

สัญญาจำนองใช้เป็นหลักฐานการกู้ยืมได้, บังคับจำนอง, การยึดทรัพย์สินเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดอยู่
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ สัญญาจำนองใช้เป็นหลักฐานการกู้ยืมได้, บังคับจำนอง, การยึดทรัพย์สินเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดอยู่ สัญญาจำนองเป็นหลักฐานการกู้ยืมที่สมบูรณ์โดยข้อสันนิษฐานทางกฎหมาย แต่การบังคับทรัพย์สินอื่นนอกเหนือจากทรัพย์จำนองไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากทรัพย์จำนองไม่เพียงพอ ลูกหนี้ไม่มีภาระรับผิดเพิ่มเติมตาม ป.พ.พ. มาตรา 733 หนังสือสัญญาจำนองที่ดินในคดีนี้ระบุว่า เป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินและผู้จำนองได้รับเงินเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 650 วรรคสอง การกู้ยืมจะสมบูรณ์เมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม แต่สัญญาจำนองเป็นเอกสารมหาชนซึ่งเจ้าหน้าที่จัดทำขึ้น โดยมีข้อสันนิษฐานตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 ว่าเป็นของแท้และถูกต้อง โจทก์จึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนี้ เมื่อจำเลยกล่าวอ้างว่าการกู้ยืมเงินไม่สมบูรณ์ จำเลยมีหน้าที่พิสูจน์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 แต่จำเลยไม่สามารถพิสูจน์ข้อกล่าวอ้างได้ การที่โจทก์ไม่ได้แสดงหลักฐานเพิ่มเติมถึงการจ่ายเงินกู้ยืม จึงไม่ถือเป็นเหตุให้ฟังว่าการกู้ยืมเงินไม่สมบูรณ์ ในส่วนคำขอของโจทก์เกี่ยวกับการบังคับจำนอง หากจำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์ขอให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และขอให้ยึดและอายัดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สัญญาจำนองนี้ไม่ได้กำหนดว่าลูกหนี้ต้องรับผิดในเงินที่ยังขาดจำนวนหากทรัพย์จำนองไม่เพียงพอ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 ลูกหนี้จึงไม่ต้องรับผิดในส่วนที่ขาด โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยเพื่อชำระหนี้ส่วนที่เหลือ ดังนั้น คำขอของโจทก์ในส่วนที่เกินกว่าทรัพย์จำนองจึงไม่สามารถบังคับได้ตามกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2451/2567 หนังสือสัญญาจำนองที่ดินมีข้อความว่า ถือสัญญาจำนองนี้เป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินด้วยและผู้จำนองได้รับเงินเป็นการเสร็จแล้ว แม้การกู้ยืมเงินเข้าลักษณะเป็นการยืมใช้สิ้นเปลืองที่ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมตาม ป.พ.พ. มาตรา 650 วรรคสอง แต่หนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นเอกสารมหาชน ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้นให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 127 โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้น เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ถึงความไม่บริบูรณ์ของการกู้ยืมเงินตามที่ปรากฏอยู่ในเอกสารขึ้นต่อสู้โจทก์ จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างจึงมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงถึงความไม่บริบูรณ์ของการกู้ยืมเงินเพื่อสนับสนุนคำให้การของตน ไม่ใช่ภาระการพิสูจน์ของฝ่ายโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 การที่โจทก์ไม่นำสืบหลักฐานการจ่ายเงินกู้ยืมให้แก่จำเลย จึงหาเป็นเหตุผลเพียงพอถึงกับจะทำให้ฟังว่าการกู้ยืมเงินไม่บริบูรณ์ไม่ โจทก์มีคำขอในส่วนของการบังคับจำนองว่า หากจำเลยไม่ชำระหนี้ให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์จำนอง รวมตลอดทั้งยึดและอายัดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน โดยสัญญาจำนองที่ดินไม่มีข้อตกลงว่า หากมีการบังคับชำระหนี้จากทรัพย์จำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ ลูกหนี้ผู้จำนองยังจะต้องรับผิดชำระเงินที่ยังขาดจำนวนอยู่จนครบถ้วน กรณีจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 733 ที่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินที่ยังขาดจำนวนอยู่ โจทก์จึงไม่อาจมีคำขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วนได้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 6,488,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 8 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5144 และ 5145 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง รวมตลอดทั้งยึดและอายัดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยชำระเงิน 6,488,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 