

ข้อตกลงให้ผู้ค้ำประกันรับผิดเสมือนลูกหนี้ร่วมเป็นโมฆะ, ข้อยกเว้นของผู้ค้ำประกันที่เป็นนิติบุคคล ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ ข้อตกลงให้ผู้ค้ำประกันรับผิดเสมือนลูกหนี้ร่วมเป็นโมฆะ, ข้อยกเว้นของผู้ค้ำประกันที่เป็นนิติบุคคล "ป.พ.พ. มาตรา 681/1: ข้อตกลงให้ผู้ค้ำประกันรับผิดเสมือนลูกหนี้ร่วมเป็นโมฆะ ยกเว้นกรณีนิติบุคคล" สัญญาค้ำประกันของบุคคลธรรมดาที่ไม่ระบุให้รับผิดเหมือนลูกหนี้ร่วม ยังคงมีผลใช้บังคับ โจทก์สามารถฟ้องผู้ค้ำประกันได้ หากลูกหนี้หลักไม่ชำระหนี้ตามสัญญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 681/1 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า "ข้อตกลงที่ให้ผู้ค้ำประกันรับผิดเสมือนลูกหนี้ร่วมเป็นโมฆะ" ส่วนวรรคสองยกเว้นกรณีผู้ค้ำประกันที่เป็นนิติบุคคลและยินยอมรับผิดเหมือนลูกหนี้ร่วมได้ ในคดีนี้ สัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นการค้ำประกันโดยบุคคลธรรมดา ไม่ใช่นิติบุคคล และไม่มีข้อความที่ระบุว่าจำเลยยอมรับผิดเสมือนลูกหนี้ร่วม ดังนั้น สัญญาดังกล่าวจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ยังต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันหากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2278/2567 ป.พ.พ. มาตรา 681/1 ที่แก้ไขใหม่ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ข้อตกลงใดที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ" และวรรคสองบัญญัติว่า "ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่กรณีผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นนิติบุคคลและยินยอมเข้าผูกพันตนเพื่อรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม..." แม้หนังสือสัญญาค้ำประกันหนี้ในอนาคตที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทำไว้แก่โจทก์หลังจากบทบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับจะมีข้อความในวรรคสุดท้ายของข้อ 1 ระบุว่า กรณีผู้ค้ำประกันเป็นนิติบุคคล ผู้ค้ำประกันตกลงผูกพันตนเพื่อรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะลูกหนี้ร่วมกับลูกหนี้ในการชำระหนี้ดังกล่าวข้างต้นก็เป็นเพียงข้อตกลงที่ใช้ในกรณีผู้ค้ำประกันเป็นนิติบุคคล แต่การทำหนังสือสัญญาค้ำประกันหนี้ในอนาคตของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นเรื่องบุคคลธรรมดาทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์ มิใช่นิติบุคคลทำสัญญาค้ำประกันตามวรรคสุดท้ายของข้อ 1 ทั้งตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวก็ไม่มีข้อความที่ระบุว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ตกลงยอมรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชั้นต้นแต่อย่างใด ดังนั้นการทำหนังสือสัญญาค้ำประกันหนี้ในอนาคตของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ดังกล่าวจึงหาตกเป็นโมฆะ โจทก์มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันรับผิดต่อโจทก์หากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ได้
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงิน 10,478,407.47 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 8,431,966.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ จำเลยทั้งสี่ให้การในทำนองเดียวกัน ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 8,431,966.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้องครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 10,114,562.34 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 13.50 ต่อปี ของต้นเงิน 8,431,966.50 บาท นับตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ในชั้นอุทธรณ์ กับค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทั้งสองศาลให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2558 จำเลยที่ 1 ออกและขายตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 237,600 ดอลลาร์สหรัฐ แก่โจทก์ เพื่อการนำเข้าและจำเลยที่ 1 ได้รับเงินครบถ้วนแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 ขอให้โจทก์แปลงสกุลเงินของหนี้เป็นเงินบาทได้จำนวน 8,431,966.50 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทำสัญญาค้ำประกันในจำนวนเงิน 182,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจำนองเครื่องจักรแก่โจทก์ เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดชำระ จำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ต่อมาจำเลยทั้งสี่ทำหนังสือสัญญาปรับโครงสร้างหนี้เพื่อรับสภาพหนี้แก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสี่ผิดนัดชำระหนี้ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จำนวน 10,114,562.34 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 13.50 ต่อปี ของต้นเงิน 8,431,966.50 บาท นับตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 681/1 ที่แก้ไขใหม่ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ข้อตกลงใดที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ" และวรรคสองบัญญัติว่า "ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่กรณีผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นนิติบุคคลและยินยอมเข้าผูกพันตนเพื่อรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม..." แม้หนังสือสัญญาค้ำประกันหนี้ในอนาคตที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทำไว้แก่โจทก์หลังจากบทบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับจะมีข้อความในวรรคสุดท้ายของข้อ 1 ระบุว่า กรณีผู้ค้ำประกันเป็นนิติบุคคล ผู้ค้ำประกันตกลงผูกพันตนเพื่อรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะลูกหนี้ร่วมกับลูกหนี้ในการชำระหนี้ดังกล่าวข้างต้นก็เป็นเพียงข้อตกลงที่ใช้ในกรณีผู้ค้ำประกันเป็นนิติบุคคล แต่การทำหนังสือสัญญาค้ำประกันหนี้ในอนาคตของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นเรื่องบุคคลธรรมดาทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์ มิใช่นิติบุคคลทำสัญญาค้ำประกันตามวรรคสุดท้ายของข้อ 1 ทั้งตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวก็ไม่มีข้อความที่ระบุว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ตกลงยอมรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชั้นต้นแต่อย่างใด ดังนั้นการทำหนังสือสัญญาค้ำประกันหนี้ในอนาคตของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ดังกล่าวจึงหาตกเป็นโมฆะเพราะแตกต่างกับบทบัญญัติของกฎหมาย อันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 151 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแต่อย่างใด โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันรับผิดต่อโจทก์หากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ชำระแทน หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระ ให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ 1.ค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 681/1 2.ความรับผิดของผู้ค้ำประกันในหนี้อนาคต 3.ข้อยกเว้นของผู้ค้ำประกันที่เป็นนิติบุคคล 4.สิทธิและหน้าที่ของผู้ค้ำประกันในกฎหมายไทย 5.คำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับการค้ำประกัน 6.โมฆะของข้อตกลงในสัญญาค้ำประกัน 7.หลักกฎหมายว่าด้วยความรับผิดของลูกหนี้ร่วมและผู้ค้ำประกัน 8.บทบาทของผู้ค้ำประกันในสัญญาตั๋วสัญญาใช้เงิน สรุปคำพิพากษา (ย่อ) โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 10,478,407.47 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ โจทก์ยื่นฟ้องเพิ่มเติมให้ปรับโครงสร้างหนี้กับจำเลยที่ 1 แต่จำเลยทั้งสี่ยังผิดนัดชำระ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมชำระเงินต้น 8,431,966.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์ตามคำฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 10,114,562.34 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 13.50 ต่อปี ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 โจทก์ฎีกา โดยประเด็นหลักคือ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทำเป็นการค้ำประกันโดยบุคคลธรรมดา ไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 681/1 วรรคสอง อีกทั้งไม่มีข้อความระบุว่าผู้ค้ำประกันต้องรับผิดเสมือนลูกหนี้ร่วม ดังนั้น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดเช่นเดียวกับลูกหนี้ร่วม การยกฟ้องของศาลอุทธรณ์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่ถูกต้อง คำพิพากษาศาลฎีกา แก้เป็นว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ ให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ชำระแทน หากจำเลยทั้งสี่ยังไม่ชำระ ให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ การนำหลักกฎหมายมาตรา 681/1 มาใช้ในคดีนี้ ในกรณีนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า: •จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นบุคคลธรรมดา ที่ทำสัญญาค้ำประกันแก่โจทก์ และไม่มีข้อความระบุให้ต้องรับผิดเสมือนลูกหนี้ร่วม •ข้อตกลงในสัญญาค้ำประกันไม่ได้กำหนดให้ผู้ค้ำประกันรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วม ดังนั้น การค้ำประกันดังกล่าวจึงไม่ตกอยู่ภายใต้ข้อยกเว้นตามวรรคสองที่ใช้ได้เฉพาะกับผู้ค้ำประกันที่เป็นนิติบุคคล นอกจากนี้ หากมีการกำหนดในสัญญาให้ผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นบุคคลธรรมดารับผิดเหมือนลูกหนี้ร่วม เงื่อนไขดังกล่าวจะถือว่า “โมฆะ” ตามวรรคหนึ่งของมาตรา 681/1 เนื่องจากขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มุ่งปกป้องผู้ค้ำประกันจากภาระที่เกินสมควร ความสำคัญของมาตรา 681/1 1.คุ้มครองบุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันเป็นเพียงผู้สนับสนุนให้ลูกหนี้สามารถกู้ยืมหรือทำธุรกรรมได้ การบังคับให้ผู้ค้ำประกันรับผิดเหมือนลูกหนี้ร่วมถือเป็นการเพิ่มภาระที่ไม่เป็นธรรม 2.ส่งเสริมความชัดเจนในสัญญาค้ำประกัน กฎหมายบังคับให้เงื่อนไขในสัญญาค้ำประกันต้องระบุข้อความให้สอดคล้องกับลักษณะของผู้ค้ำประกัน หากมีการเพิ่มเงื่อนไขที่ขัดต่อกฎหมาย เงื่อนไขดังกล่าวจะไม่มีผลบังคับใช้ 3.ยกเว้นสำหรับนิติบุคคล เนื่องจากนิติบุคคลมักมีความสามารถและทรัพยากรในการประเมินความเสี่ยงมากกว่า จึงเปิดโอกาสให้มีการยอมรับภาระเพิ่มเติมได้ หากมีการตกลงชัดเจน การอธิบายหลักกฎหมายนี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่าทำไมศาลจึงตัดสินว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่ต้องรับผิดเสมือนลูกหนี้ร่วม และการแก้ไขมาตรานี้มีผลอย่างไรต่อการค้ำประกันในอนาคต ******ข้อตกลงให้ผู้ค้ำประกันรับผิดเสมือนลูกหนี้ร่วมเป็นโมฆะ คืออะไร? ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 681/1 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ข้อตกลงใดที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วม หรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ" หมายความว่า หากมีการทำสัญญาค้ำประกันที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดเสมือนเป็นลูกหนี้ร่วม ข้อตกลงดังกล่าวจะไม่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ค้ำประกันเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม วรรคสองของมาตราเดียวกันได้ระบุข้อยกเว้นว่า "ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่กรณีผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นนิติบุคคล และยินยอมเข้าผูกพันตนเพื่อรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม..." ซึ่งหมายความว่า หากผู้ค้ำประกันเป็นนิติบุคคล และได้ยินยอมรับผิดเสมือนเป็นลูกหนี้ร่วม ข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ได้ ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 319/2561 oข้อเท็จจริง: ผู้ค้ำประกันถูกฟ้องให้รับผิดเสมือนลูกหนี้ร่วม oคำวินิจฉัย: ศาลวินิจฉัยว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นโมฆะตามมาตรา 681/1 วรรคหนึ่ง 2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2111/2551 oข้อเท็จจริง: ผู้ค้ำประกันยอมรับผิดต่อเจ้าหนี้อย่างลูกหนี้ร่วม oคำวินิจฉัย: ศาลวินิจฉัยว่าผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามข้อตกลง 3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4611/2562 oข้อเท็จจริง: ผู้ค้ำประกันไม่ได้รับหนังสือบอกกล่าวภายในกำหนดเวลา oคำวินิจฉัย: ศาลวินิจฉัยว่าผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลา 4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 123/2564 oข้อเท็จจริง: การให้ความยินยอมของคู่สมรสในการทำนิติกรรมค้ำประกัน oคำวินิจฉัย: ศาลวินิจฉัยว่าการให้ความยินยอมไว้เป็นการทั่วไปไม่ถือเป็นการให้สัตยาบันตามมาตรา 1490 (4) 5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3347/2529 oข้อเท็จจริง: สัญญาค้ำประกันมีข้อความให้ผู้ค้ำประกันรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วม oคำวินิจฉัย: ศาลวินิจฉัยว่าข้อความดังกล่าวเป็นโมฆะตามมาตรา 113 และ 368 6.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 101/2562 oข้อเท็จจริง: ผู้ค้ำประกันไม่ได้รับหนังสือบอกกล่าวภายใน 60 วัน oคำวินิจฉัย: ศาลวินิจฉัยว่าผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลา จากคำพิพากษาดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าศาลฎีกาได้ยึดถือหลักการตามมาตรา 681/1 วรรคหนึ่งอย่างเคร่งครัด โดยข้อตกลงที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันรับผิดเสมือนลูกหนี้ร่วมจะถือเป็นโมฆะ ยกเว้นในกรณีที่ผู้ค้ำประกันเป็นนิติบุคคลและยินยอมรับผิดดังกล่าว สรุป ข้อตกลงที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันรับผิดเสมือนลูกหนี้ร่วมจะถือเป็นโมฆะตามกฎหมาย ยกเว้นในกรณีที่ผู้ค้ำประกันเป็นนิติบุคคลและได้ยินยอมรับผิดดังกล่าว ดังนั้น การทำสัญญาค้ำประกันควรระมัดระวังไม่ให้มีข้อตกลงที่ขัดต่อบทบัญญัตินี้ เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง |