ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




(ฎีกาที่ 1346/2568) การแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวมัสยิด ก. และอำนาจคณะกรรมการอิสลาม

ฎีกา 1346/2568 ศาลฎีกาใช้มาตรา 73 ป.พ.พ. แต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวมัสยิด ก. แทนคณะกรรมการที่ว่างลง เพื่อป้องกันการเลิกมัสยิดและโอนทรัพย์สิน แต่งตั้งเฉพาะผู้ร้องที่มีคุณสมบัติครบ คือผู้ร้องที่ 1, 3, 4 และ 7 ให้จัดทำทะเบียนสัปปุรุษและเตรียมเลือกตั้งกรรมการใหม่

ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

 

บทนำ 

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวของมัสยิด ก. ภายใต้ พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 เมื่อคณะกรรมการมัสยิดว่างลงและไม่สามารถคัดเลือกกรรมการใหม่ได้ ศาลวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 73 ให้ศาลแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวเพื่อป้องกันความเสียหายแก่มัสยิด โดยพิจารณาคุณสมบัติของผู้ร้องตามกฎหมาย


ข้อเท็จจริงโดยสรุป

มัสยิด ก. ได้จดทะเบียนจัดตั้งและมีฐานะเป็นนิติบุคคลตาม พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540

คณะกรรมการมัสยิดหมดวาระและตำแหน่งอิหม่าม คอเต็บ และบิหลั่นว่างลง ทำให้ไม่สามารถคัดเลือกคณะกรรมการชุดใหม่ได้

ผู้ร้อง 8 คนเป็นมุสลิมที่ประกอบศาสนกิจในมัสยิด ก. ยื่นคำร้องขอให้ศาลแต่งตั้งตนเป็นผู้แทนชั่วคราวเพื่อจัดทำทะเบียนสัปปุรุษและคัดเลือกกรรมการ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกคำร้อง แต่ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่ามีเหตุสมควรตามมาตรา 73 ป.พ.พ. ให้แต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวบางส่วนที่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย


 คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

อำนาจการรับรองสัปปุรุษมัสยิดเป็นของคณะกรรมการมัสยิด ไม่ใช่คณะกรรมการจังหวัด (มาตรา 35 (5) และมาตรา 4 พ.ร.บ.ฯ)

คณะกรรมการจังหวัดมีอำนาจเพียงจัดทำทะเบียนกรณีที่ไม่มีคณะกรรมการมัสยิด (ข้อ 32 ระเบียบปี 2560)

เนื่องจากไม่มีคณะกรรมการมัสยิดและเสี่ยงต่อการเลิกมัสยิด อันจะกระทบทรัพย์สิน ศาลจึงใช้มาตรา 73 ป.พ.พ. แต่งตั้งผู้แทนชั่วคราว

อย่างไรก็ดี ผู้ร้องบางคนไม่มีคุณสมบัติ เช่น ไม่ใช่สัญชาติไทย หรือยังเป็นสัปปุรุษของมัสยิดอื่น จึงแต่งตั้งเพียงผู้ร้องที่ 1, 3, 4 และ 7


วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย

1. นิติบุคคลตามกฎหมายศาสนา – มัสยิดที่จดทะเบียนถือเป็นนิติบุคคล มีสิทธิหน้าที่และทรัพย์สินเป็นของตน

2. อำนาจคณะกรรมการมัสยิด – การรับมุสลิมเป็นสัปปุรุษต้องมาจากคณะกรรมการมัสยิด ไม่ใช่คณะกรรมการจังหวัด

3. ช่องว่างทางกฎหมาย – เมื่อคณะกรรมการว่างลงและไม่สามารถคัดเลือกใหม่ได้ กฎหมายทั่วไป (ป.พ.พ. มาตรา 73) เปิดทางให้ศาลแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราว

4. คุณสมบัติผู้แทน – ต้องเป็นมุสลิมสัญชาติไทยโดยการเกิด และไม่เป็นสัปปุรุษของมัสยิดอื่น


IRAC Analysis

Issue (ประเด็น):

ศาลมีอำนาจแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวของมัสยิด ก. ตามมาตรา 73 ป.พ.พ. ได้หรือไม่ เมื่อคณะกรรมการมัสยิดว่างลง

Rule (กฎเกณฑ์):

พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มาตรา 13, 30, 35 (5)

ป.พ.พ. มาตรา 73 ว่าด้วยการแต่งตั้งผู้แทนนิติบุคคลชั่วคราว

ระเบียบคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ข้อ 32

Application (การปรับใช้):

มัสยิด ก. ไม่มีคณะกรรมการและสัปปุรุษไม่เพียงพอ ส่งผลให้ไม่สามารถแต่งตั้งกรรมการใหม่

การปล่อยให้ว่างตำแหน่งอาจทำให้มัสยิดถูกเลิกและทรัพย์สินถูกโอน

ผู้ร้องมีส่วนได้เสียโดยตรงในฐานะผู้ปฏิบัติศาสนกิจ แต่ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน

ศาลจึงเลือกแต่งตั้งเฉพาะผู้ร้องที่มีคุณสมบัติถูกต้องตามกฎหมาย

Conclusion (ข้อสรุป):

ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้แต่งตั้งผู้ร้องที่ 1, 3, 4, และ 7 เป็นผู้แทนชั่วคราวของมัสยิด ก. เพื่อดำเนินการจัดทำทะเบียนสัปปุรุษและคัดเลือกคณะกรรมการใหม่ตามกฎหมาย


ข้อคิดทางกฎหมาย

คดีนี้สะท้อนความสำคัญของ การใช้กฎหมายทั่วไป (ป.พ.พ. มาตรา 73) เพื่อแก้ไขปัญหาช่องว่างของกฎหมายพิเศษ (พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม)

การแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวช่วยปกป้องทรัพย์สินและความต่อเนื่องของกิจการมัสยิด

ย้ำว่าผู้ที่จะเป็นกรรมการมัสยิดต้องมีคุณสมบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งสัญชาติไทยและการเป็นสัปปุรุษมัสยิด


English Summary 

The Supreme Court Decision No. 1346/2025 concerns the temporary appointment of representatives for Mosque K. when its committee positions became vacant and no new committee could be elected. The Court held that under Section 73 of the Civil and Commercial Code, the petitioners had standing to request court intervention to prevent harm to the mosque. However, only those meeting legal qualifications—Thai Muslim nationals and members of Mosque K.—were appointed.


ฎีกาที่ 1346/2568 ศาลฎีกาพิพากษาว่า เมื่อคณะกรรมการมัสยิด ก. ว่างลงและไม่สามารถคัดเลือกใหม่ได้ การปล่อยตำแหน่งว่างอาจทำให้มัสยิดถูกเลิกและโอนทรัพย์สิน จึงให้นำมาตรา 73 ป.พ.พ. มาใช้แต่งตั้งผู้แทนชั่วคราว โดยพิจารณาคุณสมบัติผู้ร้องที่ถูกต้อง ศาลจึงแต่งตั้งเพียงผู้ร้องที่ 1, 3, 4 และ 7 เป็นผู้แทนชั่วคราวเพื่อทำทะเบียนสัปปุรุษและจัดให้มีการเลือกตั้งกรรมการมัสยิดต่อไป

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1346/2568

ตาม พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มาตรา 13 บัญญัติให้มัสยิดที่ได้จดทะเบียนจัดตั้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วมีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยให้คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดเป็นผู้แทนของมัสยิด มาตรา 30 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้มีคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดประกอบด้วย (1) อิหม่ามเป็นประธานกรรมการ (2) คอเต็บเป็นรองประธานกรรมการ (3) บิหลั่นเป็นรองประธานกรรมการ และ (4) กรรมการอื่นตามจำนวนที่ที่ประชุมสัปปุรุษประจำมัสยิดนั้นกำหนดจำนวนไม่น้อยกว่าหกคนแต่ไม่เกินสิบสองคน และผู้ที่จะเป็นอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น และกรรมการอิสลามประจำมัสยิดจะต้องมีคุณสมบัติเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดนั้นมาแล้วไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันก่อนวันคัดเลือกตามมาตรา 31 (5) และ 32 (2) โดยให้สัปปุรุษประจำมัสยิดซึ่งมีอายุตั้งแต่สิบห้าปีบริบูรณ์ขึ้นไปประชุมกันคัดเลือกคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดตามมาตรา 30 วรรคสอง คำว่า "สัปปุรุษประจำมัสยิด" ตามคำนิยามในมาตรา 4 หมายความว่า มุสลิมที่คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดมีมติรับเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดและมีชื่ออยู่ในทะเบียนสัปปุรุษประจำมัสยิด แต่ผู้นั้นจะเป็นสัปปุรุษเกินกว่าหนึ่งมัสยิดในเวลาเดียวกันไม่ได้ และให้คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณามีมติรับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดตามมาตรา 35 (5) ดังนี้ อำนาจหน้าที่ในการพิจารณามีมติรับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. จึงเป็นของคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดเท่านั้นตามมาตรา 35 (5) ประกอบมาตรา 4 คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายหาได้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณามีมติรับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. ไม่


ส่วนระเบียบคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยว่าด้วยวิธีการดำเนินงานและควบคุมดูแลการบริหารงานของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด พ.ศ. 2560 ข้อ 32 เป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดให้มีอำนาจจัดทำทะเบียนสัปปุรุษในกรณีที่มัสยิดไม่มีคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด และไม่มีทะเบียนสัปปุรุษประจำมัสยิด หรือสูญหาย หรือมีเหตุขัดข้องในการจัดทำทะเบียนสัปปุรุษเพื่อประโยชน์ในการบริหารมัสยิดต่อไปเท่านั้น หาได้กำหนดให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณามีมติรับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ตำแหน่งอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น และกรรมการประจำมัสยิด ก. ว่างลง และประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายไม่สามารถดำเนินการคัดเลือกและแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. ได้ตาม พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มาตรา 30 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 33 และมาตรา 34 วรรคหนึ่ง เนื่องจากสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. ตามทะเบียนสัปปุรุษที่ทำไว้ครั้งแรกเหลืออยู่น้อย ไม่เพียงพอต่อการคัดเลือกคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. โดยปัจจุบันมัสยิด ก. ยังเปิดให้ประชาชนเข้าไปปฏิบัติศาสนกิจ และมีชาวมุสลิมที่ประสงค์จะขึ้นทะเบียนเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด ซึ่งหากมีการจดทะเบียนเลิกมัสยิดย่อมมีผลทำให้บรรดาทรัพย์สินของมัสยิด ก. ต้องถูกโอนไปยังมัสยิดที่เป็นนิติบุคคลที่ใกล้ที่สุดตาม พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มาตรา 14 วรรคสอง จึงเป็นกรณีที่ตำแหน่งผู้แทนของมัสยิด ก. ว่างลง และมีเหตุอันควรเชื่อว่าการปล่อยตำแหน่งว่างไว้น่าจะเกิดความเสียหายขึ้นได้แก่มัสยิด ก. ผู้ร้องทั้งแปดเป็นมุสลิมที่ปฏิบัติศาสนกิจอยู่ที่มัสยิด ก. จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียชอบที่จะร้องขอต่อศาลแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวของมัสยิด ก. ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 73


ผู้ร้องทั้งแปดยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งแต่งตั้งผู้ร้องทั้งแปดเป็นคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้แทนมัสยิด ก. ชั่วคราว โดยให้มีอำนาจกระทำการแทนมัสยิด ก. ในการแต่งตั้งสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. และทำทะเบียนสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. เพื่อให้สามารถดำเนินการคัดเลือกคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. ได้ และเพื่อให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายต่อไป

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งแปด ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

ผู้ร้องทั้งแปดอุทธรณ์


ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

ผู้ร้องทั้งแปดฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา


ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังยุติได้ว่า มัสยิด ก. มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2545 มีคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. ชุดแรก โดยมีผู้ดำรงตำแหน่งอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น และมีกรรมการ 10 คน มีสัปปุรุษประจำมัสยิด จำนวน 57 รายชื่อ ในปี 2549 ตำแหน่งกรรมการประจำมัสยิดว่างลงเนื่องจากดำรงตำแหน่งครบวาระ ต่อมาตำแหน่งอิหม่ามและบิหลั่นว่างลงเนื่องจากลาออก ตำแหน่งคอเต็บว่างลงเนื่องจากเสียชีวิต ทำให้ไม่มีคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้แทนของมัสยิดในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ตลอดจนการพิจารณารับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดเพิ่มได้ มัสยิด ก. ได้ยื่นหนังสือขอแต่งตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดไปยังคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงราย คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายได้ไปดำเนินการคัดเลือกคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. หลายครั้ง แต่ไม่สามารถแต่งตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. ได้ เนื่องจากสัปปุรุษประจำมัสยิด จำนวน 57 รายชื่อ ตามทะเบียนสัปปุรุษที่ทำไว้ในครั้งแรกนั้นเหลืออยู่น้อย เหตุเพราะบางรายเสียชีวิต บางรายย้ายถิ่นฐาน และมีสัปปุรุษมาแสดงตนเพื่อคัดเลือกกรรมการอิสลามประจำมัสยิดเพียง 2 คน คือ นายวสันต์ กับนายเกดิษฐ ทำให้มีจำนวนสัปปุรุษไม่เพียงพอต่อการคัดเลือกกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ซึ่งตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดต้องประกอบด้วย อิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น และกรรมการอื่นตามจำนวนที่ที่ประชุมสัปปุรุษประจำมัสยิดนั้นกำหนดจำนวนไม่น้อยกว่าหกคนแต่ไม่เกินสิบสองคน และผู้ที่จะเป็นอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น และกรรมการประจำมัสยิดได้จะต้องมีคุณสมบัติเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดนั้นมาแล้วไม่น้อยกว่า 90 วัน ก่อนวันคัดเลือก ซึ่งหมายความว่าการจะคัดเลือกและแต่งตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดได้จะต้องมีสัปปุรุษประจำมัสยิดนั้น 9 คน เป็นอย่างน้อย ผู้ร้องที่ 1 ได้จัดทำบัญชีรายชื่อสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. ที่เข้ามาทำละหมาดเป็นประจำทุกวันศุกร์และร่วมกิจกรรมของมัสยิดตั้งแต่ปี 2549 จำนวน 45 รายชื่อ ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายเพื่อรับรองการเป็นสัปปุรุษ แต่คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายเห็นว่าไม่สามารถใช้บัญชีรายชื่อสัปปุรุษ จำนวน 45 รายชื่อ ที่ผู้ร้องที่ 1 จัดทำขึ้นเองดังกล่าวมาใช้ในการคัดเลือกคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. ได้ ต้องใช้สัปปุรุษประจำมัสยิด จำนวน 57 รายชื่อ ตามทะเบียนสัปปุรุษที่ได้ทำไว้ในครั้งแรกเท่านั้น ผู้ร้องที่ 1 กับพวกได้ยื่นฟ้องสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายเป็นจำเลยที่ 1 นายราชัน ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายเป็นจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1402/2559 เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองดำเนินการคัดเลือกและแต่งตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. คดีดังกล่าวศาลได้ทำการไกล่เกลี่ย ต่อมาโจทก์ได้ถอนฟ้องไป ผู้ร้องที่ 1 ได้ร้องเรียนคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายไปยังคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยได้มีหนังสือแนะนำในการแก้ไขปัญหาของมัสยิด ก. มายังประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงราย ผู้ร้องที่ 1 ได้มีหนังสือร้องเรียนคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อมากรมการปกครองได้นำข้อร้องเรียนดังกล่าวเข้าหารือในคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกรมการปกครอง ที่ประชุมมีมติเห็นว่า หากผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับกิจการของมัสยิด ก. พิจารณาเห็นว่าการที่ไม่สามารถจัดตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 และระเบียบคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยว่าด้วยการคัดเลือกและแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำมัสยิด พ.ศ. 2559 ได้ ทำให้เกิดความเสียหายต่อมัสยิดและผู้ที่ประสงค์จะเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด ผู้นั้นสามารถใช้สิทธิตามบทบัญญัติมาตรา 73 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันเป็นอำนาจของศาลในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าสามารถแต่งตั้งผู้แทนนิติบุคคลเป็นการชั่วคราวในกรณีดังกล่าวได้หรือไม่ และผู้ร้องที่ 1 ได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน เกี่ยวกับเสรีภาพในการปฏิบัติตามหลักศาสนา กรณีกล่าวหาว่าคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายไม่ดำเนินการคัดเลือกสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีมติว่ากรณีตามคำร้องยังไม่พบการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่วนคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายก็ได้มีหนังสือถึงนายอำเภอพานเพื่อขอให้ดำเนินการยื่นคำขอให้เลิกมัสยิด ก. ต่อคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายและยื่นคำขอจดทะเบียนเลิกมัสยิดต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นายอำเภอพานได้มีหนังสือขอความเห็นในการเลิกมัสยิด ก. ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย


คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องทั้งแปดว่า ผู้ร้องทั้งแปดร้องขอให้แต่งตั้งผู้ร้องทั้งแปดเป็นผู้แทนมัสยิด ก. ชั่วคราวได้หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มาตรา 13 บัญญัติให้มัสยิดที่ได้จดทะเบียนจัดตั้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วมีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยให้คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดเป็นผู้แทนของมัสยิด มาตรา 30 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้มีคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดประกอบด้วย (1) อิหม่ามเป็นประธานกรรมการ (2) คอเต็บเป็นรองประธานกรรมการ (3) บิหลั่นเป็นรองประธานกรรมการ และ (4) กรรมการอื่นตามจำนวนที่ที่ประชุมสัปปุรุษประจำมัสยิดนั้นกำหนดจำนวนไม่น้อยกว่าหกคนแต่ไม่เกินสิบสองคน และผู้ที่จะเป็นอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น และกรรมการอิสลามประจำมัสยิดจะต้องมีคุณสมบัติเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดนั้นมาแล้วไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันก่อนวันคัดเลือกตามมาตรา 31 (5) และ 32 (2) โดยให้สัปปุรุษประจำมัสยิดซึ่งมีอายุตั้งแต่สิบห้าปีบริบูรณ์ขึ้นไปประชุมกันคัดเลือกคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดตามมาตรา 30 วรรคสอง คำว่า "สัปปุรุษประจำมัสยิด" ตามคำนิยามในมาตรา 4 หมายความว่า มุสลิมที่คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดมีมติรับเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด และมีชื่ออยู่ในทะเบียนสัปปุรุษประจำมัสยิด แต่ผู้นั้นจะเป็นสัปปุรุษเกินกว่าหนึ่งมัสยิดในเวลาเดียวกันไม่ได้ และให้คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณามีมติรับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดตามมาตรา 35 (5) ดังนี้ อำนาจหน้าที่ในการพิจารณามีมติรับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. จึงเป็นของคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดเท่านั้นตามมาตรา 35 (5) ประกอมมาตรา 4 คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายหาได้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณามีมติรับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. ไม่ ส่วนระเบียบคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยว่าด้วยวิธีการดำเนินงานและควบคุมดูแลการบริหารงานของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด พ.ศ. 2560 ข้อ 32 ที่กำหนดว่า "ในกรณีที่มัสยิดไม่มีคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดและไม่มีทะเบียนสัปปุรุษประจำมัสยิดหรือสูญหายหรือมีเหตุขัดข้องในการจัดทำทะเบียนสัปปุรุษ ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำจังหวัดจัดทำทะเบียนสัปปุรุษเพื่อประโยชน์ในการบริหารมัสยิดต่อไป" นั้น เป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดให้มีอำนาจจัดทำทะเบียนสัปปุรุษในกรณีที่มัสยิดไม่มีคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดและไม่มีทะเบียนสัปปุรุษประจำมัสยิดหรือสูญหายหรือมีเหตุขัดข้องในการจัดทำทะเบียนสัปปุรุษเพื่อประโยชน์ในการบริหารมัสยิดต่อไปเท่านั้น หาได้กำหนดให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณามีมติรับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดแต่อย่างใด ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำของคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาของมัสยิด ก. เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ตำแหน่งอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น และกรรมการประจำมัสยิด ก. ว่างลง และประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายไม่สามารถดำเนินการคัดเลือกและแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. ได้ตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มาตรา 30 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 33 และมาตรา 34 วรรคหนึ่ง เนื่องจากสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. จำนวน 57 รายชื่อ ตามทะเบียนสัปปุรุษที่ทำไว้ในครั้งแรกเหลืออยู่น้อย ไม่เพียงพอต่อการคัดเลือกคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. นับถึงวันที่ผู้ร้องทั้งแปดยื่นคำร้องขอเป็นคดีนี้เป็นเวลากว่า 15 ปี แล้ว และได้ความจากรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน และคำเบิกความของนายบุญเกิด ปลัดอำเภอพาน ว่าในพื้นที่อำเภอพานมีมัสยิดเพียงแห่งเดียวคือมัสยิด ก. และปัจจุบันยังเปิดให้ประชาชนเข้าไปใช้ปฏิบัติศาสนกิจโดยมีการทำละหมาดทุกวันศุกร์และทำกิจกรรมทางศาสนาอยู่เป็นประจำ และมีชาวมุสลิมที่ประสงค์จะขึ้นทะเบียนเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด ประกอบกับคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายได้มีหนังสือถึงนายอำเภอพานเพื่อขอให้ดำเนินการยื่นคำขอให้เลิกมัสยิด ก. ต่อคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายและยื่นคำขอจดทะเบียนเลิกมัสยิดต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งหากมีการจดทะเบียนเลิกมัสยิดย่อมมีผลทำให้บรรดาทรัพย์สินของมัสยิด ก. ต้องถูกโอนไปยังมัสยิดที่เป็นนิติบุคคลที่อยู่ใกล้ที่สุดตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มาตรา 14 วรรคสอง จึงเป็นกรณีที่ตำแหน่งผู้แทนของมัสยิด ก. ว่างลง และมีเหตุอันควรเชื่อว่าการปล่อยตำแหน่งว่างไว้น่าจะเกิดความเสียหายขึ้นได้แก่มัสยิด ก. ผู้ร้องทั้งแปดเป็นมุสลิมที่ปฏิบัติศาสนกิจโดยทำละหมาดเป็นประจำทุกวันศุกร์และทำกิจกรรมทางศาสนาอยู่ที่มัสยิด ก. จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้แต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวของมัสยิด ก. ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 73 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งแปดมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องทั้งแปดฟังขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะเป็นกรรมการอิสลามประจำมัสยิดต้องเป็นมุสลิมผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 31 (1) มาตรา 32 (1) ประกอบมาตรา 17 (1) และมาตรา 7 (1) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ได้ความตามทางไต่สวนว่า ผู้ร้องที่ 2 เป็นมุสลิมสัญชาติเมียนมา ผู้ร้องที่ 5 เป็นมุสลิมอาข่าโดยการเกิด ผู้ร้องที่ 6 เป็นมุสลิมสัญชาติปากีสถาน ส่วนผู้ร้องที่ 8 เป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดอื่นและยังไม่ได้ลาออกจากการเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดดังกล่าว ดังนี้ จึงเห็นควรแต่งตั้งเฉพาะผู้ร้องที่ 1 ผู้ร้องที่ 3 ผู้ร้องที่ 4 และผู้ร้องที่ 7 เป็นผู้แทนชั่วคราวของมัสยิด ก. เพื่อดำเนินการพิจารณารับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดและจัดทำสมุดทะเบียนสัปปุรุษประจำมัสยิด เพื่อให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายดำเนินการคัดเลือกและแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. ต่อไป

