูลหนี้เดียวกันแล้ว แม้จำเลยแต่ละรายจะมีภาระหรือหน้าที่ในการชำระหนี้ไม่เท่ากัน ก็สามารถนำมารวมฟ้องในคดีเดียวกันได้ การวินิจฉัยว่าหนี้เป็นมูลหนี้เดียวกันหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริง หากไม่สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าหนี้แต่ละส่วนเกิดจากสัญญาใด ศาลสามารถถือว่าเป็นมูลหนี้เดียวกันได้ เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการพิจารณาคดี และเพื่อหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อนหรือความสิ้นเปลืองในการแยกฟ้องหลายคดี
🧩 ตัวอย่างอื่นเพื่อประกอบความเข้าใจ กรณีที่ถือว่า “ไม่ใช่มูลหนี้เดียวกัน”: •นาย ก. ทำสัญญากู้เงินกับธนาคาร A จำนวน 1 ล้านบาท และอีก 3 เดือนถัดมา กู้เพิ่มอีก 2 ล้านบาท โดยเปิดบัญชีใหม่แยกจากเดิม → กรณีนี้หากไม่มีความเชื่อมโยงกันทางธุรกรรมหรือบัญชี ถือว่าเป็น “มูลหนี้ต่างกัน” ต้องแยกฟ้อง กรณีที่ถือว่า “เป็นมูลหนี้เดียวกัน”: •บริษัท ข. ทำสัญญาซื้อสินค้ากับบริษัท ค. เดือนละ 1 ครั้ง รวม 6 เดือน โดยมีใบสั่งซื้อ/สัญญาทุกเดือน แต่รวมยอดเรียกเก็บผ่านใบแจ้งหนี้เดียว และใช้บัญชีเดียวตลอด → หากมีข้อพิพาท บริษัท ค. อาจฟ้องรวมได้ เพราะถือว่าเป็นธุรกรรมต่อเนื่องและเป็นมูลหนี้เดียวกันในทางปฏิบัติ
✅ ดุลยพินิจของศาลเรื่องการพิพากษาแยกจำเลย แม้จะรวมฟ้องในคดีเดียวกันได้ แต่ศาลยังคงมีอำนาจในการวินิจฉัยแยกความรับผิดของแต่ละจำเลย เช่น ใครต้องชำระเท่าใด หรือจะต้องรับผิดแทนกันเพียงใด ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่ปรากฏ
💡 ข้อคิดทางกฎหมายจากคดีนี้ •การฟ้องคดีเกี่ยวกับหนี้บัญชีเดินสะพัดต้องพิจารณาโครงสร้างธุรกรรมโดยรวมเป็นหลัก •หากใช้บัญชีเดียวตลอด และไม่สามารถแยกแยะมูลหนี้ได้ การรวมฟ้องย่อมชอบด้วยกฎหมาย •ศาลต้องใช้ดุลยพินิจอย่างรอบคอบเมื่อมีจำเลยหลายรายที่มีระดับความรับผิดไม่เท่ากัน •การใช้ข้อบัญญัติกฎหมายอย่างยืดหยุ่นตามข้อเท็จจริงช่วยส่งเสริมความยุติธรรมในการพิจารณาคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 952/2543 จำเลยที่ 1 เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเพื่อใช้เป็นบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์เพียงบัญชีเดียว และทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์รวม 2 ฉบับโดยมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับที่สอง และยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้นำเงินเข้าฝากและออกเช็คสั่งจ่ายเงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีทั้ง 2 ฉบับจากบัญชีกระแสรายวันซึ่งมีบัญชีเดียวตลอดมา โดยไม่อาจแบ่งแยกได้ว่าหนี้จำนวนใดเป็นหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับแรกหรือฉบับที่สอง กรณีจึงเป็นมูลหนี้เดียวกัน แม้ว่าจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 จะมีภาระในการชำระหนี้ไม่เท่ากันก็สามารถรวมฟ้องมาในคดีเดียวกันได้ ส่วนการที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยคนใดชำระหนี้เท่าใด หรือใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนกันอย่างไรก็แล้วแต่ข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความ
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ยื่นคำฟ้องเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2541 ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นหนี้จำนวนหนึ่ง และฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นหนี้อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกัน สามารถแยกฟ้องได้ให้โจทก์แยกฟ้องภายใน 15 วัน และเสียค่าขึ้นศาลให้ถูกต้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์มีว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดไว้กับโจทก์ สาขานครพนม โดยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเพื่อใช้เป็นบัญชีเดินสะพัดเพียงบัญชีเดียว ต่อมาจำเลยที่ 1ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์รวม 2 ฉบับ ฉบับแรกมีวงเงินกู้เบิกเกินบัญชี 2,000,000 บาท ฉบับที่สองมีวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี 7,000,000 บาท จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับที่สอง และยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้นำเงินเข้าฝากและออกเช็คสั่งจ่ายเงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีทั้ง 2 ฉบับ จากบัญชีกระแสรายวันดังกล่าวซึ่งมีบัญชีเดียวตลอดมา โดยไม่อาจแบ่งแยกได้ว่าหนี้จำนวนใดเป็นหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับแรกหรือฉบับที่สองแต่ในที่สุดเป็นหนี้จำนวน 12,361,110.64 บาท ปัญหาวินิจฉัยมีว่า โจทก์จะฟ้องจำเลยทั้งหกเป็นคดีเดียวกันจะได้หรือไม่ เห็นว่าหนี้จำนวน 12,361,110.64 บาท ใช้เบิกเงินจากบัญชีกระแสรายวันซึ่งเป็นบัญชีเดินสะพัดบัญชีเดียวกัน จึงไม่อาจแบ่งแยกได้ว่าเป็นหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีตามฉบับแรกเท่าใดและตามฉบับที่สองเท่าใด จึงเป็นมูลหนี้เดียวกัน แม้ว่าจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 จะมีภาระในการชำระหนี้ไม่เท่ากันก็สามารถรวมฟ้องมาในคดีเดียวกันได้ ส่วนการที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยคนใดชำระหนี้เท่าใด หรือใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนกันอย่างไรก็แล้วแต่ข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความ ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องของโจทก์มาดำเนินการไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น" พิพากษากลับ ให้รับฟ้องของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป
🧠 IRAC วิเคราะห์ฎีกา 952/2543 Issue (ประเด็นปัญหา): เมื่อจำเลยทำสัญญากู้เงินเกินบัญชี 2 ฉบับ แต่ดำเนินการผ่านบัญชีเดินสะพัดเดียวกัน โจทก์จะสามารถรวมฟ้องจำเลยทั้งหกในคดีเดียวได้หรือไม่ แม้จำเลยจะมีภาระในการชำระหนี้แตกต่างกัน Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ): •ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 194 – สิทธิในการเรียกร้องหนี้ •หลักทั่วไปของการรวมฟ้องในคดีแพ่งเมื่อมี “มูลหนี้เดียวกัน” Application (การปรับใช้กฎหมาย): เนื่องจากจำเลยที่ 1 ใช้บัญชีเดียวในการเบิก–จ่ายเงินจากสัญญากู้ทั้งสองฉบับ และยอดหนี้รวมไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นของสัญญาใด จึงถือว่าหนี้ดังกล่าวเป็น “มูลหนี้เดียวกัน” ตามแนวทางการพิจารณาของศาลฎีกา แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 จะรับผิดเฉพาะบางสัญญา แต่สามารถฟ้องรวมได้ Conclusion (สรุปผลวินิจฉัย): ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้รับฟ้องของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป เพราะการฟ้องรวมจำเลยทั้งหกนั้นเป็นไปโดยชอบ เมื่อพิจารณาจากลักษณะของมูลหนี้ซึ่งถือว่าเป็นมูลหนี้เดียวกัน
🌐 English Summary Supreme Court Judgment No. 952/2543 Summary: This judgment concerns whether multiple defendants can be sued in a single case based on two overdraft agreements linked to the same current account. The Supreme Court ruled that since all transactions were conducted through a single account and the debts could not be separated by contract, they constitute a single cause of debt. Thus, even though the defendants have different levels of liability, the plaintiff is entitled to file a joint lawsuit. The Court reversed the lower courts’ decisions and allowed the case to proceed.
|