สำนักงานพีศิริ ทนายความ ตั้งอยู่เลขที่ 34/159 หมู่ 8 ซอยบางมดแลนด์ แยก 13 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 ติดต่อทนายความ 085-9604258 สำหรับแผนที่การเดินทาง กรุณาคลิ๊กที่ "ที่ตั้งสำนักงาน" ด้านบนสุด ทนายความ ทนาย สำนักงานกฎหมาย สำนักงานทนายความ ปรึกษากฎหมายกับทนายความลีนนท์ โทรเลย ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาทนายความ

ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดที่ศาลสั่งริบ -ปรึกษากฎหมาย ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258 -ติดต่อทางอีเมล : leenont0859604258@yahoo.co.th -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (5) ID line : (1) leenont หรือ (2) @leenont หรือ (3) peesirilaw หรือ (4) @peesirilaw (5) @leenont1 -Line Official Account : เพิ่มเพื่อนด้วย QR CODE ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดที่ศาลสั่งริบ ศาลไม่มีอำนาจสั่งริบรถจักรยานยนต์ ศาลมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินซึ่งคนร้ายได้ใช้ในการกระทำความผิดได้ การที่คนร้ายใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดและพาทรัพย์นั้นไปและให้พ้นจากการจับกุมนั้นไม่ถือว่าได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นเครื่องมือในการวิ่งราวทรัพย์ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งริบรถจักรยานยนต์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6104/2550 โจทก์บรรยายฟ้องว่า ในการวิ่งราวทรัพย์ จำเลยกับพวกร่วมกันใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดและพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม อันเป็นการบรรยายฟ้องให้ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 336 ทวิ แต่บทบัญญัติดังกล่าวหาได้ให้ถือว่ายานพาหนะนั้นเป็นทรัพย์ที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดด้วยไม่ การที่จำเลยกับพวกใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดและพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม ก็มิได้หมายความว่าจำเลยกับพวกได้ใช้รถจักรยานยนต์ดังกล่าวเป็นเครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการวิ่งราวทรัพย์ รถจักรยานยนต์ของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยกับพวกได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์โดยตรง และไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลมีอำนาจสั่งริบตาม ป.อ. มาตรา 33 (1) โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2549 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยกับนายไพฑูรย์ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1404/2549 ของศาลชั้นต้น ร่วมกันลักทรัพย์กระเป๋าหนัง 1 ใบ ภายในมีเงินสด 4,000 บาท ของนางสาวนิตยา ผู้เสียหาย ไปโดยทุจริต โดยในการลักทรัพย์ดังกล่าว จำเลยกับพวกได้ฉกฉวยเอาซึ่งหน้าของผู้เสียหาย และใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดและพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุมเจ้าพนักงานจับจำเลยกับพวกได้พร้อมยึดกระเป๋าหนังและเงินสด 1,900 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายดังกล่าว และรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน กวธ นครปฐม 420 ที่จำเลยกับพวกร่วมกันใช้ในการกระทำความผิดและเป็นของพวกของจำเลย เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 336, 336 ทวิ ให้จำเลยคืนเงิน 2,100 บาท แก่ผู้เสียหาย และริบรถจักรยานยนต์ของกลาง จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 (ที่ถูก มาตรา 336 วรรคแรก) ประกอบมาตรา 336 ทวิ จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ให้จำเลยคืนเงิน 2,100 บาท แก่ผู้เสียหาย และริบรถจักรยานยนต์ของกลาง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ริบรถจักรยานยนต์ของกลางและให้คืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยกับพวกใช้ในการกระทำความผิด อันจะพึงต้องริบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า ในการวิ่งราวทรัพย์ตามฟ้องจำเลยกับพวกร่วมกันใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดและพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม อันเป็นการบรรยายฟ้องให้ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ แต่บทบัญญัติดังกล่าวหาได้ให้ถือว่ายานพาหนะนั้นเป็นทรัพย์ที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดด้วยไม่ การที่จำเลยกับพวกใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดและพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม ก็มิได้หมายความว่าจำเลยกับพวกได้ใช้รถจักรยานยนต์ดังกล่าวเป็นเครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการวิ่งราวทรัพย์ตามฟ้อง