คำร้องสอดเป็นฟ้องซ้อน-ปัญหาข้อกฎหมาย คำร้องสอดของโจทก์คดีอื่นอยู่ระหว่างพิจารณาฟ้องใหม่เป็นฟ้องซ้อน คำร้องสอดของโจทก์ตั้งข้อพิพาทเป็นปฏิปักษ์กับทั้งจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์และจำเลยในคดีก่อนซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณา มีผลให้คดีตามคำร้องสอดของโจทก์มีลักษณะเป็นคำฟ้องที่โจทก์เสนอข้อหาต่อศาลแล้ว แม้อยู่ระหว่างจำหน่ายคดีชั่วคราวเพื่อรอฟังผลในคดีนี้ ก็ถือว่าคดีตามคำร้องสอดของโจทก์ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล การที่โจทก์ยื่นคำฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีนี้ โดยมีสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในเรื่องเดียวกันกับคดีที่โจทก์ยื่นคำร้องสอดเข้าไปในคดีเดิม ซึ่งมีลักษณะเป็นคำฟ้อง คำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือศาลอื่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2165/2564 คดีก่อน จำเลยที่ 2 เป็นโจทก์ฟ้องขอให้บังคับขับไล่จำเลยที่ 1 และบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทและเรียกค่าเสียหายอ้างว่า ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 ซึ่งซื้อจากจำเลยที่ 1 โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และจำเลยที่ 1 ตกลงจะซื้อคืนโดยทำสัญญาจะซื้อจะขายกับจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ชำระราคาและรับโอนกรรมสิทธิ์ สัญญาจะซื้อจะขายจึงเป็นอันเลิกกัน จำเลยที่ 1 ยังคงอาศัยอยู่ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท จึงเป็นการละเมิดต่อจำเลยที่ 2 ทำให้จำเลยที่ 2 เสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์จากทรัพย์สินนั้น ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องจำเลยที่ 2 ในคดีก่อนเป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์สินใช้กรรมสิทธิ์ติดตามและเอาคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์สินของตนจากจำเลยที่ 1 ผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ ตลอดจนสิทธิของเจ้าของทรัพย์สินที่จะใช้สอยทรัพย์สินนั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ส่วนคำร้องสอดของโจทก์ที่ยื่นเข้าไปขณะคดีก่อนอยู่ในระหว่างพิจารณาอ้างว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์มิได้รู้เห็นหรือให้ความยินยอม และจำเลยที่ 2 กับสามีซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีนี้กระทำการโดยไม่สุจริต โดยมีคำขอให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 เห็นได้ชัดว่า คำร้องสอดของโจทก์ตั้งข้อพิพาทเป็นปฏิปักษ์กับทั้งจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์และจำเลยในคดีก่อน มีผลให้คดีตามคำร้องสอดของโจทก์มีลักษณะเป็นคำฟ้องที่โจทก์เสนอข้อหาต่อศาลแล้ว แม้คดีก่อนศาลจะจำหน่ายคดีชั่วคราวเพื่อรอฟังผลในคดีนี้ ก็ถือว่าคดีตามคำร้องสอดของโจทก์ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล การที่โจทก์ยื่นคำฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีนี้ โดยมีสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในเรื่องเดียวกันกับคดีที่โจทก์ยื่นคำร้องสอดเข้าไปในคดีก่อน ซึ่งมีลักษณะเป็นคำฟ้อง คำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือศาลอื่นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 44986 ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 245 จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลและได้รับอนุญาตให้ฎีกาจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2551 จำเลยที่ 1 ขายฝากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทโฉนดเลขที่ 44986 ไว้แก่นางสาวศิริพร ในราคา 4,760,000 บาท มีกำหนดเวลาไถ่ถอน 1 ปี และโจทก์ทำหนังสือให้ความยินยอมขายฝากดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 วันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนไถ่ถอนจากขายฝากแล้วจดทะเบียนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทแก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 