

ละเมิดอำนาจศาล-ทนายความเรียกค่าวิ่งเต้นคดี ละเมิดอำนาจศาล-ทนายความเรียกค่าวิ่งเต้นคดี การเรียกค่าวิ่งเต้นคดีแม้ทนายความจะได้เรียกเงินและรับเงินกันนอกศาลก็ตาม แต่ภายหลังได้มีการทวงเงินในบริเวณศาลและมีการคืนเงินกันในบริเวณศาลถือเป็นส่วนหนึ่งของการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5801/2550 แม้การเรียกเงินค่าวิ่งเต้นคดีจะมิได้เกิดขึ้นในบริเวณศาลเพราะมีการติดต่อทางโทรศัพท์และรับเงินกันที่บ้านของผู้กล่าวหา แต่หลังจากนั้นได้มีการติดต่อทวงถามคืนเงินดังกล่าวในบริเวณศาลหลายครั้งและในที่สุดก็มีการมอบเงินคืนให้แก่กันที่บริเวณโรงรถของศาล ถือได้ว่าพฤติการณ์ดังกล่าวมีผลเกี่ยวเนื่องต่อกันมาจากเรื่องการวิ่งเต้นคดีของศาลอุทธรณ์ แม้ระยะเวลาการคืนเงินดังกล่าวให้แก่กันจะมีระยะเวลาห่างจากตอนที่รับเงินมาเป็นเวลาถึง 3 ปีเศษ แต่การดำเนินการวิ่งเต้นคดียังไม่สิ้นสุด จนกระทั่งต้องมีการคืนเงินกัน กระบวนการเรียกร้องคืนเงินค่าวิ่งเต้นคดีและการคืนเงินดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลแล้ว คดีสืบเนื่องจากผู้กล่าวหา ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1101/2545 ของศาลชั้นต้น ร้องเรียนต่อผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้พูดจาหลอกลวงผู้กล่าวหากับนางสุวารี ภริยาของผู้กล่าวหาว่าสามารถวิ่งเต้นเบื้องบนเพื่อช่วยเหลือผู้กล่าวหาให้ไม่ต้องรับโทษจำคุกในคดีดังกล่าวชั้นศาลอุทธรณ์ได้ เป็นเหตุให้ผู้กล่าวหากับนางสุวารีหลงเชื่อและมอบเงินแก่ผู้ถูกกล่าวหาไปรวม 240,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ผู้ถูกกล่าวหาประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นการกระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 (1), 33 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ลงโทษจำคุก 5 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 (1) ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า “...พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2545 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกผู้กล่าวหามีกำหนด 4 ปี ฐานความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ ความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ และความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากร ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1101/2545 ของศาลชั้นต้น ต่อมาผู้ถูกกล่าวหารับเป็นทนายความชั้นอุทธรณ์ให้แก่ผู้กล่าวหา โดยได้รับเงิน 240,000 บาท จากผู้กล่าวหา และคดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของพนักงานอัยการสำนักงานคดีศาลสูงเขต 6 พิษณุโลกว่า ผู้ถูกกล่าวหาประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ เห็นว่า ผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน ต่างไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน จึงไม่มีเหตุอันใดจะแกล้งเบิกความปรักปรำผู้ถูกกล่าวหาให้ต้องรับโทษ การที่ผู้ถูกกล่าวหายอมรับว่าได้รับเงินจากผู้กล่าวหาไปจริง จำนวน 240,000 บาท แต่เป็นเงินค่าจ้างว่าความนั้น เห็นว่า หากเป็นเงินค่าจ้างว่าความในชั้นอุทธรณ์จริงก็ไม่น่าจะเป็นจำนวนมากเช่นนั้น อีกทั้งก็ไม่ควรยอมคืนค่าจ้างว่าความให้ จึงน่าเชื่อว่าเงินดังกล่าวที่ผู้ถูกกล่าวหาได้รับจากผู้กล่าวหาส่วนหนึ่งเป็นค่าวิ่งเต้นคดี ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าหลังจากที่ได้ตกลงว่าจ้างผู้ถูกกล่าวหาเป็นทนายความแล้วต่อมาได้มีการติดต่อกันทางโทรศัพท์ โดยผู้ถูกกล่าวหาบอกว่าจะติดต่อวิ่งเต้นคดีในชั้นศาลอุทธรณ์ให้และได้ติดต่อแล้วจะต้องเสียค่าใช้จ่ายให้เบื้องบน 200,000 บาท ผู้กล่าวหาตกลงและนัดให้ไปรับมอบเงินที่บ้านผู้กล่าวหา เมื่อผู้ถูกกล่าวหารับเงินดังกล่าวไปแล้ว ผลปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ผู้กล่าวหาจึงทวงเงินคืนจากผู้ถูกกล่าวหาหลายครั้ง เคยมาติดตามทวงคืนในบริเวณศาล 3 ครั้ง แต่ผู้ถูกกล่าวหาบอกว่าให้รอไปก่อนบ้าง