สำนักงานพีศิริ ทนายความ ตั้งอยู่เลขที่ 34/159 หมู่ 8 ซอยบางมดแลนด์ แยก 13 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 ติดต่อทนายความ 085-9604258 สำหรับแผนที่การเดินทาง กรุณาคลิ๊กที่ "ที่ตั้งสำนักงาน" ด้านบนสุด ทนายความ ทนาย สำนักงานกฎหมาย สำนักงานทนายความ ปรึกษากฎหมายกับทนายความลีนนท์ โทรเลย ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาทนายความ

พิพากษาเกินไปกว่าคำขอท้ายฟ้อง -ปรึกษากฎหมาย ทนายความ นายลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258 -ติดต่อทางอีเมล : leenont0859604258@yahoo.co.th -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (5) ID line : (1) leenont หรือ (2) @leenont หรือ (3) peesirilaw หรือ (4) @peesirilaw (5) @leenont1 -Line Official Account : เพิ่มเพื่อนด้วย QR CODE
พิพากษาเกินไปกว่าคำขอท้ายฟ้อง
คำขอท้ายฟ้องขอแบ่งแยกที่ดินพิพาทจำนวนกึ่งหนึ่ง เมื่อที่ดินรังวัดได้เนื้อที่เพียง 3 งาน 5 ตารางวากึ่งหนึ่งจึงมีเพียง 1 งาน 52.5 ตารางวา แม้จะได้ครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัดเนื้อที่ 1 งาน 60 ตารางวาก็ตาม ศาลฎีกาไม่อาจแบ่งที่ดินได้มากกว่าคำขอท้ายฟ้องเพราะเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าคำขอท้ายฟ้อง ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 12517 ตำบลไผ่ขวาง อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี มีเนื้อที่ตามโฉนด 1 ไร่ แต่ตอนทำแผนที่วิวาท เอกสารหมาย จ.ล.1 เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดได้เนื้อที่เพียง 3 งาน 5 ตารางวา กึ่งหนึ่งของที่ดินพิพาท จึงมีเนื้อที่ 1 งาน 52.5 ตารางวา เท่านั้น เมื่อจำเลยมิได้ให้การหรือบรรยายฟ้องว่า จำเลยครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัด อันทำให้จำเลยได้ที่ดินมากกว่าโจทก์ 15 ตารางวา แต่กลับมีคำขอท้ายฟ้องขอให้แบ่งแยกที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 12517 จำนวนกึ่งหนึ่ง ศาลฎีกาจึงไม่อาจแบ่งที่ดินให้แก่จำเลยได้เนื้อที่ 1 งาน 60 ตารางวา ตามที่จำเลยครอบครองได้ เพราะเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าคำขอท้ายฟ้องต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6370 - 6371/2550 สำนวนแรก โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 12517 ตำบลไผ่ขวาง อำเภอบ้านหม้อ จังหวัดสระบุรี ด้านทิศตะวันตกเป็นของโจทก์ ด้านทิศตะวันออกเป็นของจำเลย โดยถือแนวรั้วตั้งแต่ทิศเหนือจดทิศใต้เป็นแนวเขตที่ดินตามที่แบ่งแยกการครอบครองไว้แล้ว โดยยื่นคำขอแบ่งแยกเสียค่าใช้จ่ายฝ่ายละเท่ากัน หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้แต่ละฝ่ายไม่เข้ายุ่งเกี่ยวในที่ดินของอีกฝ่ายตามแนวรั้วที่แบ่งแยกอีกต่อไป จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง สำนวนที่สอง โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปดำเนินการยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดสระบุรี (สาขาพระพุทธบาท) เพื่อขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 12517 ร่วมกับโจทก์และนำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินตลอดจนจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินและโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งของเนื้อที่ตามโฉนดที่ดินตามแผนผังที่ระบายด้วยสีแดงเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 หากจำเลยไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาตามคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้คงเรียกโจทก์สำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยสำนวนที่สองว่า โจทก์ เรียกจำนวนสำนวนแรกซึ่งเป็นโจทก์สำนวนที่สองว่า จำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยไปรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 12517 โดยให้จำเลยได้ที่ดินด้านทิศตะวันออกภายในกรอบเส้นสีเขียว ให้โจทก์ได้ที่ดินด้านทิศตะวันตกในส่วนที่เหลือตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรังวัดแบ่งแยก ให้โจทก์และจำเลยออกคนละกึ่งหนึ่ง หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยได้ที่ดินด้านทิศตะวันออก และให้โจทก์ได้ที่ดินด้านทิศตะวันตก เนื้อที่คนละกึ่งหนึ่ง ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นสัดส่วนภายในกรอบเส้นสีแดงของแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 หรือไม่ เห็นว่า ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 โจทก์นำชี้แนวเขตของตนภายในกรอบเส้นสีแดงล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ 12521 ของผู้อื่นเนื้อที่ 1 งาน 8 ตารางวา และอยู่ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 12517 เนื้อที่ 2 งาน 53 ตารางวา รวมเนื้อที่ 3 งาน 61 ตารางวา เกินกว่าเนื้อที่ส่วนของโจทก์ซึ่งอ้างว่ามี 2 งาน ทั้งรูปที่ดินที่โจทก์นำชี้และส่วนที่นายอุดมขายให้แก่นางจิ๋งที่อ้างว่าเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็ไม่สอดคล้องกับรูปแผนที่ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 12517 และแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 ที่เป็นรูปสามเหลี่ยม แต่ที่จำเลยนำสืบว่านายอุดมชี้แนวเขตที่ดินพิพาทให้แก่นางจิ๋งดูเป็นรูปสามเหลี่ยมเนื้อที่ 2 งาน นอกจากจะสอดคล้องกับรูปแผนที่ที่ดินในโฉนดที่ดินเลขที่ 12517 แล้ว จำเลยยังนำชี้แนวเขตของตนภายในกรอบเส้นสีเขียวของแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 เนื้อที่เพียง 1 งาน 60 ตารางวา ซึ่งใกล้เคียงกับเนื้อที่ที่จำเลยซื้อมาอีกด้วย ทั้งเมื่อคิดหักเนื้อที่ดังกล่าวออกจากเนื้อที่ของที่ดินพิพาทตามที่รังวัดได้ 3 งาน 5 ตารางวา แล้ว ทำให้ที่ดินส่วนของโจทก์คงเหลือเนื้อที่ 1 งาน 45 ตารางวา น้อยกว่าที่ดินส่วนของจำเลย 15 ตารางวา เท่านั้น ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดภายในกรอบเส้นสีแดงของแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 แต่ฟังได้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทภายในกรอบเส้นสีเขียวตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 12517 มีเนื้อที่ 1 ไร่ แต่ตอนทำแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดได้เนื้อที่เพียง 3 งาน 5 ตารางวา กึ่งหนึ่งของที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 12517 จึงมีเนื้อที่ 1 งาน 52.5 ตารางวา เท่านั้น เมื่อจำเลยมิได้ให้การหรือบรรยายฟ้องว่า จำเลยครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัดอันทำให้จำเลยได้ที่ดินมากกว่าโจกท์ 15 ตารางวา แต่กลับมีคำขอท้ายฟ้องขอแบ่งแยกที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 12517 จำนวนกึ่งหนึ่ง ศาลฎีกาจึงไม่อาจแบ่งที่ดินให้แก่จำเลยได้เนื้อที่ 1 งาน 60 ตารางวา ตามที่จำเลยครอบครองได้เพราะเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าคำขอท้ายฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยได้ที่ดินด้านทิศตะวันออกและโจทก์ได้ที่ดินด้านทิศตะวันตกตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.1 เนื้อที่คนละกึ่งหนึ่งนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่ชี้ขาดคดีต้องตัดสิน ตามข้อหาในคำฟ้องทุกข้อ แต่ห้ามมิให้พิพากษาหรือคำสั่งให้สิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง เว้นแต่
พิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6679/2562 จำเลยทั้งสองผู้รับซื้อสินค้าทำสัญญากับโจทก์ผู้ให้เช่าเพื่อค้ำประกันการชำระหนี้ของบริษัท ส. ผู้เช่า และตกลงว่า ในกรณีที่มีการบอกเลิกสัญญาเช่า ผู้รับซื้อสินค้าตกลงผูกพันตนร่วมกันกับผู้เช่า เพื่อค้ำประกันการชำระหนี้ของผู้เช่าโดยซื้อทรัพย์สินจากผู้ให้เช่าในราคาตามที่ระบุไว้ รวมด้วยจำนวนหนี้ที่ค้างชำระและบรรดาหนี้เงินที่ผู้เช่ามีหน้าที่ต้องชำระให้แก่ผู้ให้เช่า โดยให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินโอนไปยังผู้รับซื้อสินค้า เมื่อผู้รับซื้อสินค้าได้ชำระราคาทรัพย์สินที่ซื้อให้แก่ผู้ให้เช่าเสร็จสิ้นแล้ว ผู้รับซื้อสินค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่างแต่เพียงฝ่ายเดียวในการดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามสัญญานี้ รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงการรับโอน การเก็บรักษาทรัพย์สิน การยึดทรัพย์สินจากความครอบครองของผู้เช่า และการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินมาอยู่ในความครอบครองของผู้ให้เช่า ผู้รับซื้อสินค้า หรือของบุคคลอื่นตามที่ผู้ให้เช่ากำหนด แล้วแต่กรณีตลอดจนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ผู้รับซื้อสินค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงฝ่ายเดียวในบรรดาค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการบังคับให้เป็นไปตามสัญญานี้ ข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่ผู้รับซื้อสินค้ามีหน้าที่ต้องชำระราคาทรัพย์สินที่ซื้อให้แก่ผู้ให้เช่า และผู้ให้เช่ามีหน้าที่ต้องโอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่ผู้รับซื้อสินค้าเมื่อผู้รับซื้อสินค้าได้ชำระราคาทรัพย์สินที่ซื้อให้แก่ผู้ให้เช่าเสร็จสิ้นแล้ว ดังนั้นเมื่อโจทก์ใช้สิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระราคารถขุดตีนตะขาบที่เช่าตามสัญญารับซื้อสินค้าพร้อมค่าปรับ หากจำเลยทั้งสองชำระราคารถให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยทั้งสองย่อมได้กรรมสิทธิ์และเป็นหน้าที่ของจำเลยทั้งสองในการยึดรถจากความครอบครองของบริษัท ส. หรือการเคลื่อนย้ายรถมาอยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสอง และการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญารับซื้อสินค้า สัญญารับซื้อสินค้าไม่ได้กำหนดให้โจทก์มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถแก่จำเลยทั้งสอง แต่กำหนดให้เป็นหน้าที่ของจำเลยทั้งสองผู้รับซื้อสินค้าเอง ซึ่งมีผลบังคับได้ เมื่อโจทก์เลือกใช้สิทธิดังกล่าวแล้วโดยมิได้เลือกใช้สิทธิที่จะนำรถไปขายให้แก่บุคคลอื่น จำเลยทั้งสองก็ต้องผูกพันและมีหน้าที่ปฏิบัติตามสัญญา โดยชำระราคาและติดตามรถเอง โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถแก่จำเลยทั้งสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์ส่งมอบรถแก่จำเลยทั้งสองจึงไม่ถูกต้อง เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 8,368,507.91 บาท พร้อมค่าปรับอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี ของต้นเงิน 8,013,183.59 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 4,184,313.52 บาท พร้อมค่าปรับอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี ของต้นเงิน 4,006,648.83 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 4,006,648.83 บาท พร้อมค่าปรับอัตราร้อยละ 11.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 8,013,183.59 บาท พร้อมค่าปรับอัตราร้อยละ 11.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2558 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้โจทก์ส่งมอบรถขุดตีนตะขาบที่จำเลยทั้งสองรับซื้อคืนแก่จำเลยทั้งสอง กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2554 บริษัทสยาม แอนทราไซด์ ไมนิ่ง จำกัด ทำสัญญาเช่าทรัพย์สินแบบลีสซิ่งกับโจทก์ โดยเช่ารถขุดตีนตะขาบยี่ห้อฮิตาชิพร้อมอุปกรณ์จำนวน 3 คัน ในราคา 21,448,598.13 บาท กำหนดเวลาเช่า 48 เดือน เดือนละ 436,745 บาท และจำเลยทั้งสองตกลงว่า กรณีที่มีการบอกเลิกสัญญาเช่าดังกล่าว จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะรับซื้อรถขุดตีนตะขาบดังกล่าวจำนวน 1 คัน และ 2 คัน ตามลำดับ จากโจทก์ ต่อมาบริษัทสยาม แอนทราไซด์ ไมนิ่ง จำกัด ผิดนัดชำระค่าเช่าและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว และให้ส่งมอบทรัพย์ที่เช่าคืน โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชำระค่าซื้อทรัพย์คืนและค่าปรับแก่โจทก์แล้ว คดีเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองที่ให้จำเลยทั้งสองชำระราคาพร้อมค่าปรับแก่โจทก์ คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์ส่งมอบรถขุดตีนตะขาบแก่จำเลยทั้งสองเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ เห็นว่า ตามสำเนาสัญญารับซื้อสินค้าระบุว่า จำเลยทั้งสองผู้รับซื้อสินค้าทำสัญญากับโจทก์ผู้ให้เช่าเพื่อค้ำประกันการชำระหนี้ของบริษัทสยาม แอนทราไซด์ ไมนิ่ง จำกัด ผู้เช่า และตกลงว่า 1. ในกรณีที่มีการบอกเลิกสัญญาเช่า ... ผู้รับซื้อสินค้าตกลงผูกพันตนร่วมกันกับผู้เช่า เพื่อค้ำประกันการชำระหนี้ของผู้เช่าโดยซื้อทรัพย์สินจากผู้ให้เช่าในราคาตามที่ระบุไว้ในตารางแนบท้าย รวมด้วยจำนวนหนี้ที่ค้างชำระและบรรดาหนี้เงินที่ผู้เช่ามีหน้าที่ต้องชำระให้แก่ผู้ให้เช่า ... 2. ให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินโอนไปยังผู้รับซื้อสินค้า เมื่อผู้รับซื้อสินค้าได้ชำระราคาทรัพย์สินที่ซื้อให้แก่ผู้ให้เช่าตามที่ระบุในข้อ 1. เสร็จสิ้นแล้ว และ 5. ผู้รับซื้อสินค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่างแต่เพียงฝ่ายเดียวในการดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามสัญญานี้ รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงการรับโอน การเก็บรักษาทรัพย์สิน การยึดทรัพย์สินจากความครอบครองของผู้เช่า และการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินมาอยู่ในความครอบครองของผู้ให้เช่า ผู้รับซื้อสินค้า หรือของบุคคลอื่นตามที่ผู้ให้เช่ากำหนด แล้วแต่กรณีตลอดจนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ผู้รับซื้อสินค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงฝ่ายเดียว ในบรรดาค่าใช้จ่ายทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากการบังคับให้เป็นไปตามสัญญานี้ ... ข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่ผู้รับซื้อสินค้ามีหน้าที่ต้องชำระราคาทรัพย์สินที่ซื้อให้แก่ผู้ให้เช่า และผู้ให้เช่ามีหน้าที่ต้องโอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่ผู้รับซื้อสินค้าเมื่อผู้รับซื้อสินค้าได้ชำระราคาทรัพย์สินที่ซื้อให้แก่ผู้ให้เช่าตามที่ระบุในข้อ 1. เสร็จสิ้นแล้ว ดังนั้นเมื่อโจทก์ใช้สิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระราคารถขุดตีนตะขาบที่เช่าตามสัญญารับซื้อสินค้า ข้อ 1. พร้อมค่าปรับ หากจำเลยทั้งสองชำระราคารถให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยทั้งสองย่อมได้กรรมสิทธิ์และเป็นหน้าที่ของจำเลยทั้งสองในการยึดรถจากความครอบครองของบริษัทสยาม แอนทราไซด์ ไมนิ่ง จำกัด หรือการเคลื่อนย้ายรถมาอยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสอง และการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญารับซื้อสินค้า ข้อ 2. และ ข้อ 5. สัญญารับซื้อสินค้าไม่ได้กำหนดให้โจทก์มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถแก่จำเลยทั้งสอง แต่กำหนดให้เป็นหน้าที่ของจำเลยทั้งสองผู้รับซื้อสินค้าเอง ซึ่งมีผลบังคับได้ เมื่อโจทก์เลือกใช้สิทธิดังกล่าวแล้วโดยมิได้เลือกใช้สิทธิที่จะนำรถไปขายให้แก่บุคคลอื่น จำเลยทั้งสองก็ต้องผูกพันและมีหน้าที่ปฏิบัติตามสัญญา โดยชำระราคาและติดตามเอารถเอง โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถแก่จำเลยทั้งสอง การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์ส่งมอบรถแก่จำเลยทั้งสองจึงไม่ถูกต้อง เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะส่วนที่ให้โจทก์ส่งมอบรถขุดตีนตะขาบที่จำเลยทั้งสองรับซื้อคืนแก่จำเลยทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องแยกตามกฎหมายและมาตรา ป.วิ.พ. ม. 142 แหล่งที่มา
กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาทนายความ ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร. 0859604258 สำนักงานพีศิริ ทนายความ
|