รับมอบอำนาจให้ดำเนินการแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งการทำนิติกรรมซื้อขายของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวโจทก์ไม่ได้มาให้ความยินยอม ในวันเดียวกันจำเลยที่ 2 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทคืนแก่จำเลยที่ 1 ในราคา 6,880,000 บาท วันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 จำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดพัทยาขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท ศาลจังหวัดพัทยาพิพากษายกฟ้อง ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1519/2554 คดีหมายเลขแดงที่ 1533/2556 คดีถึงที่สุด วันที่ 1 มีนาคม 2560 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ต่อศาลจังหวัดพัทยาขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.229/2560 วันที่ 4 เมษายน 2560 จำเลยที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดพัทยาขอให้ขับไล่จำเลยที่ 1 และบริวารให้ออกไปจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.338/2560 ต่อมาวันที่ 22 พฤษภาคม 2560 ศาลจังหวัดพัทยามีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.229/2560 และมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ในวันเดียวกันโจทก์ยื่นคำร้องสอดเข้าไปเป็นคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.338/2560 ของศาลจังหวัดพัทยา วันที่ 29 พฤษภาคม 2560 โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ นอกจากนั้น คดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.338/2560 ของศาลจังหวัดพัทยา คู่ความท้ากันให้ถือเอาผลคดีนี้เป็นข้อแพ้ชนะ ซึ่งศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีดังกล่าวไว้ชั่วคราว ตามรายงานกระบวนพิจารณาศาลจังหวัดพัทยา ลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2560 พิเคราะห์แล้วที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 แก้ฎีกาอ้างว่า คำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2562 เป็นสำเนาเอกสารทางโทรสาร มิใช่ต้นฉบับที่ยื่นมาพร้อมกับฎีกา เมื่อโจทก์ส่งต้นฉบับก็ล่วงเลยกำหนดระยะเวลาฎีกาแล้วจึงเป็นการไม่ชอบ เห็นว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ปฏิเสธความมีอยู่และความแท้จริงแห่งเอกสารดังกล่าว ทั้งคำสั่งของศาลฎีกาที่อนุญาตให้โจทก์ฎีกาก็หาได้มีข้อผิดระเบียบอย่างใดไม่ คำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาตามฎีกาโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาที่ว่า ฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.338/2560 ของศาลจังหวัดพัทยาหรือไม่ เห็นว่า คดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.338/2560 ของศาลจังหวัดพัทยา จำเลยที่ 2 เป็นโจทก์ฟ้องขอให้บังคับขับไล่จำเลยที่ 1 และบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทและเรียกค่าเสียหายอ้างว่า ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 ซึ่งซื้อจากจำเลยที่ 1 โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และจำเลยที่ 1 ตกลงจะซื้อคืนโดยทำสัญญาจะซื้อจะขายกับจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ชำระราคาและรับโอนกรรมสิทธิ์ สัญญาจะซื้อจะขายจึงเป็นอันเลิกกัน จำเลยที่ 1 ยังคงอาศัยอยู่ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท จึงเป็นการละเมิดต่อจำเลยที่ 2 ทำให้จำเลยที่ 2 เสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์จากทรัพย์สินนั้น ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวเป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์สินใช้กรรมสิทธิ์ติดตามและเอาคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์สินของตนจากจำเลยที่ 1 ผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ ตลอดจนสิทธิของเจ้าของทรัพย์สินที่จะใช้สอยทรัพย์สินนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ส่วนคำร้องสอดของโจทก์ที่ยื่นเข้าไปขณะคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างพิจารณาอ้างว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์มิได้รู้เห็นหรือให้ความยินยอม และจำเลยที่ 2 กับสามีซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีนี้กระทำการโดยไม่สุจริต โดยมีคำขอให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 เห็นได้ชัดว่าคำร้องสอดของโจทก์ตั้งข้อพิพาทเป็นปฏิปักษ์กับทั้งจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์และจำเลยในคดีดังกล่าว มีผลให้คดีตามคำร้องสอดของโจทก์มีลักษณะเป็นคำฟ้องที่โจทก์เสนอข้อหาต่อศาลแล้ว แม้ศาลจังหวัดพัทยาจะจำหน่ายคดีชั่วคราวเพื่อรอฟังผลในคดีนี้ ก็ถือว่าคดีตามคำร้องสอดของโจทก์ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดพัทยา การที่โจทก์ยื่นคำฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีนี้ โดยมีสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในเรื่องเดียวกันกับคดีที่โจทก์ยื่นคำร้องสอดเข้าไปในคดีหมายเลขดำที่ 338/2560 ของศาลจังหวัดพัทยา ซึ่งมีลักษณะเป็นคำฟ้อง คำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือศาลอื่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ฟ้องซ้อนปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ปัญหาเรื่องฟ้องซ้อนหรือไม่? เป็นเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ผู้ร้องชอบที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหานี้ไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหานี้ก่อนได้ แม้ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องสอดเข้ามาในชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) แต่สิทธิที่ผู้ร้องอ้างว่าถูกโจทก์และจำเลยโต้แย้งนี้ ปรากฏว่าก่อนยื่นคำร้องสอดผู้ร้องได้ยื่นฟ้องโจทก์และจำเลยคดีนี้ต่อศาลชั้นต้น คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอย่างเดียวกันกับที่อ้างในคำร้องสอดว่า จำเลยเป็นตัวแทนของผู้ร้องกับพวกในการทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์ จึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกันว่า จำเลยเป็นตัวแทนของผู้ร้องกับพวกทำสัญญาเช่าหรือไม่ คำร้องสอดจึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6383/2550 คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมบ้านเลขที่ 176 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร และขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ หากจำเลยไม่ดำเนินการให้โจทก์เป็นผู้ทำการรื้อถอนโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 78,000 บาท แก่โจทก์ และค่าเสียหายเดือนละ 100,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ ระหว่างพิจารณาโจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจำเลยรับว่าเป็นผู้เช่าที่ดินของโจทก์ตามฟ้องและยินยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมบ้านเลขที่ 176 ดังกล่าวรวมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ภายในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2546 หากจำเลยผิดนัดยอมให้โจทก์เข้าทำการรื้อถอนได้ทันทีโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนให้โจทก์ 100,000 บาท และจำเลยยินยอมชำระค่าเสียหาย 60,000 บาท แก่โจทก์โดยแบ่งชำระเป็นงวด งวดละเดือน เดือนละ 20,000 บาท เริ่มชำระงวดแรกภายในวันที่ 12 มีนาคม 2546 หากผิดนัดยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีและค่าเสียหายวันละ 3,000 บาท จนกว่าโจทก์จะทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเสร็จสิ้น ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว ผู้ร้องยื่นคำร้องสอดอ้างว่า จำเลยเป็นตัวแทนของผู้ร้องกับพวกในการทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์ซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาเพื่อประกอบกิจการร้านอาหาร ผู้ร้องกับพวกได้ยื่นฟ้องโจทก์และจำเลยขอให้บังคับโจทก์และจำเลยไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงคู่สัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยผู้เช่าเป็นผู้ร้องกับพวกและให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องกับพวกมีกำหนด 5 ปี ตามคดีหมายเลขดำที่ 208/2546 ของศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยสมรู้ร่วมคิดกันฟ้องคดีนี้และทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อให้ศาลออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาทก่อนที่คดีหมายเลขดำที่ 