ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ | ปัสสาวะสีม่วง | เสพเมทแอมเฟตามีน ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ ปัสสาวะสีม่วง เสพเมทแอมเฟตามีน จำเลยเสพเมทแอมเฟตามีน ตำรวจจับกุมจำเลย ผลการตรวจปัสสาวะเป็นสีมวง แต่คำฟ้องโจทก์มิได้ระบุถึงวันที่ หรือเวลาที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิด คำให้การจำเลยในชั้นสอบสวนอนุโลมได้ว่าเป็นส่วนประกอบของคำฟ้อง ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว คำพิพากษาฎีกาที่ 444/2550 แม้คำฟ้องของโจทก์ไม่ได้ระบุถึงวันที่หรือเวลาที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิด แต่ในตอนท้ายของคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายว่า พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอผัดฟ้องและฝากขังจำเลยไว้ต่อศาลนี้แล้ว โดยได้แนบคำให้การจำเลยในชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยได้ให้การว่า เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2547 เวลา 18 นาฬิกา จำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนที่บ้านของจำเลยจำนวน 1 เม็ด ตามคำร้องที่ ผ.28/2547 ซึ่งพออนุโลมได้ว่าเป็นส่วนประกอบของคำฟ้อง ตามคำร้องของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองจังหวัดอุดรธานีที่ขอผัดฟ้องและฝากขังจำเลยในขณะเป็นผู้ต้องหาได้ระบุว่า เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2547 เวลา 16.30 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจได้ตรวจพบผู้ต้องหาจึงนำตัวมาตรวจปัสสาวะ ผลการตรวจปัสสาวะของผู้ต้องหากับสารเคมีให้ผลเป็นสีม่วง ซึ่งจำเลยไม่ค้าน จำเลยย่อมจะเข้าใจได้ดีว่าวันที่หรือเวลาที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดคือเมื่อใดจึงให้การรับสารภาพ ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์สมบูรณ์ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันเวลาใดไม่ทราบแน่ชัด จำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ด้วยวิธีสูบเข้าสู่ร่างกายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1894/2545 ของศาลจังหวัดอุดรธานี ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 91, และนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1894/2545 ของศาลจังหวัดอุดรธานี จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้นับโทษต่อ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 57, 91 ลงโทษจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน ให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1894/2545 ของศาลจังหวัดอุดรธานี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์บรรยายฟ้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ คดีนี้โจทก์ยื่นคำฟ้องเป็นหนังสือโดยบรรยายฟ้องว่าเมื่อวันเวลาใดไม่ทราบแน่ชัด จำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ด้วยวิธีสูบเข้าสู่ร่างกาย โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ต่อมาวันที่ 26 มกราคม 2547 เวลากลางวันเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้นำส่งพนักงานสอบสวน เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) บัญญัติให้ฟ้องต้องมีการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ พอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี แม้คำฟ้องของโจทก์คดีนี้มิได้ระบุถึงวันที่ หรือเวลาที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิด แต่ในตอนท้ายของคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายว่า พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอผัดฟ้องและฝากขังจำเลยไว้ต่อศาลนี้แล้ว โดยได้แนบคำให้การจำเลยในชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยได้ให้การว่า เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2547 เวลา 18 นาฬิกา จำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนที่บ้านของจำเลยจำนวน 1 เม็ด ตามคำร้องที่ ผ.28/2547 ซึ่งพออนุโลมได้ว่าเป็นส่วนประกอบของคำฟ้องตามคำร้องของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองอุดรธานีที่ขอผัดฟ้องและฝากขังจำเลยในขณะเป็นผู้ต้องหาได้ระบุว่า เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2547 เวลา 16.30 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจพบผู้ต้องหาจึงได้นำตัวมาตรวจปัสสาวะ ผลการตรวจปัสสาวะของผู้ต้องหากับสารเคมีให้ผลเป็นสีม่วง ซึ่งจำเลยไม่ค้านจำเลยย่อมจะเข้าใจได้ดีว่าวันที่หรือเวลาที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดคือเมื่อใด จึงให้การรับสารภาพ ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์สมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่าเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์และพิพากษากลับให้ยกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 4 ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลย กรณีจึงเป็นการจำเป็นที่จะต้องให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ทำการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2) ประกอบด้วย มาตรา 225 พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี. มาตรา 158 ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือ และมี ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11230/2555 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบลบ้านด่านได้ยื่นบัญชีรายรับและรายจ่ายรวมทั้งหลักฐานที่เกี่ยวข้องเป็นเท็จ ไม่ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นการบรรยายฟ้องให้เห็นถึงการกระทำของจำเลยว่า จำเลยไม่ยื่นบัญชีรายรับและรายจ่ายในการเลือกตั้งซึ่งรับรองความถูกต้อง พร้อมทั้งหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนตามความจริงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดแล้ว แม้ตามคำฟ้องของโจทก์จะบรรยายว่า บัญชีรายรับและรายจ่าย รวมทั้งหลักฐานที่เกี่ยวข้องเป็นเท็จ ก็ไม่ทำให้คำฟ้องของโจทก์ไม่ชัดแจ้ง เพราะโจทก์บรรยายฟ้องต่อไปอีกว่า ไม่ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นการยืนยันว่าการยื่นบัญชีรายรับและรายจ่ายในการเลือกตั้งพร้อมหลักฐานที่เกี่ยวข้องของจำเลยไม่ตรงตามความจริงแล้วยังเป็นความเท็จอีกด้วย ส่วนจำเลยจะยื่นบัญชีรายรับและรายจ่ายพร้อมหลักฐานที่เกี่ยวข้องไม่ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริงอย่างไรก็เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ แสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ถือว่าโจทก์บรรยายฟ้องครบองค์ประกอบแห่งความผิดตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 55 วรรคหนึ่ง, 117 วรรคหนึ่ง แล้ว ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) |