

ทางจำเป็นและทางภาระจำยอม ทางจำเป็นและทางภาระจำยอม ทางจำเป็นต้องให้พอควรแก่ความจำเป็น ขอเปิดทางจำเป็นนั้น ที่และวิธีทำทางผ่านต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นกับต้องคำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายน้อยที่สุดที่จะเป็นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสาม ในคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เปิดทางจำเป็นแต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าที่ดินที่จะขอเปิดทางจำเป็นนั้นมีความยาวเป็นอย่างไร ดังนี้ศาลไม่อาจทราบว่าทางจำเป็นที่ขอเปิดนั้นจะพอควรแก่ความจำเป็นสำหรับที่ดินของโจทก์อย่างไร คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 316/2550 โจทก์กล่าวอ้างว่าที่ดินมือเปล่าของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ แต่การที่โจทก์ขอเปิดทางจำเป็นนั้น ที่และวิธีทำทางผ่านต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นกับต้องคำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายน้อยที่สุดที่จะเป็นได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสาม การที่โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบเกี่ยวกับที่ดินมือเปล่าโดยระบุเพียงเขตติดต่อแต่ละด้านว่าจดที่ดินแปลงใด โดยไม่ปรากฏความยาวของที่ดินมือเปล่าแต่ละด้าน ในการทำแผนที่พิพาทโจทก์ก็นำชี้แนวเขตที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองทั้งที่ดินมือเปล่าและที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์รวมเป็นแปลงเดียวกัน จึงไม่อาจวินิจฉัยได้ว่าการใช้ทางพิพาทจะพอควรแก่ความจำเป็นสำหรับที่ดินมือเปล่าของโจทก์หรือไม่ และการเลือกใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นจะทำให้ที่ดินของจำเลยเสียหายน้อยที่สุดหรือไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอเปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินมือเปล่าของโจทก์ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมือเปล่า (ไม่มีเอกสารสิทธิสำหรับที่ดิน) ตั้งอยู่ตำบลขุมเงิน อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร มีอาณาเขตทิศเหนือจดที่ดินนางคำปุ่น ทองจิตร ทิศใต้จดที่ดินนางแดงน้อย (ไม่ปรากฏชื่อสกุล) ทิศตะวันออกจดที่ดินโฉนดเลขที่ 30554 ของจำเลย และทิศตะวันตกจดที่ดินของโจทก์อีกแปลงหนึ่งโจทก์ซื้อที่ดินมาจากนายประสงค์ ประสมศรี เมื่อปี 2539 ก่อนหน้านั้นนายประสงค์และบริวารได้ใช้ทางพิพาทเดินผ่านที่ดินของจำเลยกว้าง 2.59 เมตร ยาว 16.798 เมตร เมื่อออกสู่ทางสาธารณะทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินจำเลยมาเป็นเวลา 10 ปีเศษ โดยความสงบ เปิดเผยและด้วยเจตนาเพื่อใช้ประโยชน์แห่งอสังหาริมทรัพย์ของตน และไม่มีเส้นทางอื่นที่จะใช้ผ่านจากทางสาธารณะเข้าสู่ที่ดินของโจทก์ได้ โจทก์ใช้ทางพิพาทต่อจากนายประสงค์ตลอดมา โดยความสงบ เปิดเผยและด้วยเจตนาใช้เพื่อประโยชน์แห่งอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ จำเลยไม่เคยโต้แย้งหรือคัดค้าน ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็นและทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ เมื่อต้นเดือนเมษายน 2542 จำเลยสร้างรั้วลวดหนามกั้นตลอดที่ดิน จำเลยปิดกั้นทางพิพาท ทำให้โจทก์และบริวารไม่สามารถใช้ทางพิพาทออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนรั้วที่ปิดกั้นทางพิพาทแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางจำเป็นและหรือทางภาระจำยอม กว้าง 2.59 เมตร ยาว 16.798 เมตร ในที่ดินโฉนดเลขที่ 30554 ตำบลขุมเงิน อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร และให้จำเลยจดทะเบียนทางจำเป็นและหรือทางภาระจำยอมดังกล่าว หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา จำเลยให้การว่า นายประสงค์ ประสมศรี เจ้าของที่ดินเดิมไม่เคยใช้ทางพิพาท ที่ดินของโจทก์เป็นที่ดินมือเปล่า มีเนื้อที่เพียงเล็กน้อย นายประสงค์ไม่ได้ทำประโยชน์มาหลายสิบปีปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า หากนายประสงค์จะเข้าออกสู่ที่ดินของตนก็ใช้ทางเดินผ่านที่ดินของบุคคลอื่นทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ของที่ดินจำเลย เมื่อปี 2537 โจทก์ซื้อที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ 15 ไร่ ติดกันที่ดินที่โจทก์ซื้อจากนายประสงค์ ที่ดินแปลงดังกล่าวไม่มีทางเข้าออก เจ้าของเดิมและโจทก์อาศัยเดินตามคันนาของบุคคลอื่นเข้าออกตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาปี 2539 โจทก์จึงซื้อที่ดินจากนายประสงค์ทั้งที่โจทก์ทราบว่าไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยเปิดทางพิพาทกว้าง 2.59 เมตร ยาว 16.798 เมตร ในที่ดินโฉนดเลขที่ 30554 ตำบลขุมเงิน อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ของจำเลยตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.3 และให้จำเลยจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันฟังเป็นยุติว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 30554 ตำบลขุมเงิน อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร เนื้อที่ 1 งาน 26 ตารางวา ด้านทิศตะวันออกติดทาง ร.พ.ช. (เร่งรัดพัฒนาชนบท) สายบ้านเขื่องคำ - บ้านขุมเงิน ตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.2 โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าซึ่งซื้อมาจากนายประสงค์ ประสมศรี และที่ดินเนื้อที่ 14 ไร่ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 ซึ่งซื้อมาจากนางหนูเกตุ ประสมศรี และนายปานทอง ล้วนศรี ทางพิพาทอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 30554 ด้านทิศตะวันออกติดทาง ร.พ.ช. กว้าง 2.59 เมตร ทิศตะวันตกติดที่ดินซึ่งโจทก์ครอบครองกว้าง 2.63 เมตร ด้านทิศเหนือยาว 16.793 เมตร ด้านทิศใต้ยาว 16.189 เมตร ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.3 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมโดยอายุความแก่ที่ดินมือเปล่าของโจทก์หรือได้ โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่านายประสงค์ ประสมศรีเจ้าของที่ดินมือเปล่าคนเดิมและบริวารได้ใช้ทางพิพาทเพื่อออกสู่ทางสาธารณะเป็นเวลากว่า 10 ปี เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินมือเปล่าจากนายประสงค์ในปี 2539 ก็ใช้ทางพิพาทต่อเนื่องจากนายประสงค์จนถึงปี 2542 ซึ่งโจทก์ฟ้องคดีนี้ ดังนั้น การที่นายประสงค์จะได้ภาระจำยอมโดยอายุความย่อมขึ้นอยู่กับว่านายประสงค์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อันเป็นสามยทรัพย์ได้ใช้ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยอันเป็นภารยทรัพย์มาครบถ้วนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เกี่ยวกับการได้ภาระจำยอมโดยอายุความหรือไม่ ในส่วนที่ผู้อื่นจะได้ใช้ทางพิพาทหรือไม่นั้นไม่มีผลเกี่ยวกับการได้ภาระจำยอมโดยอายุความของนายประสงค์แต่ประการใด โจทก์ซึ่งกล่าวอ้างว่านายประสงค์เจ้าของที่ดินมือเปล่าคนเดิมได้ภาระจำเลยยอมในทางพิพาทก่อนขายที่ดินมือเปล่าให้โจทก์ จึงมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบให้ฟังได้ว่านายประสงค์ได้ใช้ทางพิพาทอย่างปรปักษ์โดยความสงบและเปิดเผย ด้วยเจตนาให้ได้ใช้สิทธิในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินมือเปล่าของตนเป็นเวลาติดต่อกัน 10 ปี ในชั้นพิจารณา โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานอ้างนายประสงค์เป็นพยาน แต่โจทก์มิได้นำนายประสงค์หรือบริวารของนายประสงค์ที่ได้ใช้ทางพิพาทมาเบิกความสนับสนุนข้ออ้างตามคำฟ้อง พยานโจทก์คงมีตัวโจทก์นายปานทอง ล้วงศรี นายนิยม ชื่นบาน และนายสุดใจ สายศรี รวม 4 ปาก โจทก์เองมิได้เบิกความให้เห็นว่านายประสงค์ใช้ทางพิพาทอย่างไร ทั้งโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านตอนแรกว่า ที่ดินมือเปล่าของนายประสงค์มีเนื้อที่ประมาณ 1 งาน เป็นเนื้อที่ว่างนายประสงค์ไม่ได้ทำประโยชน์ แต่เบิกความตอบคำถามค้านตอนท้ายแตกต่างไปว่า นายประสงค์ปลูกต้นนุ่นและต้นมะพร้าว นายปานทองซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 คนเดิม เบิกความตอบคำถามค้านว่า นายประสงค์จะมีที่ดินติดกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 ทางทิศใดไม่ทราบ แต่กลับเบิกความตอบคำถามติงว่า นายประสงค์มีที่นาคั่นกลางระหว่างที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 กับที่ดินของจำเลย นายนิยม ซึ่งระหว่างปี 2518 ถึง 2533 ได้ปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินของบิดาและมารดาติดกับที่ดินของจำเลยเบิกความตอบคำถามค้านว่า ที่ดินมือเปล่าของนายประสงค์ทิ้งว่างเปล่ามาหลายปีเนื่องจากเลิกทำนา ส่วนนายสุดใจซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 7 ตำบลขุมเงิน และมีบ้านพักอยู่ห่างทางพิพาทประมาณ 300 เมตร เบิกความตอบคำถามค้านว่า ไม่เคยรู้จักนายประสงค์ ไม่ทราบว่ามีที่ดินอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์หรือจำเลยหรือไม่ ส่วนที่นายสุดใจเบิกความว่าทางพิพาทเป็นถนนเชื่อมกับถนน ร.พ.ช. ทางต่อจากที่ดินของจำเลยเป็นแนวคันนากว้าง 3 เมตร เป็นทางให้รถสัญจรต่อจากทางพิพาทไปเชื่อมกับอีกเส้นทางหนึ่ง ก็ขัดแย้งกับสภาพทางพิพาทตามภาพถ่ายหมาย จ.4 ภาพที่ 2 และที่ 3 ภาพถ่ายหมาย จ.6 ภาพ ที่ 1 ซึ่งปรากฏว่า บริเวณแนวเขตที่ดินของจำเลยด้านทิศตะวันตกมีต้นไม้ยืนต้น 2 ต้น ขึ้นขวางปิดกั้นทางพิพาทจนไม่อาจใช้รถสัญจรต่อจากทางพิพาทได้ ทั้งไม่ปรากฏแนวคันนากว้าว 3 เมตร ต่อจากทางพิพาท จึงไม่มีสภาพเป็นทางให้รถสัญจรต่อจากทางพิพาทไปเชื่อมกับอีกเส้นทางหนึ่งดังที่นายสุดใจเบิกความ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนการครอบครองที่ดินมือเปล่าต่อจากนายประสงค์ และกล่าวอ้างว่านายประสงค์ได้ภาระจำยอมในทางพิพาทโดยอายุความ ไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบให้เห็นว่านายประสงค์ซึ่งมิได้ปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินมือเปล่าได้ทำประโยชน์ประการใดในที่ดินมือเปล่า และนายประสงค์หรือบริวารผู้ใดได้ใช้ทางพิพาทเพื่อการใดที่เป็นประโยชน์แก่ที่ดินมือเปล่าก่อนโอนขายให้แก่โจทก์ ส่วนพยานจำเลยมีนางมัลลิกา นฤมิตกริ่มกมล บุตรนายประสงค์เบิกความยืนยันว่า ที่ดินมือเปล่าของนายประสงค์มีเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา นายประสงค์ใช้ปลูกพืชผักสวนครัว และนายประสงค์เดินทางเข้าออกโดยเดินตามคันนาไม่ได้ผ่านที่ดินของจำเลย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่านายประสงค์ได้ภาระจำยอมในทางพิพาทโดยอายุความก่อนโอนขายที่ดินมือเปล่าให้แก่โจทก์ แม้โจทก์จะอ้างว่าเมื่อซื้อที่ดินมือเปล่าจากนายประสงค์ในปี 2539 แล้ว โจทก์ได้ใช้ทางพิพาทเข้าไปทำไร่นาสวนผสมในที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองทั้งหมด ก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ได้ภาระจำยอมในทางพิพาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า ทางพิพาทตกอยู่ในภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายมีว่าโจทก์ในฐานะเจ้าของที่ดินมือเปล่ามีสิทธิขอให้บังคับจำเลยเปิดทางพิพาทโดยอ้างว่าเป็นทางจำเป็นออกสู่ทางสาธารณะหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะกล่าวอ้างว่าที่ดินมือเปล่าของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ และหากจะผ่านที่ดินของจำเลยไปสู่ทางสาธารณะจะใกล้กว่าทางอื่น แต่การที่โจทก์ขอเปิดทางจำเป็นนั้น ที่และวิธีทำทางผ่านต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็น กับต้องคำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายน้อยที่สุดที่จะเป็นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคสาม แต่โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบเกี่ยวกับที่ดินมือเปล่าโดยระบุเพียงเขตติดต่อแต่ละด้านว่าจดที่ดินแปลงใด โดยปรากฏความยาวของที่ดินมือเปล่าแต่ละด้าน ในการทำแผนที่พิพาทโจทก์ก็นำชี้แนวเขตที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองทั้งที่ดินมือเปล่าและที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 รวมเป็นแปลงเดียวกัน ข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้องและนำสืบมาจึงไม่อาจวินิจฉัยได้ว่าการใช้ทางพิพาทจะพอควรแก่ความจำเป็นสำหรับที่ดินมือเปล่าของโจทก์หรือไม่ และการเลือกใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นจะทำให้ที่ดินของจำเลยเสียหายน้อยที่สุดหรือไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอเปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินมือเปล่าของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยทางพิพาทเป็นทางจำเป็นนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น" พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ. |