208/2546 จะมีคำพิพากษาถึงที่สุด ผู้ร้องจึงมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เพื่อยังให้ได้รับความรับรองและคุ้มครองตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำร้องสอดของผู้ร้องแล้วเห็นว่า ผู้ร้องขอเข้ามาในคดีนี้โดยอ้างสิทธิว่าจำเลยเป็นตัวแทนของผู้ร้องในการทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์ ขอให้โจทก์จำเลยเปลี่ยนแปลงคู่สัญญาเช่าที่ดินพิพาท ถ้าศาลรับคำร้องสอดไว้โจทก์จำเลยก็ต้องให้การแก้คำร้องสอด คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นคำฟ้อง และผู้ร้องอยู่ในฐานะโจทก์ ทั้งสิทธิที่ผู้ร้องอ้างว่าถูกโจทก์จำเลยโต้แย้งนี้ ผู้ร้องได้ฟ้องโจทก์จำเลยแล้วคดีอยู่ระหว่างการพิจารณา คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) และผู้ร้องไม่เป็นคู่ความในคดีจึงไม่มีสิทธิร้องขอเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ ค่าคำร้องให้เป็นพับ ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า คำร้องสอดของผู้ร้องเป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 208/2546 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ โดยผู้ร้องฎีกาว่า ในชั้นอุทธรณ์ผู้ร้องได้ยกประเด็นปัญหานี้ขึ้นอุทธรณ์ด้วย แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้ นั้น เห็นว่า ปัญหาเรื่องฟ้องซ้อนหรือไม่เป็นเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ผู้ร้องชอบที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหานี้ก่อน และเห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องสอดอ้างว่า ผู้ร้องกับพวกแต่งตั้งจำเลยให้เป็นตัวแทนทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์ซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาเพื่อประกอบกิจการร้านอาหาร แต่จำเลยมีปัญหาขัดแย้งกับผู้ร้องและพวก ผู้ร้องกับพวกได้ยื่นฟ้องโจทก์และจำเลยเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 208/2546 ของศาลชั้นต้น ขอให้บังคับจำเลยทั้งสอง (โจทก์และจำเลยคดีนี้) ไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงคู่สัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 (จำเลยคดีนี้) ผู้เช่ากับจำเลยที่ 2 (โจทก์คดีนี้) ผู้ให้เช่าเป็นโจทก์ทั้งสี่ (ผู้ร้องกับพวก) ผู้เช่ากับจำเลยที่ 2 (โจทก์คดีนี้) ผู้ให้เช่า และให้จำเลยที่ 2 (โจทก์คดีนี้) ดำเนินการจดทะเบียนการเช่าที่ดินพิพาทมีกำหนด 5 ปี โจทก์และจำเลยจึงได้สมรู้ร่วมคิดกันฟ้องคดีนี้และทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานต่อสู้คดีหมายเลขดำที่ 208/2546 ของศาลชั้นต้น และนำหมายบังคับคดีไปบังคับให้ผู้ร้องกับพวกต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างร้านอาหารรวมทั้งขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาท ซึ่งจะเป็นผลเสียหายแก่ผู้ร้อง เพราะผู้ร้องมิได้เป็นบริวารของจำเลย ผู้ร้องจึงมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษา ดังนี้ เห็นได้ว่า แม้ผู้ร้องมีสิทธิที่จะร้องเข้ามาในชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) แต่สิทธิที่ผู้ร้องอ้างว่าถูกโจทก์และจำเลยโต้แย้งนี้ ปรากฏว่าก่อนยื่นคำร้องสอดผู้ร้องได้ยื่นฟ้องโจทก์และจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยทั้งสองในคดีหมายเลขดำที่ 208/2546 ของศาลชั้นต้น คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างพิจารณา โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอย่างเดียวกันกับที่อ้างในคำร้องสอดว่า จำเลยเป็นตัวแทนของผู้ร้องกับพวกในการทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์เพื่อปลูกสร้างอาคารประกอบกิจการร้านอาหารมีกำหนด 5 ปี เมื่อครบกำหนดสัญญาแล้วให้สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดตกเป็นของโจทก์ จึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกันว่าจำเลยเป็นตัวแทนผู้ร้องกับพวกทำสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาหรือไม่ คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ผู้ร้องสอดยื่นฟ้องใหม่เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามกฎหมาย |