

คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ อำนาจศาลชั้นต้นที่จะสั่งแก้ไขคำสั่งที่ผิดหลง คำสั่งไม่รับอุทธรณ์-ค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทน-อำนาจศาลชั้นต้นที่จะสั่งแก้ไขคำสั่งที่ผิดหลง เดิมศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่ชอบเนื่องจากจำเลยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ ต่อมาศาลชั้นต้นจึงเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ต่อมามีคำสั่งให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายใน 15 วัน คำสั่งของศาลชั้นต้นทั้งสองครั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากในการสั่งรับอุทธรณ์ครั้งแรกไม่ชอบเพราะว่าจำเลยมิได้นำค่าธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งศาลเอง ควรจะสั่งใหม่เป็นไม่รับอุทธรณ์ แต่ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางไว้ใน 15 วัน เป็นการไม่ชอบเช่นกันเมื่อพิจารณาต่อไปจะเห็นได้ว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นในครั้งหลังเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ค่าธรรมเนียมใช้แทนนอกจากค่าทนายความแล้วยังรวมถึงค่าฤชาธรรมเนียมที่คู่ความอีกฝ่ายต้องเสียไปจากการดำเนินคดีในศาลด้วย การที่จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยนำเพียงค่าทนายความใช้แทนมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งไม่รับอุทธรณ์ได้ทันที คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2550 การที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 โดยขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาใหม่นั้น หากอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น ศาลอุทธรณ์ก็ย่อมพิพากษาให้พิจารณาใหม่ซึ่งจะทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่บังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์ต้องถูกเพิกถอนไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 199 เบญจ วรรคสาม อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวมีผลเท่ากับเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นอยู่ในตัว จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งในชั้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ได้ทันที การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดหลง และเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามมาตรา 27 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้ส่งอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา ศาลชั้นต้นก็ย่อมมีอำนาจเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวโดยมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ได้ทันที การที่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 หลังจากที่มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 แต่มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งนั้นเท่ากับศาลชั้นต้นเปิดโอกาสให้แก่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อนที่จะพิจารณาสั่งอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่าจะให้ส่งหรือปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ไปยังศาลอุทธรณ์อันเป็นกระบวนพิจารณาในชั้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 232 คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบ กับให้จำเลยทั้งสอร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสองยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับอุทธรณ์และมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา พิพากษายืน เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว การดำเนินกระบวนพิจารณาขั้นต่อไปย่อมอยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ เพียงแต่กฎหมายให้อำนาจศาลชั้นต้นในการตรวจรับอุทธรณ์ว่า เป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เสียค่าขึ้นศาล ค่าฤชาธรรมเนียม ครบถ้วนหรือไม่ คงมีข้อพิจารณาว่า เมื่อศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลยพินิจในการรับอุทธรณ์แล้ว จะใช้ดุลยพินิจเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้อีกหรือไม่ เช่น เพิกถอนคำสั่งเป็นไม่รับอุทธรณ์ กรณีนี้ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยไว้ว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งรับอุทธรณ์ได้ เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 347/2540 คำพิพากษาที่หมายเหตุนี้วินิจฉัยเดินตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว ในทางตรงกันข้ามหากศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ ภายหลังจะมีคำสั่งแก้ไขเป็นรับอุทธรณ์ได้หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะแก้ไขได้ เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3589/2525 ทั้งสองประการนี้ศาลฎีกาให้ความเห็นว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะแก้ไขคำสั่งที่ผิดหลงได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 แต่ด้วยความเคารพผู้หมายเหตุเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์หรือไม่รับอุทธรณ์ไปแล้ว ถือว่าสิ้นสุดอำนาจของศาลชั้นต้นแล้ว หากกรณีรับอุทธรณ์ หากศาลชั้นต้นเห็นว่าคำสั่งเดิมไม่ชอบ ก็ควรเป็นหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ที่จะมีคำสั่งแก้ไข หากศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ ผู้อุทธรณ์ก็มีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งได้ ศาลอุทธรณ์อาจเห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้นก็ได้ การที่ศาลชั้นต้นไปสั่งแก้ไขอาจกลับกลายเป็นว่าสั่งเกินความประสงค์ของศาลอุทธรณ์ สำหรับคดีที่หมายเหตุนี้เดิมศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 โดยไม่ชอบเนื่องจากจำเลยที่ 1 มิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ ต่อมาศาลชั้นต้นจึงเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว และมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษามาวางศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง จะเห็นได้ว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นทั้งสองครั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ ในการสั่งรับอุทธรณ์ครั้งแรกไม่ชอบเพราะว่าจำเลยที่ 1 มิได้นำค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวควรจะสั่งใหม่เป็นไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 แต่ศาลชั้นต้นกลับนำบทบัญญัติ ป.วิ.พ. มาตรา 18 สั่งให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางไว้ใน 15 วัน เป็นการไม่ชอบเช่นกันเมื่อพิจารณาต่อไปจะเห็นได้ว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นในครั้งหลังเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1125/2545 ซึ่งวินิจฉัยว่า ป.วิ.พ. มาตรา 229 บัญญัติไว้เพื่อเป็นหน้าที่ของผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ ซึ่งค่าธรรมเนียมใช้แทนนอกจากค่าทนายความแล้วยังรวมถึงค่าฤชาธรรมเนียมที่คู่ความอีกฝ่ายต้องเสียไปจากการดำเนินคดีในศาลชั้นต้นด้วย การที่จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยนำเพียงค่าทนายความใช้แทนมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งไม่รับอุทธรณ์ได้ทันที แต่เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยมิได้จงใจหรือว่าฝ่าฝืนที่จะไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติกฎหมายและมีคำสั่งกำหนดเวลาให้จำเลยปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนเท่ากับศาลชั้นต้นเปิดโอกาสให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลให้ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะพิจารณาสั่งอุทธรณ์ อันเป็นกระบวนพิจารณาในชั้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 232 ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลชั้นต้นโดยเฉพาะ คำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นนี้จึงมิใช่คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ซึ่งผู้อุทธรณ์อาจอุทธรณ์คำสั่งศาลนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตามมาตรา 234 ได้ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในชั้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยว่า ให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนมาวางศาลภายในเวลาที่กำหนดก่อนจึงจะพิจารณาสั่งอุทธรณ์นั้น จำเลยจึงยังไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยมานั้นจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่อาจวินิจฉัยฎีกาของจำเลยได้ แต่คดีนี้เมื่อจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็พิจารณาพิพากษาคดีให้ จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้เช่นกัน จึงแตกต่างจากคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวและน่าจะแปลกไปจากหลักกฎหมาย ศิริชัย วัฒนโยธิน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ในกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวล กฎหมายนี้ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม หรือที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ในเรื่องการเขียน และการยื่นหรือการส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่น ๆ หรือในการพิจารณา คดี การพิจารณาพยานหลักฐาน หรือการบังคับคดี เมื่อศาลเห็นสมควร หรือเมื่อคู่ความฝ่ายที่เสียหายเนื่องจากการที่มิได้ปฏิบัติเช่นว่านั้นยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้เพิกถอน การพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดหรือบางส่วน หรือสั่งแก้ไข หรือมีคำสั่งในเรื่องนั้นอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ศาลเห็นสมควร ข้อค้านเรื่องผิดระเบียบนั้น คู่ความฝ่ายที่เสียหายอาจยกขึ้นกล่าว ได้ไม่ว่าในเวลาใด ๆ ก่อนมีคำพิพากษา แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวัน นับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็น มูลแห่งข้ออ้างนั้น แต่ทั้งนี้คู่ความฝ่ายนั้นต้องมิได้ดำเนินการอันใด ขึ้นใหม่ หลังจากที่ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้ว หรือต้องมิได้ให้ สัตยาบันแก่การผิดระเบียบนั้น ๆ ถ้าศาลสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบใดๆ อันมิใช่ เรื่องที่คู่ความละเลยไม่ดำเนินการพิจารณาเรื่องนั้นภายในระยะเวลา ซึ่งกฎหมายหรือศาลกำหนดไว้เพียงเท่านี้ไม่เป็นการตัดสิทธิคู่ความ ฝ่ายนั้น ในอันที่จะดำเนินกระบวนพิจารณานั้น ๆ ใหม่ให้ถูกต้อง ตามที่กฎหมายบังคับ มาตรา 199 เบญจ เมื่อศาลได้รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่แล้ว หากเห็นสมควรศาลจะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนก็ได ในกรณี เช่นนี้ให้ศาลแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ ในการพิจารณาคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ ถ้ามีเหตุควรเชื่อว่าการ ขาดนัดยื่นคำให้การนั้นมิได้เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุอันสมควร และ ศาลเห็นว่าเหตุผลที่อ้างมาในคำขอนั้นผู้ขออาจมีทางชนะคดีได้ทั้ง ในกรณีที่ยื่นคำขอล่าช้านั้น ผู้ขอได้ยื่นภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอในกรณีเช่นนี้ถ้ามีการอุทธรณ์หรือฎีกา คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ให้คู่ความฝ่ายที่ขาดนัดยื่นคำให้การแพ้คดี ให้ศาลแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาแล้วแต่กรณี ทราบด้วย เมื่อศาลได้มีคำสั่งอนุญาตตามคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ตาม วรรคสอง คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำ ให้การและคำพิพากษาหรือคำสั่งอื่น ๆ ของศาลอุทธรณ์หรือ ศาลฎีกาในคดีเดียวกันนั้น และวิธีการบังคับคดีที่ได้ดำเนินไปแล้ว ให้ถือว่าเป็นอันเพิกถอนไปในตัว และให้ศาลแจ้งให้เจ้าพนักงาน บังคับคดีทราบ แต่ถ้าเป็นการพ้นวิสัยที่จะให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะ เดิมดังเช่นก่อนบังคับคดีได้ หรือเมื่อศาลเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะบังคับ เช่นนั้น เพื่อประโยชน์แก่คู่ความหรือบุคคลภายนอก ให้ศาลมี อำนาจสั่งอย่างใด ๆ ตามที่เห็นสมควร แล้วให้ศาลพิจารณาคดีนั้น ใหม่ตั้งแต่เวลาที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โดยให้จำเลยยื่นคำให้ การภายในกำหนดเวลาตามที่ศาลเห็นสมควร คำสั่งศาลที่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ ให้เป็นที่สุด แต่ในกรณี ที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตผู้ขออาจอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ คำพิพากษา ของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด ถ้าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การโดยจงใจ หรือไม่มีเหตุอันสมควร เป็นเหตุให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมมากกว่า ที่ควรจะต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นนั้นให้ถือว่าเป็นค่าฤชา ธรรมเนียมอันไม่จำเป็นตามความหมายแห่ง มาตรา 166 มาตรา 229 การอุทธรณ์นั้นให้ทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลชั้นต้น ซึ่งมีคำพิพากษาหรือคำสั่งภายในกำหนดหนึ่งเดือน นับแต่วันที่ได้ อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น และผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียม ซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวาง ศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วย ให้ผู้อุทธรณ์ยื่นสำเนาอุทธรณ์ต่อศาล เพื่อส่งให้แก่จำเลยอุทธรณ์ (คือฝ่ายโจทก์หรือจำเลยความเดิมซึ่ง เป็นฝ่ายที่มิได้อุทธรณ์ความนั้น) ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 235 และ มาตรา 236 มาตรา 232 เมื่อได้รับอุทธรณ์แล้ว ให้ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์ และมีคำสั่งให้ส่งหรือปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์นั้นไปยังศาลอุทธรณ์ตาม บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าศาลปฏิเสธไม่ส่งให้ศาลแสดง เหตุที่ไม่ส่งนั้นไว้ในคำสั่งทุกเรื่องไป ถ้าคู่ความทั้งสองฝ่ายได้ยื่น อุทธรณ์ ศาลจะวินิจฉัยอุทธรณ์ทั้งสองฉบับนั้นในคำสั่งฉบับเดียวกัน ก็ได้ เป็นการสั่งคดีโดยผิดหลงและดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีหน้าที่พิจารณาเพียงว่าข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดหรือไม่ ที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และยกคำร้อง จึงเป็นการสั่งคดีโดยผิดหลงและเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ถือว่าไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยยกคำสั่งของศาลชั้นต้น และมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้องได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6360/2556 ป.วิ.พ. มาตรา 243(1), 247 พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 180(2), 183 หลักเกณฑ์การฎีกาตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 180 (2) ประกอบมาตรา 183 ต้องแยกพิจารณาว่าเป็นการฎีกาเฉพาะส่วนเกี่ยวกับวิธีการสำหรับเด็กหรือฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานว่าไม่ได้กระทำผิด หากฎีกาเฉพาะส่วนเกี่ยวกับวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนต้องห้ามฎีกาเว้นแต่กำหนดเวลาฝึกอบรมเกินกว่าสามปี หรือกำหนดเวลาฝึกอบรมเป็นขั้นต่ำขั้นสูงและขั้นสูงเกินกว่าสามปี หากฎีกาว่าไม่ได้กระทำความผิด ต้องพิจารณาตาม ป.วิ.อ. ซึ่งในกรณีศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและยังคงกำหนดให้ส่งจำเลยไปฝึกอบรมซึ่งต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิเคราะห์ว่าข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาได้ตามมาตรา 221 ซึ่งผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีหน้าที่พิจารณาเพียงว่าข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดหรือไม่เท่านั้น การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและยกคำร้อง จึงเป็นการสั่งคดีโดยผิดหลงและเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ถือว่าไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยยกคำสั่งของศาลชั้นต้น และมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (1) และ 247 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 และพ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 276, 277, 283 ทวิ, 295, 317, 318, 358 จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจและข้อหาทำให้เสียทรัพย์ ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 277 วรรคหนึ่ง, 317 วรรคสาม, 319 วรรคหนึ่ง, 358 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดาหรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร 2 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 12 เดือน ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี รวมจำคุก 4 ปี ฐานพรากผู้เยาว์อายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดาหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย 10 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 10 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจและฐานทำให้เสียทรัพย์ 2 กระทง จำคุกกระทงละ 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพสองฐานความผิดนี้เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 1 เดือน รวมจำคุก 2 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้น 18 ปี 14 เดือน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 104 (2) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยเป็นส่งจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 7 (จังหวัดเชียงใหม่) มีกำหนดขั้นต่ำ 3 ปี ขั้นสูง 3 ปี 6 เดือน นับแต่วันพิพากษา ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ฐานทำให้เสียทรัพย์ ฐานพาบุคคลอายุเกิน 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี กับพาเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจาร และฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น ไม่มีคู่ความอุทธรณ์ฎีกาจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนความผิดฐานที่จำเลยฎีกานั้นศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 277 วรรคหนึ่ง, 317 วรรคสาม, 319 วรรคหนึ่ง, 358 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานพรากผู้เยาว์อายุไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร 2 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี 6 เดือน รวม 4 ปี 12 เดือน ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี 2 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 4 ปี ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจารโดยเต็มใจ 10 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 10 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น และฐานทำให้เสียทรัพย์ 2 กระทง จำคุกกระทงละ 2 เดือน ลดโทษให้สองฐานนี้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 1 เดือน รวม 2 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้น 18 ปี 14 เดือน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 104 (2) เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยไปฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 7 จังหวัดเชียงใหม่ มีกำหนดขั้นต่ำ 3 ปี ขั้นสูง 3 ปี 6 เดือน นับแต่วันพิพากษา และศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ดังนี้จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 ใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนโดยเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยไปฝึกและอบรมซึ่งมิใช่การลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 ต้องถือว่าศาลล่างทั้งสองมิได้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 และมาตรา 183 ที่จำเลยฎีกาเฉพาะว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุไม่เกินสิบห้าปีไปอนาจาร 2 กระทง ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร 10 กระทง และฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี 2 กระทง ขอให้ยกฟ้องและหากฟังว่ากระทำความผิดขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบัญญัติดังกล่าว เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้ฎีกาจากผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษา หรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้น หรือศาลอุทธรณ์ภาค 6 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อจำเลยยื่นฎีกา จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 7 กันยายน 2555 ต่อศาลชั้นต้นพร้อมคำฟ้องฎีกาเพื่อขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องว่า “ศาลตรวจสำนวนแล้วเห็นว่าคดีของจำเลยไม่ต้องห้ามฎีกาตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 183 ประกอบมาตรา 180 (2) จึงให้ยกคำร้อง” และสั่งรับฎีกา ดังนี้เห็นว่า หลักเกณฑ์การฎีกาตามมาตรา 180 (2) ประกอบมาตรา 183 นั้นหมายถึง กรณีต้องแยกพิจารณาว่าเป็นการฎีกาเกี่ยวกับวิธีการสำหรับเด็ก หรือฎีกาโต้แย้งดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานว่าไม่ได้กระทำผิด หากมีการฎีกาเกี่ยวกับการใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน และมีการเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นฝึกอบรมที่กำหนดเวลาขั้นสูงเกินสามปีจะไม่ต้องห้ามฎีกา แต่หากฎีกาในข้อเท็จจริงว่าไม่ได้กระทำความผิด จำต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาตามที่ได้วินิจฉัยข้างต้น ดังนั้นจำเลยย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีหรือลงชื่อในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิเคราะห์ว่าข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาได้ ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีหน้าที่พิจารณาเพียงว่า ข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดหรือไม่เท่านั้น การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและยกคำร้อง จึงเป็นการสั่งคดีโดยผิดหลง และเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ถือว่าไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง และยกคำสั่งและการดำเนินการดังกล่าวของศาลชั้นต้นที่ไม่ชอบเสียได้ และสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) และมาตรา 247 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นในคำร้องและคำฟ้องฎีกาลงวันที่ 10 กันยายน 2555 และให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งใหม่ตามรูปคดี การอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ ผู้อุทธรณ์ ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229 หรือไม่? คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4090 / 2559 จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ต่อศาลอุทธรณ์ ซึ่งหากศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ตามอุทธรณ์ของจำเลย ก็จะทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่บังคับให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านและที่ดินกับให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นอันต้อง ถูกเพิกถอนไปทันที ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 199 เบญจ วรรคสาม อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยจึงเท่ากับเป็นการอุทธรณ์ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นอยู่ในตัวด้วย ดังนั้นจำเลยซึ่งเป็นผู้อุทธรณ์ จึงมีหน้าที่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229 เมื่อจำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทย์ตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฏหมายทางไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศาลที่จะเรียกให้จำเลยนำเงิน ค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา มาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย |