

ความผิดฐานร่วมกันบุกรุกที่ดินราชพัสดุ ความผิดฐานร่วมกันบุกรุกที่ดินราชพัสดุ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและตามกฎหมายที่ดิน ความผิดฐานร่วมกันบุกรุกที่ดินราชพัสดุ บุกรุกที่ดินของรัฐ ความผิดฐานเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่นสร้าง บุกรุกที่ราชพัสดุเป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตามกฎหมายที่ดิน ศาลมีอำนาจสั่งในคำพิพากษาให้ผู้กระทำความผิด คนงาน ผู้รับจ้างและบริวารของผู้กระทำความผิดออกจากที่ดินนั้นได้อันมิใช่โทษตาม ป.อ. มาตรา 18 แต่เป็นมาตรการที่มุ่งประสงค์ให้รัฐสามารถเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินได้โดยไม่จำต้องฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีแพ่งอีกต่างหาก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 681/2550 การกระทำของจำเลยนอกจากจะเป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุกที่ดินราชพัสดุตาม ป.อ. มาตรา 365 (2) แล้ว ยังเป็นความผิดฐานเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่นสร้างและทำด้วยประการใดให้เป็นการทำลายหรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดินของรัฐ อันเป็นความผิดตาม ป.ที่ดิน มาตรา 9 (1) (2), 108 ทวิ วรรคหนึ่ง ด้วย ซึ่งตาม ป.ที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรคสี่ บัญญัติให้ศาลมีอำนาจสั่งในคำพิพากษาให้ผู้กระทำความผิด คนงาน ผู้รับจ้างและบริวารของผู้กระทำความผิดออกจากที่ดินนั้นได้ อันมิใช่โทษตาม ป.อ. มาตรา 18 แต่เป็นมาตรการที่มุ่งประสงค์ให้รัฐสามารถเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินได้โดยไม่จำต้องฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีแพ่งอีกต่างหาก ดังนั้น แม้ศาลจะลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 365 (2) ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตาม ป.อ. มาตรา 90 แต่เมื่อเป็นความผิดตาม ป.ที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรคหนึ่ง ด้วย ศาลก็มีอำนาจสั่งให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินของรัฐได้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง ทำด้วยประการใดให้เป็นการทำลายหรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดินราชพัสดุ ซึ่งอยู่ในความปกครองดูแลและใช้ประโยชน์ของกรมสวัสดิการทหารเรือกองทัพเรือ อันเป็นที่ดินของรัฐที่ใช้เพื่อประโยชน์ต่อแผ่นดินโดยเฉพาะ และจำเลยมิได้มีสิทธิครอบครอง โดยจำเลยกับพวกเข้าไปขุด ถาง ปรับสภาพพื้นดินเป็นเนื้อที่ 1 ไร่ 52 ตารางวา และปลูกสร้างบ้านพักอาศัย 1 หลัง พร้อมล้อมรั้วลวดหนามอันเป็นการเข้าไปรบกวนการครอบครองและถือเอาอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเป็นของตนโดยไม่มีเหตุอันสมควร และโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 362, 363, 365 ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและให้จำเลยกับบริวารออกไปจากที่ดินของรัฐด้วย จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365 (2) (3) ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสอง และวรรคสี่ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (2) (3) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี และปรับ 6,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี และปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและให้จำเลยกับบริวารออกไปจากที่ดินของรัฐด้วย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (2) ประกอบด้วยมาตรา 362, 83 ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (1) (2), 108 ทวิ วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (2) อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี และปรับ 6,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 3,000 บาท ข้อหาอื่นและคำขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและให้จำเลยกับบริวารออกไปจากที่ดินของรัฐนั้นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าศาลมีอำนาจสั่งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและให้จำเลยกับบริวารออกไปจากที่ดินของรัฐหรือไม่ เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท กล่าวคือ นอกจากจำเลยจะมีความผิดฐานร่วมกันบุกรุกที่ดินราชพัสดุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (2) แล้ว จำเลยยังมีความผิดฐานเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่นสร้างและทำด้วยประการใดให้เป็นการทำลายหรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดินของรัฐอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (1) (2), 108 ทวิ วรรคหนึ่ง ด้วย ซึ่งตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรคสี่ บัญญัติให้ศาลมีอำนาจสั่งในคำพิพากษาให้ผู้กระทำความผิด คนงาน ผู้รับจ้าง และบริวารของผู้กระทำความผิดออกจากที่ดินนั้นได้ ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมิใช่โทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 แต่เป็นมาตรการที่มุ่งประสงค์ให้รัฐอันเป็นเจ้าของที่ดินสามารถเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินได้โดยเร็วโดยไม่จำต้องฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีแพ่งอีกต่างหาก ดังนั้น แม้ศาลจะลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (2) ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่เมื่อการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรคหนึ่ง ด้วย ศาลก็ย่อมมีอำนาจสั่งให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินของรัฐได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยกคำขอของโจทก์ในส่วนนี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น” พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและให้จำเลยกับบริวารออกไปจากที่ดินของรัฐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 หมายเหตุคำพิพากษาฎีกา การเข้าไปขุด ถาง ปรับสภาพพื้นดิน และปลูกบ้านพักอาศัยพร้อมล้อมรั้วลวดหนามในที่ดินของบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ของตนเอง ตามแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาได้แยกวินิจฉัยไว้ชัดเจนว่าหากเป็นที่ดินของเอกชนหรือที่รัฐครอบครองทำประโยชน์อยู่เป็นความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. แต่ถ้าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินก็จะมีความผิดตาม ป.ที่ดินฯ มาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสอง กล่าวคือ จะผิดกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งเท่านั้น เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5616/2539 ความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา 362, 365 กฎหมายมุ่งประสงค์ลงโทษผู้บุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเท่านั้นไม่ใช่บทบัญญัติที่จะลงโทษผู้บุกรุกที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งมีบัญญัติไว้โดยเฉพาะตาม ป.ที่ดินฯ มาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสอง ในคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 362, 365 กับความผิดตาม ป.ที่ดินฯ มาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสอง เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงบทหนักตาม ป.อ. มาตรา 365 ศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาแก้ในส่วนนี้ เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาโดยที่ไม่มีคู่ความยกปัญหาดังกล่าวขึ้นมาให้ศาลฎีกาวินิจฉัย แต่ศาลฎีกาเห็นว่ามีอำนาจปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 แต่คำพิพากษาศาลฎีกาที่หมายเหตุนี้วินิจฉัยคดีแตกต่างจากแนวคำพิพากษาดังกล่าวข้างต้น กล่าวคือ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 365 (2) กับความผิดตาม ป.ที่ดินฯ มาตรา 9 (1) (2), 108 ทวิ วรรคหนึ่ง เป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท จึงต้องพิจารณาว่าคำพิพากษาศาลฎีกาแนวใดชอบด้วยหลักกฎหมาย ป.ที่ดินฯ มาตรา 9 บัญญัติว่า ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการเหมืองแร่และการป่าไม้ ที่ดินของรัฐนั้นถ้ามิได้มีสิทธิครอบครองหรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว ห้ามมิให้บุคคลใด จากบทบัญญัติดังกล่าวห้ามประชาชนทั่วไปเข้าไปยุ่งในที่ดินของรัฐ คงมีปัญหาว่าที่ดินของรัฐ หมายความว่าอย่างไร คงไม่ได้หมายความว่าหากมิใช่เป็นของเอกชนแล้วจะต้องเป็นที่ดินของรัฐไปหมด ซึ่งเคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้เป็นแนวแล้วว่าหากเป็นสถานที่ราชการซึ่งมีลักษณะการครอบครองเช่นเดียวกับที่ดินของเอกชน ผู้กระทำความผิดก็มีความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 306/2517 ส่วนที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินผู้กระทำความผิดก็มีความผิดตาม ป.ที่ดินฯ เช่น คำพิพากษาที่กล่าวมาข้างต้น คงมีข้อพิจารณาว่าที่ราชพัสดุเป็นที่ดินประเภทใด พ.ร.บ. ที่ราชพัสดุฯ มาตรา 4 บัญญัติว่า ที่ราชพัสดุ หมายความว่า อสังหาริมทรัพย์อันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินทุกชนิด เว้นแต่สาธารณสมบัติของแผ่นดินดังต่อไปนี้ ศิริชัย วัฒนโยธิน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 โทษสำหรับลงแต่ผู้กระทำความผิดมีดังนี้ ในกรณีผู้ซึ่งกระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี ได้กระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ให้ถือว่าระวางโทษดังกล่าวได้เปลี่ยนเป็นระวางโทษจำคุกห้าสิบปี มาตรา 362 ผู้ใดเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเพื่อถือการ ครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือเข้าไป กระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ ของเขาโดยปกติสุข ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับ ไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 363 ผู้ใดเพื่อถือเอาอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเป็นของตน หรือของบุคคลที่สาม ยักย้ายหรือทำลายเครื่องหมายเขตแห่ง อสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 364 ผู้ใดโดยไม่มีเหตุอันสมควรเข้าไป หรือซ่อนตัวอยู่ใน เคหสถาน อาคารเก็บรักษาทรัพย์หรือสำนักงานในความครอบครอง ของผู้อื่น หรือไม่ยอมออกไปจากสถานที่เช่นว่านั้น เมื่อผู้มีสิทธิที่จะ ห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ให้ออก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 365 ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 362 มาตรา 363 หรือ มาตรา 364 ได้กระทำ ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการเหมืองแร่และการป่าไม้ ที่ดินของรัฐนั้นถ้ามิได้มีสิทธิครอบครอง หรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว ห้ามมิให้บุคคลใด มาตรา 108 ทวิ นับตั้งแต่วันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 9 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าความผิดตามวรรคหนึ่งได้กระทำแก่ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน หรือที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าความผิดตามวรรคสองได้กระทำเป็นเนื้อที่เกินกว่าห้าสิบไร่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่มีคำพิพากษาว่าผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรานี้ศาลมีอำนาจสั่งในคำพิพากษาให้ผู้กระทำความผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของผู้กระทำความผิดออกไปจากที่ดินนั้นด้วย บรรดาเครื่องมือ เครื่องใช้ สัตว์พาหนะ ยานพาหนะ หรือเครื่องจักรกลใดๆ ซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำความผิด หรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดดังกล่าว ให้ริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ |