
| (ฎีกาที่ 1346/2568) การแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวมัสยิด ก. และอำนาจคณะกรรมการอิสลาม
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวของมัสยิด ก. ภายใต้ พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 เมื่อคณะกรรมการมัสยิดว่างลงและไม่สามารถคัดเลือกกรรมการใหม่ได้ ศาลวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 73 ให้ศาลแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวเพื่อป้องกันความเสียหายแก่มัสยิด โดยพิจารณาคุณสมบัติของผู้ร้องตามกฎหมาย
ข้อเท็จจริงโดยสรุป • มัสยิด ก. ได้จดทะเบียนจัดตั้งและมีฐานะเป็นนิติบุคคลตาม พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 • คณะกรรมการมัสยิดหมดวาระและตำแหน่งอิหม่าม คอเต็บ และบิหลั่นว่างลง ทำให้ไม่สามารถคัดเลือกคณะกรรมการชุดใหม่ได้ • ผู้ร้อง 8 คนเป็นมุสลิมที่ประกอบศาสนกิจในมัสยิด ก. ยื่นคำร้องขอให้ศาลแต่งตั้งตนเป็นผู้แทนชั่วคราวเพื่อจัดทำทะเบียนสัปปุรุษและคัดเลือกกรรมการ • ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกคำร้อง แต่ผู้ร้องฎีกา • ศาลฎีกาเห็นว่ามีเหตุสมควรตามมาตรา 73 ป.พ.พ. ให้แต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวบางส่วนที่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า • อำนาจการรับรองสัปปุรุษมัสยิดเป็นของคณะกรรมการมัสยิด ไม่ใช่คณะกรรมการจังหวัด (มาตรา 35 (5) และมาตรา 4 พ.ร.บ.ฯ) • คณะกรรมการจังหวัดมีอำนาจเพียงจัดทำทะเบียนกรณีที่ไม่มีคณะกรรมการมัสยิด (ข้อ 32 ระเบียบปี 2560) • เนื่องจากไม่มีคณะกรรมการมัสยิดและเสี่ยงต่อการเลิกมัสยิด อันจะกระทบทรัพย์สิน ศาลจึงใช้มาตรา 73 ป.พ.พ. แต่งตั้งผู้แทนชั่วคราว • อย่างไรก็ดี ผู้ร้องบางคนไม่มีคุณสมบัติ เช่น ไม่ใช่สัญชาติไทย หรือยังเป็นสัปปุรุษของมัสยิดอื่น จึงแต่งตั้งเพียงผู้ร้องที่ 1, 3, 4 และ 7
วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. นิติบุคคลตามกฎหมายศาสนา – มัสยิดที่จดทะเบียนถือเป็นนิติบุคคล มีสิทธิหน้าที่และทรัพย์สินเป็นของตน 2. อำนาจคณะกรรมการมัสยิด – การรับมุสลิมเป็นสัปปุรุษต้องมาจากคณะกรรมการมัสยิด ไม่ใช่คณะกรรมการจังหวัด 3. ช่องว่างทางกฎหมาย – เมื่อคณะกรรมการว่างลงและไม่สามารถคัดเลือกใหม่ได้ กฎหมายทั่วไป (ป.พ.พ. มาตรา 73) เปิดทางให้ศาลแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราว 4. คุณสมบัติผู้แทน – ต้องเป็นมุสลิมสัญชาติไทยโดยการเกิด และไม่เป็นสัปปุรุษของมัสยิดอื่น
IRAC Analysis Issue (ประเด็น): ศาลมีอำนาจแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวของมัสยิด ก. ตามมาตรา 73 ป.พ.พ. ได้หรือไม่ เมื่อคณะกรรมการมัสยิดว่างลง Rule (กฎเกณฑ์): • พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มาตรา 13, 30, 35 (5) • ป.พ.พ. มาตรา 73 ว่าด้วยการแต่งตั้งผู้แทนนิติบุคคลชั่วคราว • ระเบียบคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ข้อ 32 Application (การปรับใช้): • มัสยิด ก. ไม่มีคณะกรรมการและสัปปุรุษไม่เพียงพอ ส่งผลให้ไม่สามารถแต่งตั้งกรรมการใหม่ • การปล่อยให้ว่างตำแหน่งอาจทำให้มัสยิดถูกเลิกและทรัพย์สินถูกโอน • ผู้ร้องมีส่วนได้เสียโดยตรงในฐานะผู้ปฏิบัติศาสนกิจ แต่ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน • ศาลจึงเลือกแต่งตั้งเฉพาะผู้ร้องที่มีคุณสมบัติถูกต้องตามกฎหมาย Conclusion (ข้อสรุป): ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้แต่งตั้งผู้ร้องที่ 1, 3, 4, และ 7 เป็นผู้แทนชั่วคราวของมัสยิด ก. เพื่อดำเนินการจัดทำทะเบียนสัปปุรุษและคัดเลือกคณะกรรมการใหม่ตามกฎหมาย
ข้อคิดทางกฎหมาย • คดีนี้สะท้อนความสำคัญของ การใช้กฎหมายทั่วไป (ป.พ.พ. มาตรา 73) เพื่อแก้ไขปัญหาช่องว่างของกฎหมายพิเศษ (พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม) • การแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวช่วยปกป้องทรัพย์สินและความต่อเนื่องของกิจการมัสยิด • ย้ำว่าผู้ที่จะเป็นกรรมการมัสยิดต้องมีคุณสมบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งสัญชาติไทยและการเป็นสัปปุรุษมัสยิด
English Summary The Supreme Court Decision No. 1346/2025 concerns the temporary appointment of representatives for Mosque K. when its committee positions became vacant and no new committee could be elected. The Court held that under Section 73 of the Civil and Commercial Code, the petitioners had standing to request court intervention to prevent harm to the mosque. However, only those meeting legal qualifications—Thai Muslim nationals and members of Mosque K.—were appointed.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1346/2568 ตาม พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มาตรา 13 บัญญัติให้มัสยิดที่ได้จดทะเบียนจัดตั้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วมีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยให้คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดเป็นผู้แทนของมัสยิด มาตรา 30 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้มีคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดประกอบด้วย (1) อิหม่ามเป็นประธานกรรมการ (2) คอเต็บเป็นรองประธานกรรมการ (3) บิหลั่นเป็นรองประธานกรรมการ และ (4) กรรมการอื่นตามจำนวนที่ที่ประชุมสัปปุรุษประจำมัสยิดนั้นกำหนดจำนวนไม่น้อยกว่าหกคนแต่ไม่เกินสิบสองคน และผู้ที่จะเป็นอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น และกรรมการอิสลามประจำมัสยิดจะต้องมีคุณสมบัติเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดนั้นมาแล้วไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันก่อนวันคัดเลือกตามมาตรา 31 (5) และ 32 (2) โดยให้สัปปุรุษประจำมัสยิดซึ่งมีอายุตั้งแต่สิบห้าปีบริบูรณ์ขึ้นไปประชุมกันคัดเลือกคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดตามมาตรา 30 วรรคสอง คำว่า "สัปปุรุษประจำมัสยิด" ตามคำนิยามในมาตรา 4 หมายความว่า มุสลิมที่คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดมีมติรับเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดและมีชื่ออยู่ในทะเบียนสัปปุรุษประจำมัสยิด แต่ผู้นั้นจะเป็นสัปปุรุษเกินกว่าหนึ่งมัสยิดในเวลาเดียวกันไม่ได้ และให้คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณามีมติรับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดตามมาตรา 35 (5) ดังนี้ อำนาจหน้าที่ในการพิจารณามีมติรับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. จึงเป็นของคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดเท่านั้นตามมาตรา 35 (5) ประกอบมาตรา 4 คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายหาได้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณามีมติรับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. ไม่
ส่วนระเบียบคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยว่าด้วยวิธีการดำเนินงานและควบคุมดูแลการบริหารงานของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด พ.