

เขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม บุกรุกเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี, ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ - ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติถูกเพิกถอนให้เป็นที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยไม่ต้องดำเนินการเพิกถอนตามกฎหมายป่าสงวนแห่งชาติ และให้ ส.ป.ก.มีอำนาจนำที่ดินนั้นมา ใช้ในการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ ถ้าเป็นที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อครม. มีมติให้ปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้ว เมื่อ ส.ป.ก.จะนำที่ดินแปลงใดไปดำเนินการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ให้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฎิรูปที่ดินมีผลเป็นการเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติ คำพิพากษาฎีกาที่ 747/2550 การออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ใดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ยังไม่มีผลทางกฎหมายเป็นการเพิกถอนที่ดินที่เป็นป่าสงวนแห่งชาติในท้องที่นั้นทันที ที่ดินป่าสงวนแห่งชาติในท้องที่ที่ถูกประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดินจะถูกเพิกถอนสภาพจากการเป็นป่าสงวนแห่งชาติก็ต่อเมื่อได้มีการดำเนินการตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง (4) คือเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติให้ดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติส่วนใดแล้ว เมื่อ ส.ป.ก. จะนำที่ดินแปลงใดในส่วนนั้นไปดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ให้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินมีผลเป็นเพียงการเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในที่ดินแปลงนั้น และให้ ส.ป.ก. มีอำนาจนำที่ดินนั้นมาใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้โดยไม่ต้องดำเนินการเพิกถอนตามกฎหมายป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อไม่ปรากฏว่ามีมติคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาสมิง และ ส.ป.ก. จะนำที่ดินไปดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่าเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในท้องที่ดังกล่าวถูกเพิกถอนให้เป็นที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 31 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำคุก 3 เดือน จึงเป็นการลงโทษจำคุกต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่อาจกำหนดโทษให้สูงขึ้นอีกได้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 4, 5, 6, 8, 9, 14, 31, 35 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4, 54, 72 ตรี, 74 ทวิ บวกโทษจำคุกที่รอไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 762/2542 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษคดีนี้ ริบมีดของกลาง ให้จำเลยและบริวารออกไปจากป่าที่เกิดเหตุ จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่ศาลขอให้บวกโทษ จำเลยอุทธรณ์ จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14, 31 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 เดือน นั้น เป็นการไม่ถูกต้อง เพราะความผิดตามบทบัญญัติในมาตรา 31 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ การลงโทษจำคุกดังกล่าวจึงต่ำกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่อาจกำหนดโทษจำเลยให้สูงขึ้นอีกได้ อย่างไรก็ตาม การกระทำความผิดของจำเลยได้ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นเนื้อที่ดินเพียงประมาณ 40 ตารางวา พฤติการณ์แห่งคดีไม่ร้ายแรง และขณะเกิดเหตุจำเลยอายุ 63 ปีแล้ว ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยประพฤติตนเป็นพลเมืองดีด้วยการรอการลงโทษจำคุกให้ แต่เพื่อให้หลาบจำให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง และคุมความประพฤติจำเลยไว้ด้วย เมื่อศาลรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยจึงบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ไม่ได้ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลย 12,000 บาทอีกสถานหนึ่งด้วย จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงปรับ 8,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลยไว้ 2 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้ง ภายในกำหนดเวลา 1 ปี ให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณะประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำขอที่ให้บวกโทษจำคุกจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2. พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง (4) มาตรา 26 เมื่อได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฎิรูปที่ดินใช้บังคับใน ท้องที่ใดแล้ว พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 เข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติโดยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2482/2563 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 มาตรา 18 ฐานเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติโดยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิด มีบทกำหนดโทษตามมาตรา 25 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ต่อมาระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้มี พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 มาตรา 3 ยกเลิก พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 แต่ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 มาตรา 20 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดยังคงบัญญัติให้การกระทำตามฟ้องเป็นความผิดอยู่ โดย พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 มีบทกำหนดโทษตามมาตรา 47 ให้ระวางโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท โทษตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดที่มีเพียงโทษปรับโดยไม่มีโทษจำคุก จึงเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดที่มีโทษจำคุกด้วย อย่างไรก็ตามในส่วนของโทษปรับที่ศาลจะนำมาลงโทษจำเลยนั้น พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 มาตรา 25 มีระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท เป็นคุณแก่จำเลยมากกว่า จึงต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลยไม่ว่าจะในทางใดตาม ป.อ. มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 |