ยังมีเงินไม่ครบบ้าง ผู้กล่าวหาจึงไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้น ต่อมาผู้ถูกกล่าวหานัดให้ผู้กล่าวหาไปรับเงินคืนจำนวน 200,000 บาท ที่โรงจอดรถของศาลชั้นต้น หลังจากนั้นผู้กล่าวหาก็ได้ขอถอนคำร้องทุกข์ เห็นว่า แม้การเรียกเงินค่าวิ่งเต้นคดีจะมิได้เกิดขึ้นในบริเวณศาลเพราะมีการติดต่อทางโทรศัพท์และรับเงินกันที่บ้านของผู้กล่าวหา แต่หลังจากนั้นได้มีการติดต่อทวงถามคืนเงินดังกล่าวในบริเวณศาลหลายครั้งและในที่สุดก็มีการมอบเงินคืนให้แก่กันที่บริเวณโรงรถของศาล ถือได้ว่าพฤติการณ์ดังกล่าวมีผลเกี่ยวเนื่องต่อกันมาจากเรื่องการวิ่งเต้นคดีของศาลอุทธรณ์ แม้ระยะเวลาการคืนเงินดังกล่าวให้แก่กันจะมีระยะเวลาห่างจากตอนที่รับเงินมาเป็นเวลาถึง 3 ปีเศษ แต่การดำเนินการวิ่งเต้นคดียังไม่สิ้นสุด จนกระทั่งต้องมีการคืนเงินกัน กระบวนการเรียกร้องคืนเงินค่าวิ่งเต้นคดีและการคืนเงินดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาไม่เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกผู้ถูกกล่าวหา 5 เดือนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าหนักเกินไป สมควรแก้ไขให้ลดน้อยลง” พิพากษากลับว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 (1), 33 (ข) วรรคท้าย ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ลงโทษจำคุก 3 เดือน หมายเหตุ มีสุภาษิตละตินว่า Baratriam committit qui propter pecuniam justitiam baractat แปลว่า คนที่เอาความยุติธรรมไปแลกกับเงินคือคนก่อกวนความสงบในศาล ก่อนหน้านี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7333/2544 (ส.5/196) นางผัน ปัญญา กับพวก โจทก์ นางเฉลียว จำเลย นายไสว ผู้ถูกกล่าวหา วินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาอ้างตนเองว่าเป็นอัยการและหลอกจำเลยในบริเวณศาลชั้นต้น ทั้งมีการรับเงินที่โรงอาหารซึ่งอยู่ภายในบริเวณศาลชั้นต้นด้วย แม้เหตุจะมิได้เกิดขึ้นต่อหน้าศาลแต่ก็เกิดในบริเวณศาล การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นการกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษผู้ถูกกล่าวหาได้ โดยหาจำต้องดำเนินการทางพนักงานสอบสวนดังที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างไม่ (จำคุก 3 เดือน) การเป็นความในศาลที่กินระยะเวลานานนับปี ก่อให้เกิดปัญหาทางจิตของผู้เป็นความอยู่เสมอ จิตใจย่อมจะว้าวุ่นหวาดระแวง ยิ่งการเป็นความในศาลสูงใช้เวลานานเป็นหลายปี ย่อมเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพอาศัยโอกาสนี้เข้ามาแอบอ้างหากินเรียกร้องผลประโยชน์อ้างว่าจะไปวิ่งเต้นผู้พิพากษา หรือที่เรียกกันภาษาชาวบ้านว่า ดักไซแห้ง เป็นต้น หากศาลสูงมีพัฒนาการไปในทางที่พิจารณาคดีได้เร็วกว่านี้ปัญหาทำนองนี้อาจจะลดน้อยลงไปได้ ประทีป อ่าววิจิตรกุล ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง, มาตรา 30 ให้ศาลมีอำนาจออกข้อกำหนดใด ๆ แก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือแก่บุคคลภายนอกที่อยู่ต่อหน้าศาลตามที่เห็นจำเป็น เพื่อรักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาล และเพื่อให้กระบวนพิจารณา ดำเนินไปตามเที่ยงธรรมและรวดเร็ว อำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึงการ สั่งห้ามคู่ความมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในทางก่อความรำคาญ หรือในทางประวิงให้ชักช้าหรือในทางฟุ่มเฟือยเกินสมควร มาตรา 31 ผู้ใดกระทำการอย่างใด ๆ ดังกล่าวต่อไปนี้ ให้ถือว่า กระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล การไล่ออกจากบริเวณศาลนั้น ให้กระทำได้ชั่วระยะที่ศาลนั่ง พิจารณาหรือภายในระยะเวลาใด ๆ ก็ได้ ตามที่ศาลเห็นสมควร เมื่อจำเป็นจะเรียกให้ตำรวจช่วยจัดการได้ ในกรณีกำหนดโทษจำคุกและปรับนั้น ให้จำคุกได้ไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินห้าร้อยบาท ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติ ไว้โดยเฉพาะ ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้
|