พิพากษากลับ ให้แต่งตั้งผู้ร้องที่ 1 ผู้ร้องที่ 3 ผู้ร้องที่ 4 และผู้ร้องที่ 7 เป็นผู้แทนชั่วคราวของมัสยิด ก. ให้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณารับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดและจัดทำสมุดทะเบียนสัปปุรุษประจำมัสยิด เพื่อให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายดำเนินการคัดเลือกและแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. ต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ


 

1.	นิติบุคคลตามกฎหมายศาสนา – มัสยิดที่จดทะเบียนถือเป็นนิติบุคคล มีสิทธิหน้าที่และทรัพย์สินเป็นของตน 2.	อำนาจคณะกรรมการมัสยิด – การรับมุสลิมเป็นสัปปุรุษต้องมาจากคณะกรรมการมัสยิด ไม่ใช่คณะกรรมการจังหวัด 3.	ช่องว่างทางกฎหมาย – เมื่อคณะกรรมการว่างลงและไม่สามารถคัดเลือกใหม่ได้ กฎหมายทั่วไป (ป.พ.พ. มาตรา 73) เปิดทางให้ศาลแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราว 4.	คุณสมบัติผู้แทน – ต้องเป็นมุสลิมสัญชาติไทยโดยการเกิด และไม่เป็นสัปปุรุษของมัสยิดอื่น

 

หลักกฎหมาย: การใช้อำนาจตามมาตรา 73 ป.พ.พ.

มาตรา 73 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า

“ถ้านิติบุคคลไม่มีผู้แทน หรือผู้แทนของนิติบุคคลไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ และมีเหตุอันควรเชื่อว่าการปล่อยไว้จะเกิดความเสียหาย ศาลมีอำนาจแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวให้แก่นิติบุคคลนั้นได้”

ความหมายสำคัญของบทบัญญัตินี้

คุ้มครองนิติบุคคล : มาตรา 73 ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้นิติบุคคลประสบความเสียหายจากการขาดผู้แทนทางกฎหมาย

ศาลเข้ามาอุดช่องว่าง : เมื่อกฎหมายเฉพาะ เช่น พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ไม่ได้กำหนดวิธีแก้ไขสถานการณ์กรณีกรรมการมัสยิดว่างลงทั้งหมด ศาลสามารถใช้อำนาจตามกฎหมายทั่วไป (มาตรา 73) เพื่อแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวได้

เงื่อนไขสำคัญ : ต้องมีเหตุอันควรเชื่อว่าหากไม่มีผู้แทน จะเกิดความเสียหาย เช่น การเสี่ยงต่อการเลิกมัสยิดและโอนทรัพย์สินไปยังมัสยิดอื่นตามมาตรา 14 วรรคสอง พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลามฯ

การประยุกต์ใช้ในคดีนี้ (ฎีกา 1346/2568)

1. มัสยิด ก. มีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่คณะกรรมการทั้งหมดว่างลง ไม่สามารถคัดเลือกใหม่ได้เพราะสัปปุรุษไม่พอ

2. หากปล่อยไว้ มัสยิดเสี่ยงถูกเลิก ส่งผลให้ทรัพย์สินถูกโอน ทำให้ชุมชนมุสลิมเสียหาย

3. ศาลฎีกาจึงนำ มาตรา 73 ป.พ.พ. มาใช้แต่งตั้งผู้แทนชั่วคราว เพื่อให้สามารถจัดทำทะเบียนสัปปุรุษและคัดเลือกคณะกรรมการใหม่ต่อไป

4. การแต่งตั้งจำกัดเฉพาะผู้ร้องที่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย เพื่อให้มัสยิดยังคงดำเนินงานได้โดยไม่กระทบความถูกต้องตามกฎหมาย

✅ ใจความสำคัญ : มาตรา 73 ป.พ.พ. ทำหน้าที่เป็น “กฎหมายทั่วไป” ที่ช่วยอุดช่องว่างของ “กฎหมายพิเศษ” เพื่อรักษาสภาพนิติบุคคลและป้องกันความเสียหายต่อมัสยิดและชุมชน


หลักกฎหมาย: การใช้อำนาจตามมาตรา 73 ป.พ.พ. มาตรา 73 ป.พ.พ. กำหนดว่า หากนิติบุคคลไม่มีผู้แทนหรือผู้แทนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ และมีเหตุอันควรเชื่อว่าการปล่อยไว้จะเกิดความเสียหาย ศาลมีอำนาจแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวได้ บทบัญญัตินี้มุ่งคุ้มครองนิติบุคคล ป้องกันความเสียหายจากการขาดผู้แทน อีกทั้งเป็นกลไกให้ศาลอุดช่องว่างเมื่อกฎหมายพิเศษ เช่น พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ไม่ได้กำหนดวิธีแก้ไขหากคณะกรรมการมัสยิดว่างลงทั้งหมด การใช้มาตรา 73 ต้องมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะเกิดความเสียหาย เช่น เสี่ยงเลิกมัสยิดและโอนทรัพย์สินไปมัสยิดอื่นตามมาตรา 14 วรรคสอง ในคดีฎีกา 1346/2568 มัสยิด ก. มีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่คณะกรรมการว่างลง ไม่สามารถคัดเลือกใหม่ได้เพราะสัปปุรุษไม่พอ หากปล่อยไว้เสี่ยงถูกเลิก ศาลฎีกาจึงนำมาตรา 73 มาใช้แต่งตั้งผู้แทนชั่วคราว เพื่อจัดทำทะเบียนสัปปุรุษและคัดเลือกกรรมการใหม่ โดยแต่งตั้งเฉพาะผู้ร้องที่มีคุณสมบัติถูกต้อง เพื่อรักษาสภาพนิติบุคคลและปกป้องชุมชนมุสลิม




คำพิพากษาฎีกาทั่วไป

สัญญาอนุญาโตตุลาการ vs ฟ้องศาลไทย(ฎีกา 2651/2568) article
หยุดการดำเนินการอนุญาโตตุลาการ & สิทธิยื่นคำร้องคุ้มครองชั่วคราว (ฎีกา 1335/2567)
หมิ่นประมาท ความหมาย โทษตามกฎหมาย และแนวคำวินิจฉัย
คดีโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, การใช้โลโก้แอลกอฮอล์ในป้ายโฆษณา
คดีโครงการรับจำนำข้าว – ไม่พบเจตนาทุจริต (ฎีกา 3555/2568)
สิทธิของเจ้าหนี้ตาม ป.พ.พ. ม.1300 (ฎีกา 674/2566)
บัตรกดเงินสดไม่ใช่ผ่อนงวด ใช้อายุความ 10 ปี (ป.พ.พ. 193/30)(ฎีกา 6568/2567)
การตีความกฎหมายอาญาเรื่องโทษจำคุก (ฎีกาที่ 4943/2567)
“ลักทรัพย์โดยลูกจ้าง”(มาตรา 335) แยกออกจาก “ยักยอก”(มาตรา 352) (ฎีกา 5658/2567)
ความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น, คดีอาญากับสิทธิในมรดก, ผู้จัดการมรดกใช้สิทธิทางแพ่ง(ฎีกา 842/2568)
ที่ดินงอก, สาธารณสมบัติ, ป.พ.พ. ม.1304, ม.1309, ที่ดินรกร้าง,(ฎีกา 6006-6007/2567)
บุกรุกพื้นที่ป่า – ศาลสั่งปรับ คุมประพฤติ & บริการสังคม(ฎีกาที่ 6009/2567)
ผู้รับจำนองสุจริตมีสิทธิได้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยจนชำระเสร็จ(ฎีกาที่ 6223/2567)
คดีภาษีธุรกิจเฉพาะ โอนที่ดินให้บุตร, การขายอสังหาริมทรัพย์, (ฎีกา 4182/2550)
(ฎีกาที่ 621/2568)วินัยข้าราชการ, บำเหน็จบำนาญ และสิทธิทายาท
(ฎีกา 1688/2568) มาตรการแทนคำพิพากษาเด็กและเยาวชน
(ฎีกา 847/2568)สิทธิสวมสิทธิ & พยานสำเนาสัญญา
(ฎีกาที่ 3589/2567): ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจ, การประปานครหลวง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4128/2567 การริบยานพาหนะในคดีบุหรี่หนีภาษีและการตีความมาตรา 165 พ.ร.บ.ศุลกากร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4252/2567 คัดค้านอนุญาโตตุลาการ สิทธิยื่นต่อศาลแม้กระบวนพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการสิ้นสุด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5669/2567: อำนาจฟ้องระหว่างหน่วยงานรัฐกับข้อยกเว้นการใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6020 - 6021/2567: การเพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการในสัญญาประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6427/2567 ความผิดศุลกากร การคำนวณโทษปรับตามมาตรา 27 ทวิ และความหมายของคำว่า "อากร"
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6542/2567 : คดีผู้บริโภคฟ้องบริษัทรับเหมาก่อสร้าง กรณีก่อสร้างบ้านไม่ได้มาตรฐานและไม่มีใบอนุญาต พร้อมการกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6848/2567 : คดีติดป้ายหาเสียงนอกพื้นที่ที่กำหนด ศาลชี้เป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ
ความผิดติดตั้งป้ายหาเสียงนอกพื้นที่ตามกฎหมายเลือกตั้ง และการวินิจฉัย “ต่างกรรมต่างวาระ”(ฎีกาที่ 6849/2567) article
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 851/2551: ข้อพิพาทการจัดการมรดกตามพินัยกรรมของอิสลามศาสนิกในจังหวัดสตูล
ศาลฎีกายืนคำสั่งริบรถยนต์ที่ใช้ลักลอบขนคนต่างด้าว: คำพิพากษาที่ 719/2568
สลากกินแบ่งรัฐบาล 48 ฉบับหายกลายเป็นคดียักยอกทรัพย์: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2568
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 811/2568: การใช้หมวกนิรภัยเพื่อปิดบังใบหน้าในการชิงทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2568 : สรุปวินิจฉัยความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ และสิทธิของผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2055/2568: ความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร
คดีทำร้ายร่างกายตามมาตรา 295 และหลักห้ามฎีกาประเด็นข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาตัดสินคืนแหวนทองคำหรือชดใช้ราคาแทน พร้อมดอกเบี้ย ในคดีลักทรัพย์นายจ้าง | คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2289/2568
ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 คืออะไร?, ข้อห้ามโอนสิทธิ ส.ป.ก., สิทธิการทำกินในที่ดิน ส.ป.ก., การใช้ที่ดินต่างดอกเบี้ยในเขต ส.ป.ก.
อำนาจนายกรัฐมนตรี คำสั่งน้ำมันเชื้อเพลิง, การส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ความผิดฐานทำคำรับรองอันเป็นเท็จในงานตรวจสอบมาตรฐานสินค้า
ผลของ พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ. 2550 ต่อคดีอาญา
กรรมการบริษัทไม่ต้องรับผิดส่วนตัว ในคดีสวนสัตว์ (ฎีกา 1235/2567)
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน-พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
จัดทำและส่งเป็นงบการเงินโดยมีเจตนาเพื่อลวง
ใบจอง (น.ส. 2)
โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ท้ายฟ้องแนบหนังสือมอบอำนาจผิดฉบับถือเป็นข้อบกพร่องเล็กน้อย
ความเสียหายไม่เกินวงเงินความคุ้มครองของสัญญาประกันภัย
การคืนเงินค่าหุ้นในภาวะขาดทุนตามคำสั่งของนายทะเบียนสหกรณ์
อำนาจฟ้องขณะยังไม่มีคำสั่งศาลให้เป็นคนไร้ความสามารถ
วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา
อำนาจพิจารณาคดีตามพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ.2559
การกระทำโดยสำคัญผิด
ผิดฐานพาบุคคลไปเพื่อการอนาจารเพื่อสนองความใคร่ของตนเอง
ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 คืออะไร-การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ความผิดฐานรับของโจรได้ต้องมีการลักทรัพย์เกิดขึ้นแล้ว
ภาษีให้กู้ยืมเงินไม่มีค่าตอบแทน
กฎหมายอันมีที่ประสงค์เพื่อจะปกป้องบุคคลอื่น ๆ
แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
สิทธิขั้นพื้นฐานในเชิงปรัชญา
ลูกหนี้ค้างจ่ายสรรพากรโอนสิทธิเรียกร้องให้โจทก์
บุตรผู้เยาว์ยังไร้เดียงสาย่อมไม่สามารถให้ความยินยอมได้
สำนักงานทนายความ รับปรึกษากฎหมาย
ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอก
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและคำนิยามศัพท์
อำนาจฟ้องคดี
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในกรณีที่มีข้อสงสัยให้ตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่คฝ่ายผู้ต้องเสียในมูลหนี้
ข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ
ห้ามมิให้อุทธรณ์การประเมินภาษี
โอนที่ดินเพื่อให้สมัครเข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์
โอนที่ดินตามคำพิพากษาเป็นการขายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
สิทธิหักลดหย่อนสำหรับบุตรซึ่งเกิดจากภริยาเดิม
รับเงินมาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายต้องคืนเงินในฐานลาภมิควรได้
คุ้มครองแรงงาน แรงงานสัมพันธ์
คดีพิพาทเกี่ยวกับการขอคืนค่าภาษีอากร
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องเป็นอันระงับ
ขาดคุณสมบัติรับราชการเรียกเงินเดือนคืนได้หรือไม่?
ความผิดที่รัฐเป็นผู้เสียหาย
ผู้แทนเฉพาะการของนิติบุคคลอาคารชุดมีประโยชน์ได้เสียขัดกัน
ทำหนังสือมอบอำนาจล่วงหน้า จำเลยนำไปทำจำนอง ฟ้องเพิกถอน
สนามกอล์ฟต้องเสียภาษีโรงเรือนหรือไม่?
สัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก
ใบมอบฉันทะที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องติดอากร
ภัยพิบัติที่อาจป้องกันได้ - เหตุสุดวิสัยเป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้
การซื้อรถยนต์ที่มีผู้ลักลอบนำเข้ามาโดยหลีกเลี่ยงอากรมีความผิดถูกจำคุก 4 ปี
คำสั่งขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมต้องมีพฤติการณ์พิเศษเท่านั้น
ความสำคัญผิดในตัวบุคคล กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิด article
ศาลต้องยกฟ้อง หรือจำหน่ายคดี
คดีแพ่งเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวและมรดกอิสลาม
สิทธิเรียกร้องคืออะไร การบังคับชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องที่ได้รับโอน
สิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรม
ขั้นตอนการดำเนินคดีแพ่ง
ระบอบการเมืองการปกครอง