รถจักรยานยนต์ของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยกับพวกได้ใชในการกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์โดยตรง และไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลมีอำนาจสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน หมายเหตุ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ในการริบทรัพย์สินนอกจากศาลจะมีอำนาจริบตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์สินต่อไปนี้อีกด้วย คือ (1) ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ไม่ริบทรัพย์สินนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195/2520 (ตอน 1 หน้า 88) พนักงานอัยการจังหวัดราชบุรี โจทก์ นายบุญส่ง กับพวก จำเลย วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามนั่งรถจักรยานยนต์คันเดียวกันตามรถผู้เสียหายมายิงผู้เสียหายและเอารถไป ศาลลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี แต่ไม่ริบรถจักรยานยนต์ของจำเลยซึ่งใช้เป็นยานพาหนะทำให้ต้องรับโทษหนักขึ้นเท่านั้น แต่คำพิพากษาศาลฎีกาที่ริบทรัพย์สินมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2520 (ตอน 2 หน้า 158) พนักงานอัยการ กรมอัยการ โจทก์ นายสมชาย จำเลย วินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยกับพวกวิ่งราวเครื่องรับวิทยุของนายเฮ้าตงไปโดยใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะ เพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดและพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม เมื่อข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้รถจักรยานยนต์ของกลางจึงเป็นทรัพย์สินที่จำเลยกับพวกใช้ในการกระทำผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตาปมระมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ศาลฎีกาพิพากษาแก้ให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง" ท่านอาจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ บรรณาธิการ ได้บันทึกหมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกานี้ว่า "คำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้คงถูกต้องกว่าคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195/2520" ด้วยความเคารพ คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องชัดแล้วว่า ในการวิ่งราวทรัพย์ จำเลยกับพวกใช้รถจักรยานยนต์เพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิด ฯลฯ และอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 มาด้วย จำเลยรับสารภาพย่อมเป็นที่เห็นอยู่ในตัวว่ามีการใช้รถจักรยานยนต์ของกลางกระทำความผิดแล้ว การริบรถจักรยานยนต์ของกลางย่อมเป็นการคุ้มครองสังคมอย่างมีประสิทธิผลมากกว่า ในยุคที่โจรจักรยานยนต์ชุกชุมเช่นนี้ การที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยกับพวกใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดและพาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นจากการจับกุม มิได้หมายความว่าจำเลยกับพวกได้ใช้รถจักรยานยนต์ดังกล่าวเป็นเครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการวิ่งราวทรัพย์ตามฟ้อง เป็นแง่มุมการวินิจฉัยตีความกฎหมายอาญา ซึ่งมีหลักการว่าต้องตีความโดยเคร่งครัดซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบายแก่บุคคลทั่ว ๆ ไป บางคนกลับมีความเห็นว่าเป็นผลประหลาดพิลึกของกฎหมายอย่างที่ฝรั่งเรียกว่า Odd Law หรือ Sod Law และจะให้โจทก์บรรยายฟ้องอย่างไร ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ในการริบทรัพย์สิน นอกจากศาลจะมีอำนาจริบตาม กฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้อีกด้วยคือ เว้นแต่ทรัพย์สินเหล่านี้เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจ ด้วยในการกระทำความผิด มาตรา 336 ผู้ใดลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ผู้นั้นกระทำ ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีและปรับ ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่ สี่พันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกพันบาท ถึงสองหมื่นบาท ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้อง ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาท ถึงสามหมื่นบาท มาตรา 336ทวิ ผู้ใดกระทำความผิดตาม มาตรา 334 มาตรา 335 มาตรา 335 ทวิ หรือ มาตรา 336 โดยแต่งเครื่องแบบทหารหรือ ตำรวจหรือแต่งกายให้เข้าใจว่าเป็นทหารหรือตำรวจ หรือโดยมีหรือ ใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การ กระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุมต้อง ระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ใน มาตรา นั้น ๆ กึ่งหนึ่ง ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาทนายความ ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร. 0859604258 สำนักงานพีศิริ ทนายความ
|