
| ผู้ค้ำประกันหลุดพ้น เมื่อผู้ให้เช่าซื้อยอมผ่อนเวลา (ฎีกา 2527/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกรณีที่โจทก์ได้มีหนังสือแจ้งจำเลยที่ 1 ว่าจะผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้เช่าซื้อ 6 งวด ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่ได้แสดงเจตนาปฏิเสธ เมื่อยอมผ่อนเวลาเช่นนี้ จึงถือเป็น “การยอมผ่อนเวลาให้แก่จำเลย” ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ผลก็คือ ผู้ค้ำประกัน (จำเลยที่ 2) ที่ไม่ได้เข้าร่วมตกลงผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ 1 ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 700 ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องและพิพากษายืนให้จำเลยที่ 2 พ้นจากความรับผิด ข้อเท็จจริง • เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2562 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน • โจทก์พักชำระหนี้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – กรกฎาคม 2563 (รวม 6 งวด) และคิดดอกเบี้ยในช่วงพักชำระเป็นเงิน 14,880.09 บาท • จำเลยที่ 1 ไม่ชำระงวดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 เป็นต้นไป (ผิดนัด 3 งวดติดต่อกัน) • โจทก์ส่งหนังสือทวงถามและถือเป็นการบอกเลิกสัญญาเมื่อเพิกเฉย • โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ส่งคืนรถยนต์หรือใช้ราคาแทน พร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหาย และเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิด • จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ • ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถหรือชำระเงินแทน พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 5 ต่อปี และให้จำเลยที่ 2 พ้นจากความรับผิด • ศาลอุทธรณ์แก้ให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยตามพระราชกฤษฎีกา และให้ยกค่าสูงศาลที่จำเลยที่ 2 • โจทก์ฎีกาเฉพาะในประเด็นผู้ค้ำประกัน ปัญหาที่ต้องวินิจฉัย • (Issue 1) การที่โจทก์ส่งหนังสือแจ้งผ่อนปรนการชำระหนี้ 6 งวด ถือเป็น “ยอมผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ 1” หรือไม่? • (Issue 2) ถ้าเป็นการยอมผ่อนเวลาให้ ผู้ค้ำประกัน (จำเลยที่ 2) ที่มิได้ตกลงให้ผ่อนเวลาด้วย จะพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันหรือไม่? • (Issue 3) ข้ออ้างเรื่องมาตรการของ ธปท. / พระราชกำหนดช่วยเหลือผู้ประกอบวิสาหกิจ COVID-19 จะนำมาบังคับใช้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้หรือไม่?
⚖️ มาตรากฎหมายที่ใช้เป็นหลัก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 วรรคหนึ่ง “ถ้าค้ำประกันหนี้อันจะต้องชำระ ณ เวลามีกำหนดแน่นอน และเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด เว้นแต่ผู้ค้ำประกันจะได้ตกลงด้วยในการผ่อนเวลานั้น” ➡️ ศาลฎีกาใช้บทบัญญัตินี้อธิบายว่า เมื่อเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ โดยผู้ค้ำประกันไม่ได้ตกลงด้วย ผู้ค้ำประกันย่อมพ้นจากความรับผิดในสัญญาค้ำประกัน 🔑 5 Keywords สำคัญที่เป็นแก่นของคดีนี้ พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ 1. ผู้ค้ำประกัน (Guarantor) บุคคลที่รับรองหนี้แทนลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ ในคดีนี้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน แต่ไม่ได้เข้าร่วมตกลงในการพักชำระหนี้ เมื่อเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน ศาลจึงเห็นว่าผู้ค้ำประกัน “หลุดพ้นจากความรับผิด” 2. ยอมผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ (Extension of Time) โจทก์ส่งหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 พักชำระหนี้ 6 งวดในช่วงโควิด โดยไม่ได้รับการปฏิเสธ ถือเป็นการ “ยอมผ่อนเวลา” ทำให้กำหนดชำระงวดสุดท้ายเลื่อนออกไป ศาลตีความว่าการกระทำนี้เป็นการให้เวลาใหม่ ซึ่งเข้าหลักมาตรา 700 3. หลุดพ้นจากความรับผิด (Release from