
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5921/2550: การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม กรณีไม่มีหลักฐานการกระทำผิดซ้ำของลูกจ้าง
⚖️ บทนำ 📌 คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่มีหลักฐานยืนยันการกระทำผิดซ้ำตามที่นายจ้างกล่าวอ้าง ศาลแรงงานเห็นว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน และวินิจฉัยให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย ทั้งยังอธิบายหลักเกณฑ์การลงโทษทางวินัยและการพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ศาลใช้เป็นแนววินิจฉัย
สรุปย่อฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางชอบด้วยมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ แม้จะรวบรัด แต่ยังแสดงข้อเท็จจริงและเหตุผลโดยสรุปครบถ้วน การที่จำเลยเลิกจ้างโดยอ้างว่าโจทก์กระทำผิดเรื่องเงินซ้ำโดยไม่มีหลักฐานยืนยัน ไม่เป็นไปตามขั้นตอนข้อบังคับบริษัท ขาดเหตุอันสมควร จึงถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายตามที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาไว้ อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น
⚖️ สาระสำคัญของคดี 1. ข้อเท็จจริง •โจทก์ถูกเลิกจ้างโดยนายจ้าง (จำเลย) อ้างว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับเงินซ้ำสองครั้ง •จำเลยเลิกจ้างด้วยวาจา อ้างว่าโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับอย่างร้ายแรง •โจทก์ฟ้องเรียกค่าชดเชย 59,928 บาท, สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 9,488 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 2. คำพิพากษาศาลแรงงานกลาง •พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 59,928 บาท พร้อมดอกเบี้ย 15% ต่อปี •สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 9,488 บาท และค่าเสียหาย 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี •เห็นว่าจำเลยไม่มีหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับการกระทำผิดซ้ำ 3. คำวินิจฉัยของศาลฎีกา •ศาลเห็นว่าคำพิพากษาศาลแรงงานกลางแสดงข้อเท็จจริงที่รับฟังได้โดยสรุป และมีเหตุผลตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 51 แล้ว •การที่จำเลยไม่มีหลักฐานยืนยันการกระทำผิดครั้งที่ 2 จึงไม่สามารถใช้เป็นเหตุเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย •ศาลยังอธิบายถึงขั้นตอนในข้อบังคับการลงโทษทางวินัย ซึ่งไม่พบว่าจำเลยปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง •การเลิกจ้างดังกล่าวจึงเป็น “การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม” ตามมาตรา 49
📚 วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 🔹 ประเด็นที่ 1: หลักการพิจารณาการเลิกจ้างโดยอ้างเหตุทุจริตซ้ำ ศาลเน้นว่า นายจ้างต้องมี “หลักฐานชัดเจน” ว่าลูกจ้างกระทำผิดจริง และต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของระเบียบที่ชอบด้วยกฎหมาย หากไม่มีหลักฐานแน่ชัดหรือไม่ได้ปฏิบัติตามข้อบังคับอย่างครบถ้วน การเลิกจ้างอาจถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย 🔹 ประเด็นที่ 2: การลงโทษทางวินัยต้องมีขั้นตอนตามข้อบังคับ ข้อบังคับของบริษัทจำเลยระบุชัดว่า ต้องตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน พักงานเพื่อสอบสวน แล้วจึงพิจารณาให้พ้นสภาพ หากฝ่าฝืน ขั้นตอนย่อมไม่สมบูรณ์ และนำไปสู่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 🔹 ประเด็นที่ 3: ข้อกำหนดกฎหมายที่เกี่ยวข้อง •มาตรา 119 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ว่าด้วยเหตุที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย •มาตรา 49 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ว่าด้วยการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม •มาตรา 583 แห่ง ป.พ.พ. เรื่องการบอกกล่าวล่วงหน้าในการเลิกจ้าง
📜 หลักกฎหมาย: มาตรา 51 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 “คำพิพากษาศาลแรงงานต้องแสดงข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยสรุปและคำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดี พร้อมด้วยเหตุผลแห่งคำวินิจฉัย” 🔍 คำอธิบายประกอบ มาตรา 51 วรรคหนึ่ง เป็นบทบัญญัติที่กำหนด "รูปแบบขั้นต่ำ" ที่คำพิพากษาของศาลแรงงานจะต้องมี กล่าวคือ: 1.แสดงข้อเท็จจริงที่ศาลฟังรับฟังได้โดยสรุป oไม่จำเป็นต้องเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างละเอียดทุกประการ oแต่ต้องชัดเจนพอให้เข้าใจว่า ศาลเชื่อข้อเท็จจริงประการใดจากพยานหลักฐานที่ได้จากการพิจารณา 2.แสดงคำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดี oต้องระบุว่าคดีนี้มีข้อพิพาทอะไร oและศาลมีความเห็นวินิจฉัยอย่างไรในแต่ละประเด็น 3.มีเหตุผลประกอบคำวินิจฉัยอย่างชัดเจน oต้องแสดงว่าศาลใช้กฎหมายใด oและเหตุผลใดในการตัดสินว่าฝ่ายใดถูกหรือผิด
🧠 วัตถุประสงค์ของมาตรา 51 •เพื่อให้คู่ความสามารถตรวจสอบคำพิพากษาได้ว่า ศาลรับฟังข้อเท็จจริงและตีความข้อกฎหมายอย่างถูกต้องหรือไม่ •เพื่อประโยชน์ในการอุทธรณ์หรือฎีกา •เพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในกระบวนการยุติธรรม
⚖️ ตัวอย่างการนำไปใช้ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5921/2550 ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5921/2550 จำเลยอุทธรณ์ว่าคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางไม่เป็นไปตามมาตรา 51 วรรคหนึ่ง โดยกล่าวหาว่าไม่มีการแสดงข้อเท็จจริงและเหตุผลอย่างเพียงพอ แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้คำพิพากษาจะรวบรัด แต่ยังปรากฏข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยสรุป พร้อมทั้งคำวินิจฉัยและเหตุผลตามประเด็นแห่งคดี จึงถือว่าถูกต้องตามมาตรา 51 วรรคหนึ่งแล้ว ดังนั้น การอุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น
🔍 ตัวอย่างที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้ได้แก่คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1190/2542 ในคดีนี้ นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยอ้างว่าลูกจ้างได้ขาดงานเป็นระยะเวลาติดต่อกันหลายวัน ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน และถือเป็นการละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร นายจ้างจึงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชยหรือสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เพราะเป็นการเลิกจ้างด้วยเหตุผลอันชอบธรรม แต่ศาลได้วินิจฉัยว่า แม้การขาดงานโดยไม่มีเหตุผลอาจถือเป็นการกระทำผิดตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างก็ตาม แต่สิ่งสำคัญคือนายจ้างจะต้องสามารถพิสูจน์ได้ว่า ข้อบังคับดังกล่าวมีผลใช้บังคับอย่างชอบด้วยกฎหมาย และลูกจ้างได้รับทราบหรือมีโอกาสรับรู้ข้อบังคับนั้นแล้ว ในคดีนี้ นายจ้างไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ได้ว่า มีการแจ้งข้อบังคับเกี่ยวกับการลงโทษกรณีขาดงานให้แก่ลูกจ้างอย่างชัดเจนมาก่อน หรือข้อบังคับนั้นได้ประกาศไว้อย่างเปิดเผยให้ลูกจ้างสามารถเข้าถึงและเข้าใจได้ ดังนั้น เมื่อไม่มีหลักฐานแสดงว่าลูกจ้างรับรู้หรือควรจะรู้เกี่ยวกับข้อบังคับนั้น ศาลจึงเห็นว่าการเลิกจ้างโดยอ้างเหตุขาดงานโดยไม่มีการสอบสวน หรือไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า ถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม นายจ้างจึงต้องรับผิดในการชดใช้ค่าเสียหายแก่ลูกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน และต้องจ่ายค่าชดเชยตามที่กฎหมายกำหนด คำพิพากษานี้เน้นย้ำหลักเกณฑ์สำคัญของการเลิกจ้างว่า นายจ้างไม่อาจอ้างข้อบังคับหรือความผิดของลูกจ้างโดยปราศจากหลักฐานหรือขั้นตอนที่ถูกต้องได้ การเลิกจ้างต้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายทั้งในแง่ข้อเท็จจริงและกระบวนการ
🧠 ข้อคิดทางกฎหมาย •การเลิกจ้างต้องอาศัยพยานหลักฐานที่ชัดเจน ไม่สามารถอ้างเพียงความสงสัยได้ •นายจ้างต้องปฏิบัติตามข้อบังคับในการลงโทษ อย่างเคร่งครัด หากละเลย ขั้นตอนจะตกไปและทำให้การเลิกจ้างไม่ชอบด้วยกฎหมาย •ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม มีสิทธิฟ้องเรียกร้องค่าเสียหาย ค่าชดเชย และดอกเบี้ย ได้ตามกฎหมายแรงงาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5921/2550 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำความผิด ขอให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าโจทก์กระทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องเงิน จำเลยจึงตักเตือนเป็นหนังสือ แต่โจทก์กลับกระทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องเงินซ้ำอีก จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ด้วยวาจาโดยระบุเหตุผลในการเลิกจ้างให้โจทก์ทราบแล้ว การกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรง เป็นการทุจริตและกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง ซึ่งศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วรับฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอายุงาน อัตราค่าจ้างสุดท้าย และการกระทำของโจทก์ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์กระทำผิด ตลอดจนวันที่จำเลยบอกเลิกจ้างและวันที่การเลิกจ้างมีผล อันเป็นข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นหลักในการวินิจฉัยเกี่ยวกับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมครบถ้วน แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่สามารถหาหลักฐานยืนยันได้ว่าโจทก์กระทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องเงินซ้ำอีก จึงเป็นกรณีที่ศาลแรงงานกลางเห็นว่าโจทก์มิได้กระทำความผิดดังที่จำเลยอ้าง การเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและกำหนดค่าเสียหายให้พร้อมทั้งวินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิและจำนวนค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามกฎหมายครบทุกประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้ว แม้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางจะรวบรัดไปบ้าง แต่ก็เป็นคำพิพากษาที่แสดงข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยสรุปและคำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีพร้อมด้วยเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยโดยชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง แล้ว โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 9,488 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 59,928 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 9,488 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 59,928 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า จำเลยอุทธรณ์ ข้อ 2.1 สรุปได้ว่า คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง กล่าวคือศาลแรงงานกลางวินิจฉัยเรื่องการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เรื่องค่าชดเชยและเรื่องสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าโดยไม่ได้แสดงข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยสรุปและคำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีพร้อมด้วยเหตุผลตามกฎหมาย เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำความผิด จึงขอให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพร้อมดอกเบี้ย โดยจำเลยให้การว่า โจทก์กระทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องเงิน จำเลยจึงตักเตือนเป็นหนังสือ แต่ปรากฏว่าโจทก์กลับกระทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องเงินซ้ำอีก จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ด้วยวาจาโดยระบุเหตุผลในการเลิกจ้างให้โจทก์ทราบแล้ว การกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรงเป็นการทุจริตและกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง ซึ่งศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วรับฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอายุงาน อัตราค่าจ้างสุดท้าย และการกระทำของโจทก์ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์กระทำผิด ตลอดจนวันที่จำเลยบอกเลิกจ้างและวันที่การเลิกจ้างมีผล อันเป็นข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นหลักในการวินิจฉัยเกี่ยวกับค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมครบถ้วน แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่สามารถหาหลักฐานยืนยันได้ว่าโจทก์กระทำความผิดเกี่ยวกับเงินซ้ำอีก จึงเป็นกรณีที่ศาลแรงงานกลางเห็นว่าโจทก์มิได้กระทำความผิดดังที่จำเลยอ้าง การเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและกำหนดค่าเสียหายให้ พร้อมทั้งวินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิและจำนวนค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามกฎหมายครบทุกประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้ว แม้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางจะรวบรัดไปบ้าง แต่ก็เป็นคำพิพากษาที่แสดงข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยสรุปและคำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีพร้อมด้วยเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยโดยชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง แล้ว อุทธรณ์ของจำเลย ข้อ 2.1 นี้จึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ ข้อ 2.2 และข้อ 2.3 ต่อไปโดยสรุปได้ว่า โจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเรื่องการเงินและจำเลยได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เมื่อโจทก์กระทำความผิดซ้ำในเรื่องเกี่ยวกับการเงินอีกจึงเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือนและกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์นั้น เห็นว่า ตามข้อบังคับเกี่ยวกับทำงานของจำเลย ข้อ 2.6.1 ระบุถึงขั้นตอนการลงโทษทางวินัยไว้ โดยความผิดในขั้นรุนแรงมากระบุขั้นตอนไว้ในตัวอย่างของการกระทำความผิดท้ายข้อ 2.6.3 ว่า จะถูกพิจารณาตามขั้นตอนดังนี้ การกระทำความผิดครั้งแรกตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งที่ 2 การกระทำความผิดซ้ำครั้งต่อไปให้พักงานเพื่อสอบสวนความผิด (เว้นแต่กรณีความผิดชัดแจ้ง) หากผิดจริงพิจารณาโทษให้พ้นสภาพการเป็นพนักงาน แต่ตามข้อเท็จจริงที่ยุติในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลางปรากฏว่า ในการกระทำที่จำเลยกล่าวอ้างโจทก์กระทำความผิดเกี่ยวกับการเงินเป็นความผิดครั้งแรกซึ่งจำเลยลงโทษโจทก์ในขั้นตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งที่ 2 และการกระทำที่จำเลยกล่าวอ้างว่าโจทก์กระทำความผิดครั้งที่ 2 จำเลยก็ได้เลิกจ้างโจทก์โดยไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าโจทก์ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับการเงิน จึงเป็นกรณีที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ข้อ 2.6.1 จึงเป็นกรณีที่ถือไม่ได้ว่าโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว และเมื่อไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์กระทำความผิดเกี่ยวกับเงิน 1,300 บาท จึงมิใช่กรณีที่โจทก์กระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ข้อ 2.7 และตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (1) และ (4) การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่สามารถหาหลักฐานยืนยันการกระทำความผิดของโจทก์ดังที่อุทธรณ์มาจึงไม่เข้ากรณีที่โจทก์กระทำการใดที่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างจะไล่ออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 และเป็นการเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุสมควรและเพียงพอ จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์จึงชอบแล้ว อุทธรณ์จำเลย ข้อ 2.2 และข้อ 2.3 จึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน พิพากษายืน.
🧾 IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) Issue: การที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยอ้างว่ากระทำผิดซ้ำโดยไม่มีหลักฐานยืนยัน ถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่? Rule: •พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (1), (4) •พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 49 •ป.พ.พ. มาตรา 583 •ข้อบังคับการทำงานของบริษัท Application: •ศาลพิจารณาข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำความผิดซ้ำ •การเลิกจ้างไม่เป็นไปตามขั้นตอนในข้อบังคับ เช่น การสอบสวนและพักงาน •ไม่มีหลักฐานยืนยันการกระทำผิดอาญา หรือทุจริตต่อบริษัท Conclusion: การเลิกจ้างดังกล่าวถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
🌐 Summary in English Supreme Court Judgment No. 5921/2550 Summary: This case concerns an unlawful termination where the employer failed to prove that the employee committed a second offense related to financial misconduct. The Labor Court and the Supreme Court held that the dismissal lacked sufficient evidence and did not comply with the company’s disciplinary procedures. Therefore, the dismissal was ruled unfair, and the employee was awarded compensation, payment in lieu of notice, and damages with interest as per Thai labor laws.
|