

คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา, ความผิดการใช้เช็ค, ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 888/2567 • ความผิดการใช้เช็ค • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 • คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา • คุมความประพฤติ จำเลย • พ.ร.บ.การใช้เช็ค พ.ศ. 2534 • การชำระหนี้ตามคำพิพากษา สรุปย่อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 888/2567 สรุปว่า จำเลยทั้งสองถูกตัดสินว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประกอบ ป.อ. มาตรา 83 โดยศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษารอการกำหนดโทษและคุมความประพฤติจำเลยที่ 2 ไว้ 2 ปี พร้อมกำหนดเงื่อนไขให้ชดใช้เงินตามเช็คที่ค้างแก่โจทก์ร่วมเป็นงวดทุก 3 เดือน แต่ไม่ได้ระบุจำนวนหนี้ที่แน่ชัด ทำให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ยาก ทั้งจำเลยทั้งสองโต้แย้งว่ามีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า การกำหนดเงื่อนไขชดใช้หนี้ในคดีนี้ไม่ชอบ เพราะการฟ้องร้องเรียกหนี้ควรเป็นคดีแพ่งที่แยกต่างหาก และไม่ต้องอิงมูลความผิดอาญา จึงพิพากษาแก้ไขว่าไม่กำหนดเงื่อนไขเยียวยาโจทก์ร่วมตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนด นอกเหนือจากนี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1. หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56: เป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการคุมความประพฤติของผู้กระทำความผิด โดยศาลสามารถสั่งให้ผู้กระทำผิดไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนด เช่น การเยียวยาความเสียหาย การรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ และการปฏิบัติตามคำสั่งอื่น ๆ เพื่อควบคุมดูแลผู้กระทำผิด ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46: บทบัญญัตินี้เกี่ยวข้องกับคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งหากเป็นคดีแพ่งที่ต้องพิจารณาร่วมกับคดีอาญา ศาลอาจจะสั่งเกี่ยวกับการเรียกค่าเสียหายไปพร้อมกันในคดีอาญาได้ แต่ในกรณีที่ไม่เกี่ยวเนื่องกัน เช่น กรณีที่ไม่ต้องพึ่งพามูลความผิดทางอาญา การฟ้องร้องต้องดำเนินเป็นคดีแพ่งแยกต่างหากจากคดีอาญา หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4: บัญญัติถึงความผิดที่เกิดขึ้นจากการใช้เช็คโดยไม่มีเงินในบัญชี หรือใช้เช็คโดยเจตนาให้เช็คไม่ผ่านการจ่ายเงิน เช่น การออกเช็คโดยผู้สั่งจ่ายรู้ว่าบัญชีไม่มีเงินเพียงพอ การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการหลอกลวงและมีโทษทางอาญา ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในการพิจารณาความผิดเกี่ยวกับการใช้เช็คในกรณีของคำพิพากษานี้ หลักกฎหมายเหล่านี้มีความสำคัญในการพิจารณาคดี โดยเฉพาะกรณีที่ต้องพิจารณาเงื่อนไขการคุมความประพฤติและการเยียวยาผู้เสียหาย ซึ่งต้องแยกจากการเรียกร้องทางแพ่งที่ไม่เกี่ยวกับคดีอาญา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 888/2567 จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 (1) (2) และ (5) ประกอบ ป.อ. มาตรา 83 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้รอการกำหนดโทษและคุมความประพฤติของจำเลยที่ 2 ไว้ มีกำหนด 2 ปี และกำหนดเงื่อนไขในการเยียวยาโจทก์ร่วม โดยให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินตามเช็คที่ค้างชำระอยู่แก่โจทก์ร่วมภายในระยะเวลารอการกำหนดโทษ โดยให้ชำระทุก 3 เดือน นับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นต้นไป โดยนำมาวางต่อศาลชั้นต้นหรือโดยวิธีการที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนดตาม ป.อ. มาตรา 56 วรรคสอง (10) แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้ระบุว่าจำนวนยอดหนี้ตามเช็คพิพาทที่ค้างชำระอยู่เป็นจำนวนเท่าใด จึงเป็นการยากที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวได้ ทั้งจำเลยทั้งสองได้โต้แย้งมาโดยตลอดว่าได้มีการชำระหนี้เงินต้นบางส่วนแก่โจทก์ร่วมแล้ว โดยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของโจทก์ร่วมหลายครั้งตามเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.4 แม้ศาลล่างทั้งสองจะฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้ต้นเงิน แต่จำนวนยอดหนี้ที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์ร่วมมีเพียงใดนั้น โจทก์ร่วมจะต้องไปฟ้องร้องบังคับเป็นคดีแพ่งต่างหาก ซึ่งในการพิจารณาคดีแพ่งดังกล่าวศาลไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีนี้อันเป็นคดีอาญา เนื่องจากการฟ้องร้องคดีแพ่งดังกล่าวเป็นสิทธิเรียกร้องที่ไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 แต่อย่างใด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า คดีแพ่งดังกล่าวมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ไม่อยู่ในบังคับบัญญัติมาตรา 46 แห่ง ป.วิ.อ. การกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติในการเยียวยาโจทก์ร่วมจึงไม่เป็นไปตามควรแก่กรณี
***โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 *จําเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ *ระหว่างพิจารณา นายสกนธ์ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต *ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 (ที่ถูก มาตรา 4 (1) (2) (5) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83) การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 3 เดือน รวมสองกระทงเป็นจำคุก 6 เดือน และลงโทษปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 10,000 บาท รวมสองกระทงเป็นปรับ 20,000 บาท หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 *จําเลยทั้งสองอุทธรณ์ *ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการกำหนดโทษและคุมความประพฤติของจำเลยที่ 2 ไว้มีกำหนด 2 ปี และกำหนดเงื่อนไขในการเยียวยาโจทก์ร่วมโดยให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินตามเช็คที่ค้างชำระอยู่แก่โจทก์ร่วมภายในระยะเวลารอการกำหนดโทษ โดยให้ชำระทุก 3 เดือน นับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นต้นไป โดยนำมาวางต่อศาลชั้นต้นหรือโดยวิธีการที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (ที่ถูก มาตรา 56 วรรคสอง) (10) ให้จำเลยที่ 2 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน เพื่อสอดส่องตักเตือนให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้างต้นอย่างเคร่งครัด หากผิดเงื่อนไขดังกล่าวให้พนักงานคุมประพฤติรายงานศาลชั้นต้นเพื่อกำหนดโทษแก่จำเลยที่ 2 ต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น *จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง *ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดเงื่อนไขในการเยียวยาโจทก์ร่วมโดยให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินตามเช็คที่ค้างชำระอยู่แก่โจทก์ร่วมภายในระยะเวลารอการกำหนดโทษ โดยให้ชำระทุก 3 เดือน นับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นต้นไป โดยนำมาวางต่อศาลชั้นต้นหรือโดยวิธีการที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 วรรคสอง (10) ให้จำเลยที่ 2 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน เพื่อสอดส่องตักเตือนให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้างต้นอย่างเคร่งครัด หากผิดเงื่อนไขดังกล่าวให้พนักงานคุมประพฤติรายงานศาลชั้นต้นเพื่อกำหนดโทษแก่จำเลยที่ 2 ต่อไปนั้น ชอบหรือไม่ เห็นว่า เงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดในการเยียวยาโจทก์ร่วมโดยให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับที่ค้างชำระอยู่แก่โจทก์ร่วมนั้น ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้โต้แย้งมาโดยตลอดว่าได้มีการชำระหนี้ต้นเงินบางส่วนให้แก่โจทก์ร่วมแล้ว โดยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของโจทก์ร่วมหลายครั้ง แม้ศาลล่างทั้งสองจะฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้ต้นเงินตามสัญญาเงินกู้ไปแล้วบางส่วน แต่จำนวนยอดหนี้ที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์ร่วมมีเพียงใดนั้น โจทก์ร่วมจะต้องไปฟ้องร้องบังคับกันเป็นคดีแพ่งต่างหาก ซึ่งในการพิจารณาคดีแพ่งดังกล่าวศาลไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีนี้อันเป็นคดีอาญา เนื่องจากการฟ้องร้องคดีแพ่งดังกล่าวเป็นสิทธิเรียกร้องโดยไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 แต่อย่างใด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า คดีแพ่งดังกล่าวมิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ไม่อยู่ในบังคับบทบัญญัติมาตรา 46 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อีกทั้งตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็มิได้ระบุว่าจำนวนยอดหนี้ตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับที่จำเลยทั้งสองค้างชำระอยู่เป็นจำนวนเงินเท่าใด จึงเป็นการยากที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวได้ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติในการเยียวยาโจทก์ร่วมมานั้น จึงเป็นการกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติไม่เป็นไปตามควรแก่กรณีแห่งคดี เป็นการไม่ชอบ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยข้ออ้างอื่น ๆ ในฎีกาของจำเลยทั้งสองอีกเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น *พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่กำหนดเงื่อนไขในการเยียวยาโจทก์ร่วมตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
ร่างคำฟ้องคดีอาญา เช็ค
ข้อ 2 การออกเช็คโดยรู้ว่าบัญชีไม่มีเงินเพียงพอและตั้งใจให้เช็คดังกล่าวไม่ผ่านการจ่ายเงิน ถือเป็นการกระทำที่ผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 (1) (2) และ (5) ข้อ 3 จำเลยทราบถึงสถานะทางบัญชีของตนแต่ยังคงออกเช็คโดยเจตนาให้เช็คไม่ผ่านการจ่ายเงิน เพื่อสร้างความเชื่อถือให้โจทก์เข้าใจผิดว่าจำเลยมีความสามารถชำระหนี้ได้ เป็นการกระทำที่ผิดตามกฎหมายและก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ข้อ 4 การกระทำของจำเลยเข้าข่ายความผิดหลายกรรมแยกกันเป็นคนละกระทง โจทก์จึงขอให้ลงโทษจำเลยในแต่ละกระทงตามมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา คำขอท้ายคำฟ้อง 1.ขอศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 2.ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นจำนวนเงินตามเช็คที่ค้างชำระ 3.ขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุมความประพฤติจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 เพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำ เอกสารนี้เป็นแนวทางให้แก่นักศึกษากฎหมายและทนายความใหม่เพื่อศึกษาวิธีการร่างคำฟ้องและคำขอท้ายคำฟ้องคดีอาญา |