Liability) เป็นผลทางกฎหมายเมื่อเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้ลูกหนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน ผลคือผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดอีกต่อไปในส่วนของหนี้นั้น ๆ 4. มาตรการพักชำระหนี้ COVID-19 (Debt Relief Measures) โจทก์อ้างว่าการพักชำระหนี้เป็นไปตามหนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทยและพระราชกำหนดช่วยเหลือผู้ประกอบวิสาหกิจช่วงโควิด ศาลพิเคราะห์ว่า มาตรการดังกล่าวเป็นเพียงการ “ผ่อนปรนชั่วคราว” และไม่บังคับใช้กับบุคคลธรรมดาอย่างจำเลยที่ 1 จึงไม่อาจใช้เป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันยังต้องรับผิด 5. มาตรา 700 ป.พ.พ. (Section 700 CCC) เป็นหัวใจของคดี — กำหนดหลักสำคัญว่า “เจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้ลูกหนี้โดยผู้ค้ำประกันไม่ยินยอม → ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด” ศาลฎีกายึดบทบัญญัตินี้เป็นหลักในการพิพากษายืน 🧭 สรุปประเด็นสำคัญ คดีนี้เป็นแนววินิจฉัยสำคัญเกี่ยวกับ สิทธิของผู้ค้ำประกันเมื่อเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ ศาลฎีกายืนยันหลักว่า “การพักชำระหนี้” แม้เกิดจากความหวังดีหรือมาตรการช่วยเหลือ หากทำให้กำหนดชำระหนี้เปลี่ยนไป ถือเป็นการยอมผ่อนเวลา และหากผู้ค้ำประกันไม่ได้ตกลงร่วมย่อมพ้นจากความรับผิดตามกฎหมาย หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 วรรคหนึ่ง — หากผู้ให้กู้ (หรือเจ้าหนี้) ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ โดยที่ผู้ค้ำประกันไม่ได้ตกลงด้วย ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดของผู้ค้ำประกัน • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (เรื่องการผ่อนเวลา / ยอมผ่อนเวลา) — หลักทั่วไปว่าการยอมผ่อนเวลาหมายถึงเจ้าหนี้ให้เวลาลูกหนี้ชำระหนี้ใหม่ • มาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย / มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ COVID-19 — หนังสือ ธปท. ที่ ธปท. ฝนส.(01) ว. 380/2563 ข้อ 2 (3) ระบุว่า มาตรการช่วยเหลือเป็นเพียง “ผ่อนปรน” ชั่วคราว ไม่จำเป็นต้องขยายเวลาชำระหนี้เสร็จสิ้นตามสัญญา และหากจะขยายเวลาตั้งใจให้เป็นทางการ ต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวกับหลักประกันและผู้ค้ำประกัน • พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ (พ.ศ. 2563) — มีบทบัญญัติเรื่องการชะลอการชำระหนี้ (มาตรา 15) แต่จำกัดเฉพาะ “ผู้ประกอบวิสาหกิจ” ไม่รวมบุคคลธรรมดา • หลักการทั่วไปในสัญญา — เมื่อนำเสนอเงื่อนไขผ่อนปรน เจ้าหนี้อาจถือเป็น “ยอมผ่อนเวลา” ถ้าลูกหนี้ไม่ปฏิเสธ การวิเคราะห์ / การประยุกต์ (Application) 1 ยอมผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์ได้ส่งหนังสือลงวันที่ 13 เมษายน 2563 แจ้งให้จำเลยที่ 1 พักชำระหนี้ 6 งวด (กุมภาพันธ์ถึงกรกฎาคม 2563) โดยให้เริ่มชำระใหม่ตั้งเดือนสิงหาคม 2563 เป็นต้นไป โดยไม่มีการแสดงเจตนาปฏิเสธจากจำเลยที่ 1 การพักชำระหนี้ดังกล่าวมีผลทำให้กำหนดเวลาชำระงวดสุดท้ายเลื่อนไปจากวันที่ 15 มิถุนายน 2567 เป็นวันที่ 15 ธันวาคม 2567 พฤติการณ์นี้แสดงได้ว่าโจทก์ “ยอมผ่อนเวลา” ให้แก่จำเลยที่ 1 เพราะโจทก์อนุญาตให้เลื่อนเวลาชำระหนี้ออกไป โดยไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมหรือการเจรจเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาหลัก 2 ผลต่อผู้ค้ำประกันที่มิได้ตกลงให้ผ่อนเวลา ตาม ป.พ.พ. มาตรา 700 กรณีเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ โดยผู้ค้ำประกันไม่ได้ตกลงด้วย ผู้ค้ำประกันจะหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน ในคดีนี้ จำเลยที่ 2 (ผู้ค้ำประกัน) ไม่ได้เข้าร่วมเจรจาหรือยินยอมให้พักชำระหนี้ตามหนังสือของโจทก์ ดังนั้น เมื่อโจทก์แสดงเจตนายอมผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ 1 ผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 700 3 ข้ออ้างเรื่องมาตรการ COVID-19 โจทก์อ้างหนังสือของ ธปท. (ธปท. ฝนส.(01) ว. 380/2563) และพระราชกำหนดช่วยเหลือผู้ประกอบวิสาหกิจ ว่าเป็นมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ อย่างไรก็ตาม: • ข้อ 2 (3) ของหนังสือ ธปท. ชี้ว่าเป็น “มาตรการผ่อนปรน” ชั่วคราว ไม่ได้มีผลให้การขยายระยะเวลาการชำระหนี้เป็นสาระสำคัญต้องปฏิบัติตามกฎหมายหลักประกันหรือผู้ค้ำประกัน • พระราชกำหนดช่วยเหลือ (พ.ศ. 2563) มีผลใช้บังคับตั้งแต่ 19 เมษายน 2563 และเป็นเฉพาะ “ผู้ประกอบวิสาหกิจ” (ไม่ใช่บุคคลธรรมดา) • ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยที่ 1 เป็นบุคคลธรรมดา ไม่ปรากฏว่าเป็นผู้ประกอบวิสาหกิจ จึงไม่เข้าข่ายบังคับใช้พระราชกำหนดนั้น • ดังนั้น ข้ออ้างของโจทก์ว่าเป็นมาตรการทางกฎหมายที่บังคับให้ขยายเวลาการชำระหนี้จึงไม่อาจใช้เป็นมาตรฐานในการบังคับแก่จำเลยที่ 2
คำพิพากษาศาลฎีกา (ผลคำวินิจฉัย) ศาลฎีกาพิจารณาว่า: • ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์ได้ยอมผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ 1 ด้วยการพักชำระหนี้ 6 งวด และจำเลยที่ 1 ไม่ได้ปฏิเสธ • เมื่อเป็นมูลเหตุยอมผ่อนเวลา ให้ถือว่ากำหนดเวลาสิ้นสุดสัญญาผ่อนออกไป • จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันไม่ได้ตกลงให้ผ่อนเวลา จึงหลุดพ้นจากความรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 700 • ข้ออ้างของโจทก์ว่าใช้มาตรการ COVID-19 / พระราชกำหนดช่วยเหลือมาอ้างเป็นกฎหมายบังคับให้ขยายเวลาให้แก่จำเลยที่ 1/2 ไม่อาจรับฟังเพราะจำเลยที่ 1 ไม่เป็นผู้ประกอบวิสาหกิจ • ดังนั้น ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ศาลพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ โดยให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนเกินแก่โจทก์ ข้อคิดทางกฎหมาย • เจ้าหนี้เมื่อต้องการให้พักชำระหนี้หรือผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ หากผู้ค้ำประกันมิได้ตกลงร่วม ย่อมมีผลให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 700 ของ ป.พ.พ. • มาตรการช่วยเหลือจากรัฐหรือ ธปท. โดยทั่วไปเป็นเพียงการผ่อนปรนชั่วคราว ไม่ใช่การขยายเวลาชำระหนี้ตามกฎหมายหากไม่มีการตกลงเพิ่มเติม • ผู้ค้ำประกันควรระวังในกรณีที่เจ้าหนี้แสดงเจตนายอมผ่อนเวลาโดยมิได้ขอความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน • แนวคำพิพากษานี้เป็นแนวปฏิบัติสำคัญในคดีสัญญาค้ำประกัน และเป็นบรรทัดฐานให้ผู้ให้กู้ / เจ้าหนี้พิจารณาเงื่อนไขก่อนให้ผ่อนเวลา
IRAC แบบขยาย Issue (ประเด็น): 1. เจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ (จำเลยที่ 1) โดยไม่มีการปฏิเสธจากลูกหนี้ — ถือเป็น “ยอมผ่อนเวลา” ตามกฎหมายหรือไม่? 2. ถ้าเป็นการยอมผ่อนเวลาให้ ผู้ค้ำประกัน (จำเลยที่ 2) ที่มิได้ตกลงให้ผ่อนเวลาด้วย จะหลุดพ้นจากความรับผิดหรือไม่? 3. ข้ออ้างในการใช้มาตรการ COVID-19 หรือพระราชกำหนดช่วยเหลือ จะเป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันยังต้องรับผิดหรือไม่? Rule (บทกฎหมาย): • ป.พ.พ. มาตรา 700 วรรคหนึ่ง — ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดเมื่อเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำประกัน • หลักการในสัญญาและการยอมผ่อนเวลา — เจ้าหนี้ที่ให้เวลาใหม่แก่ลูกหนี้โดยไม่มีเงื่อนไข ถือเป็นการยอมผ่อนเวลา • มาตรการ COVID-19 และพระราชกำหนดช่วยเหลือ — มีลักษณะเป็นมาตรการชั่วคราว (relief) และไม่อาจบังคับให้ขยายเวลาตามสัญญาโดยอัตโนมัติ • หลักเกณฑ์การตีความข้ออ้างของฝ่ายเจ้าหนี้ — ถ้าผู้ค้ำประกันมิได้ยินยอมให้เปลี่ยนเงื่อนไข ต้องได้รับการคุ้มครอง Application (การประยุกต์ใช้): • โจทก์ส่งหนังสือแจ้งพักชำระหนี้ 6 งวด (ก.พ.–ก.ค. 2563) และให้เริ่มชำระใหม่ในเดือนสิงหาคม 2563 เป็นต้นไป • จำเลยที่ 1 มิได้แสดงปฏิเสธหรือยกเลิกเงื่อนไขการผ่อนปรน • พฤติการณ์ดังกล่าวทำให้ครบองค์ประกอบของ “เจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้” • จำเลยที่ 2 ไม่มีหลักฐานแสดงว่าเขาเคยยินยอมหรือเข้าร่วมตกลงเงื่อนไขผ่อนเวลา • เมื่อนำบทมาตรา 700 มาใช้ จำเลยที่ 2 จึงหลุดพ้นจากความรับผิด • ข้ออ้างของโจทก์ว่าเป็นการใช้มาตรการ COVID-19 / พระราชกำหนดช่วยเหลือ (ชะลอการชำระหนี้) ไม่เพียงพอ เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ “ผู้ประกอบวิสาหกิจ” และมาตรการนั้นมิได้มีบทบัญญัติให้การขยายเวลาชำระหนี้เป็นการบังคับแก่ผู้ค้ำประกัน Conclusion (บทสรุป): ผู้ค้ำประกัน (จำเลยที่ 2) พ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน เนื่องจากเจ้าหนี้ (โจทก์) ได้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ (จำเลยที่ 1) โดยที่ผู้ค้ำประกันไม่ได้ตกลง ย่อมเป็นผลให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 700 ศาลฎีกาตัดสินให้ยืนตามศาลอุทธรณ์และปฏิเสธฎีกาของโจทก์
⚖️ คำถามที่ 1: เมื่อเจ้าหนี้ในสัญญาเช่าซื้อยอมให้ลูกหนี้พักชำระหนี้โดยผู้ค้ำประกันไม่ได้ตกลงด้วย ผู้ค้ำประกันยังคงต้องรับผิดหรือไม่? คำตอบ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่เจ้าหนี้ส่งหนังสือแจ้งให้ลูกหนี้พักชำระหนี้ 6 งวด โดยลูกหนี้ไม่ได้ปฏิเสธ ถือเป็นการ “ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้” ซึ่งทำให้กำหนดเวลาชำระงวดสุดท้ายเลื่อนออกไปจากเดิม แม้มาตรการพักหนี้นั้นจะอ้างอิงตามหนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงโควิด-19 แต่เป็นเพียงมาตรการผ่อนปรนชั่วคราว ไม่ใช่ข้อบังคับทางกฎหมาย เมื่อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า หากเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้ลูกหนี้โดยผู้ค้ำประกันไม่ได้ตกลงด้วย ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด ศาลจึงเห็นว่าผู้ค้ำประกันในคดีนี้พ้นจากความรับผิดตามกฎหมาย
⚖️ คำถามที่ 2: มาตรการพักชำระหนี้ตามหนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทยและพระราชกำหนดช่วยเหลือผู้ประกอบวิสาหกิจในช่วงโควิด-19 สามารถนำมาอ้างเพื่อให้ผู้ค้ำประกันยังต้องรับผิดได้หรือไม่? คำตอบ:
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่กำหนดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในช่วงโควิด-19 เป็นเพียง “มาตรการผ่อนปรนชั่วคราว” เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ระยะเร่งด่วน ไม่ได้เป็นข้อบังคับทางกฎหมายที่ขยายระยะเวลาชำระหนี้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งพระราชกำหนดช่วยเหลือผู้ประกอบวิสาหกิจ พ.ศ. 2563 มีผลใช้เฉพาะกับ “ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” ไม่รวมถึงบุคคลธรรมดาอย่างจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ ดังนั้น มาตรการดังกล่าวไม่อาจนำมาอ้างเพื่อคงความรับผิดของผู้ค้ำประกันได้ ศาลจึงวินิจฉัยว่าผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 700
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2527/2567 การที่โจทก์มีหนังสือไปยังจำเลยที่ 1 ว่าโจทก์ผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ตามที่กำหนดในสัญญาเช่าซื้อรวม 6 งวด ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 บอกปัดไม่ประสงค์รับการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ตามเงื่อนไขของโจทก์ เมื่อการพักชำระหนี้ค่าเช่าซื้อ 6 งวด ดังกล่าวเป็นผลให้กำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้องวดสุดท้ายที่กำหนดไว้เลื่อนออกไปจากเดิม พฤติการณ์ถือว่าเป็นกรณีที่โจทก์ยอมผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ 1 ส่วนหนังสือธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ ธปท.ฝนส.(01) ว.380/2563 เรื่องมาตรการการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมในช่วงสถานการณ์การระบาดของ COVID -19 ข้อ 2 (3) ระบุว่า ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ตามมาตรการที่ ธปท. กำหนดนี้เป็นเพียงมาตรการผ่อนปรนเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ระยะเร่งด่วน ซึ่งไม่จำเป็นต้องขยายระยะเวลาการชำระหนี้เสร็จสิ้นตามสัญญา อันเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจพึงกระทำได้ แต่หากมีการขยายระยะเวลาการชำระหนี้เสร็จสิ้นตามสัญญาออกไป ขอให้ถือปฏิบัติตาม ป.พ.พ. ที่เกี่ยวข้องกับหลักประกันและผู้ค้ำประกัน ข้อ 2 (3) นี้มีความชัดเจนอยู่ในตัวว่าหากจะขยายระยะเวลาการชำระหนี้เสร็จสิ้นตามมาตรการที่กำหนดนี้ อย่างไรเสียก็จะต้องดำเนินการภายใต้บังคับ ป.พ.พ. ลักษณะ 11 ค้ำประกัน และ พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 2563 ภายหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาตรการการให้ความช่วยเหลือและโจทก์มีหนังสือพักชำระหนี้แล้ว จึงฟังไม่ได้ว่าที่โจทก์พักชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นการดำเนินการตามพระราชกำหนดฉบับดังกล่าว พระราชกำหนดฉบับดังกล่าวมีเจตนารมณ์ในการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและเป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจ คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏเพียงว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 อยู่ในฐานะเป็นผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตามความหมายที่กำหนดในพระราชกำหนดแต่อย่างใด กรณีจึงไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวมาใช้บังคับแก่ลูกหนี้รายจำเลยที่ 1 ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันตกลงด้วยในการผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 700 วรรคหนึ่ง โจทก์อุทธรณ์และฎีกาเฉพาะแต่ในปัญหาเรื่องความรับผิดของจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน คดีในชั้นอุทธรณ์และฎีกาจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท และไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลอนาคต แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาตามทุนทรัพย์และค่าขึ้นศาลอนาคตมาด้วย จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท ให้แก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 913,630.89 บาท ให้ชำระค่าขาดประโยชน์ 80,000 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 10,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาแทนจนเสร็จสิ้น ให้ชำระดอกเบี้ยพักชำระหนี้ 14,880.09 บาท และให้ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 1,008,510.98 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 758,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 64,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 11 มิถุนายน 2564) เป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือชดใช้ราคาแทนกับดอกเบี้ยในระหว่างพักชำระหนี้ 14,880.09 บาท และชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์อีกเดือนละ 8,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือชดใช้ราคาแทน แต่กำหนดให้ไม่เกิน 10 เดือน กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1 ใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี ยกฟ้องจำเลยที่ 2 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของราคาใช้แทนจำนวน 758,000 บาท นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา (วันที่ 11 ตุลาคม 2564) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินค่าขาดประโยชน์ 64,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 11 มิถุนายน 2564) เป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือชดใช้ราคาแทน ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยทั้งสองส่วนให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ในศาลชั้นต้นและค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2562 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าไปจากโจทก์ โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือน ทุกวันที่ 15 ของทุกเดือน ติดต่อกันไปรวม 60 งวด เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 15 กรกฎาคม 2562 โดยมีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกัน ต่อมาโจทก์พักชำระหนี้ตั้งแต่งวดเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึงงวดเดือนกรกฎาคม 2563 ให้แก่จำเลยที่ 1 และให้เริ่มชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดเดือนสิงหาคม 2563 เป็นต้นไป โดยคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่พักชำระหนี้เป็นเงิน 14,880.09 บาท จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 10 ประจำวันที่ 15 ตุลาคม 2563 เป็นต้นมาเกิน 3 งวดติด ๆ กัน โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือหากเพิกเฉยให้ถือเอาหนังสือฉบับดังกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญา จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือแล้วเพิกเฉย สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นอันเลิกกัน โจทก์ไม่ขออนุญาตฎีกาและฎีกาในส่วนของจำเลยที่ 1 ความรับผิดของจำเลยที่ 1 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ซึ่งได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ตามฟ้องโจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า การที่โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 13 เมษายน 2563 ไปยังจำเลยที่ 1 ว่าโจทก์ผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ตามที่กำหนดในสัญญาเช่าซื้อตั้งแต่งวดเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึงงวดเดือนกรกฎาคม 2563 รวม 6 งวด จำเลยที่ 1 ยังไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าเช่าซื้องวดดังกล่าวในงวดเดือนสิงหาคม 2563 ถึงงวดเดือนธันวาคม 2567 แทน ทั้งนี้จำนวนงวดค่าเช่าซื้อที่ต้องชำระยังมีจำนวนเท่าเดิม โดยค่าเช่าซื้องวดเดือนสุดท้ายต้องชำระวันที่ 15 ธันวาคม 2567 และโจทก์ยังคงคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่พักชำระหนี้ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 บอกปัดไม่ประสงค์รับการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ตามเงื่อนไขของโจทก์ ตามที่ระบุในหนังสือฉบับดังกล่าวว่าจำเลยที่ 1 สามารถแจ้งยกเลิกทางโทรศัพท์หมายเลขที่ระบุไว้ภายในวันที่ 27 เมษายน 2563 แต่ได้ความจากที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 หยุดพักชำระและกลับมาชำระค่าเช่าซื้อต่อถึงงวดที่ 9 ประจำวันที่ 15 กันยายน 2563 จากนั้นจึงผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 10 ประจำวันที่ 15 ตุลาคม 2563 นั้น เมื่อการพักชำระหนี้ค่าเช่าซื้อ 6 งวด ดังกล่าวเป็นผลให้กำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้องวดสุดท้ายที่กำหนดไว้ในตารางแสดงภาระหนี้แนบท้ายสัญญาเช่าซื้อเลื่อนออกไปจากวันที่ 15 มิถุนายน 2567 เป็นวันที่ 15 ธันวาคม 2567 พฤติการณ์ถือว่าเป็นกรณีที่โจทก์ยอมผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ 1 ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องและมีนายวิชาธร ผู้รับมอบอำนาจช่วงโจทก์เป็นพยานเบิกความถึงเหตุที่ให้จำเลยที่ 1 พักชำระหนี้ค่าเช่าซื้อ 9 ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจให้พิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนและสภาพคล่องแก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยอ้างส่งสำเนาหนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ ธปท.ฝนส.(23) ว. 276/2563 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 เรื่องแนวทางในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย และสำเนาหนังสือของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ ธปท.ฝนส.(01) ว. 380/2563 ลงวันที่ 26 มีนาคม 2563 เรื่องมาตรการการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมในช่วงสถานการณ์การระบาดของ COVID – 19 เป็นพยานสนับสนุนข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้าง แต่หนังสือที่ ธปท.ฝนส.(01) ว. 380/2563 ข้อ 2 (3) ระบุว่า ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ตามมาตรการที่ ธปท. กำหนดนี้เป็นเพียงมาตรการผ่อนปรนเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ระยะเร่งด่วนซึ่งไม่จำเป็นต้องขยายระยะเวลาการชำระหนี้เสร็จสิ้นตามสัญญา อันเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจพึงกระทำได้ แต่หากมีการขยายระยะเวลาการชำระหนี้เสร็จสิ้นตามสัญญาออกไป ขอให้ถือปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องกับหลักประกันและผู้ค้ำประกัน ข้อ 2 (3) นี้ มีความชัดเจนอยู่ในตัวว่าหากจะขยายระยะเวลาการชำระหนี้เสร็จสิ้นตามมาตรการที่กำหนดนี้ อย่างไรเสียก็จะต้องดำเนินการภายใต้บังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะ 11 ค้ำประกัน ส่วนที่ฎีกาว่าโจทก์จำต้องปฏิบัติตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ซึ่งหมวด 2 การชะลอการชำระหนี้ มาตรา 15 บัญญัติให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจสั่งให้สถาบันการเงินชะลอการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยของผู้ประกอบวิสาหกิจที่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งไม่เกินหนึ่งร้อยล้านบาทหรือลูกหนี้อื่นได้ การชะลอการชำระหนี้มิให้ถือว่าเจ้าหนี้ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้และคำว่า "ลูกหนี้อื่น" ตามมาตรา 15 ต้องหมายความว่าลูกหนี้สินเชื่อประเภทใด ๆ ก็ได้นั้น พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน 2563 ภายหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาตรการการให้ความช่วยเหลือ และโจทก์มีหนังสือพักชำระหนี้แล้ว จึงฟังไม่ได้ว่าที่โจทก์พักชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นการดำเนินการตามพระราชกำหนดฉบับดังกล่าว และพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวมีเจตนารมณ์ในการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและเป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจ และมาตรา 3 ในพระราชกำหนดให้ความหมายของคำว่า "ผู้ประกอบวิสาหกิจ" หมายความว่า ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม "วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม" หมายความว่า วิสาหกิจที่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งไม่เกินห้าร้อยล้านบาทและไม่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจที่มีลักษณะตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด และคดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏเพียงว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันเท่านั้น โดยข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 อยู่ในฐานะเป็นผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตามความหมายที่กำหนดในพระราชกำหนดแต่อย่างใด กรณีจึงไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวมาใช้บังคับแก่ลูกหนี้รายจำเลยที่ 1 ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันตกลงด้วยในการผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ตกลงด้วยในการผ่อนเวลาดังกล่าว จำเลยที่ 2 ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 700 วรรคหนึ่ง นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น อนึ่ง โจทก์อุทธรณ์และฎีกาเฉพาะแต่ในปัญหาเรื่องความรับผิดของจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน คดีในชั้นอุทธรณ์และฎีกาจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท และไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลอนาคต แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาตามทุนทรัพย์และค่าขึ้นศาลอนาคตมาด้วย จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท ให้แก่โจทก์ พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แต่ละชั้นศาลแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
|