8 ต่อปี ของต้นเงิน 5,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 10 มิถุนายน 2565) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5144 และ 5145 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่มิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561 จำเลยมอบอำนาจให้นายพรชัย ทำสัญญาและจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 5144 และ 5145 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อเป็นประกันหนี้ไว้แก่โจทก์ ก่อนฟ้องโจทก์มีจดหมายบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้จำนองภายในเวลาอันควรแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ที่โจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ 5,000,000 บาท และได้รับเงินไปเรียบร้อยแล้ว โจทก์มีหนังสือสัญญาจำนองที่ดิน สนับสนุน โดยในสัญญาข้อ 1 มีข้อความชัดว่า ผู้จำนอง (จำเลย) ตกลงจำนองที่ดินแปลงที่กล่าวข้างบนทั้งแปลงแก่ผู้รับจำนอง (โจทก์) เพื่อเป็นประกันหนี้การกู้ยืมเงินซึ่งผู้จำนองได้กู้ยืมไปจากผู้รับจำนองและถือสัญญาจำนองนี้เป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินด้วย เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท โดยให้ดอกเบี้ยร้อยละ 8 ต่อปี และตกลงนำส่งดอกเบี้ยปีละครั้งเสมอไป และยังระบุในข้อ 3 ว่า ผู้จำนองได้รับเงินเป็นการเสร็จแล้ว แม้การกู้ยืมเงินเข้าลักษณะเป็นการยืมใช้สิ้นเปลืองที่ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 650 วรรคสอง จึงไม่เป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่าพยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด หรือแต่บางส่วน หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย ก็ตาม แต่หนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นเอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้น เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ถึงความไม่บริบูรณ์ของการกู้ยืมเงินตามที่ปรากฏอยู่ในเอกสารขึ้นต่อสู้โจทก์ จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างจึงมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงถึงความไม่บริบูรณ์ของการกู้ยืมเงินเพื่อสนับสนุนคำให้การของตน ไม่ใช่ภาระการพิสูจน์ของฝ่ายโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 การที่โจทก์ไม่นำสืบหลักฐานการจ่ายเงินกู้ยืมให้แก่จำเลย จึงหาเป็นเหตุผลเพียงพอถึงกับจะทำให้ฟังว่าการกู้ยืมเงินไม่บริบูรณ์ไม่ ที่จำเลยนำสืบโดยจำเลยเบิกความว่า จำเลยประกอบอาชีพเปิดร้านขายยางรถยนต์ โจทก์เป็นเจ้าของกิจการขายส่งยางรถยนต์ให้แก่ร้านค้าทั่วไป จำเลยจำนองที่ดินทั้งสองแปลงเพื่อประกันหนี้สินค้ายางรถยนต์ในอนาคต เป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอย ๆ โดยไม่มีเอกสารหรือหลักฐานใดมาอ้างอิงสนับสนุนเลย กับยังเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่งที่จำเลยจะยอมนำทรัพย์สินของตนไปผูกพันในหนี้ที่ไม่มีอยู่จริงทั้งในขณะทำสัญญาจำนองและในอนาคตเช่นนั้น ที่จำเลยเบิกความอีกว่า ภายหลังจดทะเบียนจำนองจำเลยไม่เคยทำนิติกรรมสั่งซื้อยางรถยนต์จากโจทก์ ก็ดูย้อนแย้งขัดกันกับเหตุผลหลักที่ทำให้จำเลยต้องยอมนำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองเพื่อประกันหนี้ไว้แก่โจทก์ จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างความบริบูรณ์ของการกู้ยืมเงินตามที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญาจำนองที่ดินได้ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่า ฟังได้ว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ 5,000,000 บาท และได้รับเงินไปเรียบร้อยแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น อนึ่ง ที่โจทก์มีคำขอในส่วนของการบังคับจำนองว่า หากจำเลยไม่ชำระหนี้ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5144 และ 5145 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง อันเป็นทรัพย์จำนอง รวมตลอดทั้งยึดและอายัดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน โดยสัญญาจำนองที่ดินไม่มีข้อตกลงว่า หากมีการบังคับชำระหนี้จากทรัพย์จำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ ลูกหนี้ผู้จำนองยังจะต้องรับผิดชำระเงินที่ยังขาดจำนวนอยู่จนครบถ้วน กรณีจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 ที่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินที่ยังขาดจำนวนอยู่ โจทก์จึงไม่อาจมีคำขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วนได้ ที่ศาลล่างทั้งสองบังคับให้ตามคำขอของโจทก์ส่วนนี้มานั้นเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ มาตรา 252 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในส่วนที่บังคับว่า หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วนเสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ • บังคับจำนอง • กฎหมายจำนอง มาตรา 733 • ภาระการพิสูจน์ฝ่ายจำเลย • การยึดทรัพย์สินเพิ่มเติม • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 650 • สิทธิของลูกหนี้จำนอง • เอกสารมหาชน กฎหมายแพ่ง มาตรา 127 • คำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องจำนอง สรุปย่อฎีกา โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินต้น 6,488,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 8 ต่อปี และขอให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5144 และ 5145 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาด รวมทั้งยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยเพื่อชำระหนี้ให้ครบถ้วน จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 6,488,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 8 ของเงินต้น 5,000,000 บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด รวมทั้งยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยเพื่อชำระหนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ศาลฎีกา พิจารณาข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้กู้ยืมเงิน 5,000,000 บาทจากโจทก์และจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นหลักประกันหนี้ โดยโจทก์มีหลักฐานเป็นสัญญาจำนองที่ถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนข้ออ้างของจำเลยว่าการจำนองเกิดจากหนี้สินค้าล่วงหน้านั้นไม่มีหลักฐานสนับสนุน จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง อย่างไรก็ตาม สัญญาจำนองไม่มีข้อตกลงให้ลูกหนี้ต้องรับผิดในเงินที่ขาดจำนวนหากทรัพย์จำนองไม่เพียงพอในการชำระหนี้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินส่วนที่ขาด โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยเพื่อชำระหนี้ในส่วนที่ขาด คำพิพากษาศาลฎีกา แก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 โดยให้ยกคำขอในส่วนที่ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยเพื่อชำระหนี้ในส่วนที่ขาด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ การอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจบทความได้ดียิ่งขึ้น จำเป็นต้องอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 650 เนื้อหา: การกู้ยืมเงินถือเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง ซึ่งการกู้ยืมจะสมบูรณ์เมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมให้แก่ผู้กู้ ความเกี่ยวข้อง: ในคดีนี้ การกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์และจำเลยจะถือว่าสมบูรณ์เมื่อมีการส่งมอบเงิน 5,000,000 บาทจากโจทก์ให้แก่จำเลย สัญญาจำนองที่ระบุถึงการกู้ยืมนี้ใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่าการกู้ยืมได้เกิดขึ้นแล้ว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 เนื้อหา: กรณีจำนอง หากการบังคับชำระหนี้จากทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินที่ขาดจำนวนอยู่ เว้นแต่จะได้ตกลงไว้เป็นอย่างอื่น ความเกี่ยวข้อง: ในคดีนี้ สัญญาจำนองไม่ได้กำหนดว่าลูกหนี้ต้องรับผิดในเงินที่ขาดจำนวน การที่ศาลล่างบังคับให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยเพื่อชำระหนี้ส่วนที่ขาด จึงไม่สอดคล้องกับบทบัญญัตินี้ ศาลฎีกาแก้ไขให้ยกคำขอในส่วนดังกล่าว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1 เนื้อหา: คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด ฝ่ายนั้นมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น ความเกี่ยวข้อง: ในกรณีนี้ จำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าสัญญากู้ยืมเงินไม่สมบูรณ์และการจำนองเกิดจากหนี้สินค้ายางในอนาคต จำเลยจึงมีภาระในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม จำเลยไม่มีหลักฐานสนับสนุนคำกล่าวอ้าง ศาลจึงยอมรับหลักฐานของโจทก์ที่มีน้ำหนักมากกว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 เนื้อหา: เอกสารมหาชนที่พนักงานเจ้าหน้าที่จัดทำขึ้นให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้และถูกต้อง ความเกี่ยวข้อง: สัญญาจำนองที่ดินในคดีนี้จัดทำโดยพนักงานเจ้าหน้าที่และถือเป็นเอกสารมหาชน โจทก์จึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานว่าเอกสารดังกล่าวเป็นของแท้และถูกต้อง จำเลยต้องนำหลักฐานมาหักล้างข้อสันนิษฐานนี้ แต่จำเลยไม่มีหลักฐานเพียงพอ ศาลจึงวินิจฉัยตามเอกสารที่โจทก์ยื่น สรุป การวินิจฉัยในคดีนี้สะท้อนให้เห็นถึงการบังคับใช้หลักกฎหมายอย่างชัดเจน โดย มาตรา 650 ยืนยันความสมบูรณ์ของการกู้ยืม, มาตรา 733 ปกป้องลูกหนี้จากการต้องรับผิดเกินจากทรัพย์จำนอง, และ มาตรา 84/1 กับ มาตรา 127 เป็นแนวทางการพิจารณาพยานหลักฐานเพื่อความเป็นธรรมในคดี ทั้งหมดนี้ช่วยให้การตัดสินคดีเป็นไปตามกฎหมายและเหตุผล **การบังคับจำนองคืออะไร การบังคับจำนอง หมายถึง กระบวนการทางกฎหมายที่เจ้าหนี้ผู้รับจำนองซึ่ง (มักเป็นธนาคารหรือสถาบันการเงิน) ใช้สิทธิบังคับเอาจากทรัพย์จำนองที่ลูกหนี้นำมาจำนองไว้ เพื่อชำระหนี้ที่ค้างชำระ หากลูกหนี้ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระหนี้ โดยทั่วไป ทรัพย์จำนองจะถูกนำออกขายทอดตลาด และรายได้จากการขายจะนำมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ ข้อกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการบังคับจำนอง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 702 - กำหนดสิทธิของผู้รับจำนองในการบังคับเอาแก่ทรัพย์จำนอง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 - ระบุว่า หากการบังคับขายทรัพย์จำนองไม่เพียงพอ ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินที่ยังขาด เว้นแต่จะตกลงไว้เป็นอย่างอื่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับการบังคับจำนอง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 828/2549 ประเด็น: ผู้รับจำนองมีสิทธิบังคับจำนองได้แม้ไม่มีสัญญากู้ยืมเงินแยกต่างหาก รายละเอียด: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาจำนองสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันการกู้ยืมได้ หากมีข้อความชัดเจนว่าทรัพย์จำนองเป็นหลักประกันหนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5036/2560 ประเด็น: การบังคับทรัพย์อื่นที่ไม่ใช่ทรัพย์จำนอง รายละเอียด: ศาลฎีกาพิพากษาว่า หากสัญญาจำนองไม่ได้กำหนดให้ลูกหนี้รับผิดในเงินที่ขาดจำนวน เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิบังคับยึดทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ตามมาตรา 733 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4265/2557 ประเด็น: ขอบเขตสิทธิของเจ้าหนี้ในการขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง รายละเอียด: ศาลระบุว่า การขายทอดตลาดต้องเป็นไปตามมูลหนี้ที่ระบุไว้ในสัญญาจำนองเท่านั้น หากมีการขายในส่วนที่เกิน เจ้าหนี้ต้องคืนเงินส่วนเกินให้ลูกหนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2338/2558 ประเด็น: การอ้างเอกสารสัญญาจำนองที่ไม่สมบูรณ์ รายละเอียด: ศาลวินิจฉัยว่า หากเอกสารจำนองขาดความสมบูรณ์ เจ้าหนี้ยังต้องแสดงหลักฐานเสริมเพื่อยืนยันสิทธิในการบังคับจำนอง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 981/2562 ประเด็น: การโต้แย้งว่าหนี้จำนองไม่มีอยู่จริง รายละเอียด: ศาลตัดสินว่า ผู้จำนองต้องพิสูจน์ว่าหนี้จำนองไม่มีอยู่จริง โดยภาระการพิสูจน์อยู่ที่ฝ่ายผู้กล่าวอ้าง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4179/2561 ประเด็น: การบังคับจำนองทรัพย์ที่ไม่ใช่ของลูกหนี้ รายละเอียด: หากทรัพย์จำนองเป็นของบุคคลที่สาม บุคคลดังกล่าวมีสิทธิคัดค้านการขายทอดตลาดหากมีเหตุอันสมควร คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5321/2554 ประเด็น: เจ้าหนี้สามารถอายัดทรัพย์ส่วนอื่นได้หรือไม่ รายละเอียด: หากทรัพย์จำนองขายทอดตลาดแล้วยังขาดจำนวน แต่สัญญาไม่ได้ระบุให้ลูกหนี้รับผิดเพิ่มเติม เจ้าหนี้ไม่สามารถอายัดทรัพย์สินส่วนอื่นได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 743/2545 ประเด็น: ความสำคัญของเอกสารมหาชนในสัญญาจำนอง รายละเอียด: ศาลตัดสินว่า สัญญาจำนองที่ลงนามต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ถือเป็นเอกสารมหาชนที่มีข้อสันนิษฐานว่าเป็นของแท้และถูกต้อง เว้นแต่มีการพิสูจน์หักล้าง บทสรุป การบังคับจำนองเป็นกระบวนการสำคัญที่ใช้กฎหมายคุ้มครองสิทธิของทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาแต่ละคดีสะท้อนถึงแง่มุมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ เช่น ขอบเขตของสัญญา การใช้เอกสารมหาชน และสิทธิของบุคคลที่สาม ตัวอย่างเหล่านี้สามารถใช้เป็นแนวทางศึกษากฎหมายและเปรียบเทียบเพื่อทำความเข้าใจเรื่องการบังคับจำนองให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น |