ศ. 2560 ข้อ 32 เป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดให้มีอำนาจจัดทำทะเบียนสัปปุรุษในกรณีที่มัสยิดไม่มีคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด และไม่มีทะเบียนสัปปุรุษประจำมัสยิด หรือสูญหาย หรือมีเหตุขัดข้องในการจัดทำทะเบียนสัปปุรุษเพื่อประโยชน์ในการบริหารมัสยิดต่อไปเท่านั้น หาได้กำหนดให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณามีมติรับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ตำแหน่งอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น และกรรมการประจำมัสยิด ก. ว่างลง และประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายไม่สามารถดำเนินการคัดเลือกและแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. ได้ตาม พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มาตรา 30 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 33 และมาตรา 34 วรรคหนึ่ง เนื่องจากสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. ตามทะเบียนสัปปุรุษที่ทำไว้ครั้งแรกเหลืออยู่น้อย ไม่เพียงพอต่อการคัดเลือกคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. โดยปัจจุบันมัสยิด ก. ยังเปิดให้ประชาชนเข้าไปปฏิบัติศาสนกิจ และมีชาวมุสลิมที่ประสงค์จะขึ้นทะเบียนเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด ซึ่งหากมีการจดทะเบียนเลิกมัสยิดย่อมมีผลทำให้บรรดาทรัพย์สินของมัสยิด ก. ต้องถูกโอนไปยังมัสยิดที่เป็นนิติบุคคลที่ใกล้ที่สุดตาม พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มาตรา 14 วรรคสอง จึงเป็นกรณีที่ตำแหน่งผู้แทนของมัสยิด ก. ว่างลง และมีเหตุอันควรเชื่อว่าการปล่อยตำแหน่งว่างไว้น่าจะเกิดความเสียหายขึ้นได้แก่มัสยิด ก. ผู้ร้องทั้งแปดเป็นมุสลิมที่ปฏิบัติศาสนกิจอยู่ที่มัสยิด ก. จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียชอบที่จะร้องขอต่อศาลแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวของมัสยิด ก. ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 73
ผู้ร้องทั้งแปดยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งแต่งตั้งผู้ร้องทั้งแปดเป็นคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้แทนมัสยิด ก. ชั่วคราว โดยให้มีอำนาจกระทำการแทนมัสยิด ก. ในการแต่งตั้งสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. และทำทะเบียนสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. เพื่อให้สามารถดำเนินการคัดเลือกคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. ได้ และเพื่อให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายต่อไป ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งแปด ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ผู้ร้องทั้งแปดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ผู้ร้องทั้งแปดฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังยุติได้ว่า มัสยิด ก. มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2545 มีคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. ชุดแรก โดยมีผู้ดำรงตำแหน่งอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น และมีกรรมการ 10 คน มีสัปปุรุษประจำมัสยิด จำนวน 57 รายชื่อ ในปี 2549 ตำแหน่งกรรมการประจำมัสยิดว่างลงเนื่องจากดำรงตำแหน่งครบวาระ ต่อมาตำแหน่งอิหม่ามและบิหลั่นว่างลงเนื่องจากลาออก ตำแหน่งคอเต็บว่างลงเนื่องจากเสียชีวิต ทำให้ไม่มีคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้แทนของมัสยิดในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ตลอดจนการพิจารณารับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดเพิ่มได้ มัสยิด ก. ได้ยื่นหนังสือขอแต่งตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดไปยังคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงราย คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายได้ไปดำเนินการคัดเลือกคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. หลายครั้ง แต่ไม่สามารถแต่งตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. ได้ เนื่องจากสัปปุรุษประจำมัสยิด จำนวน 57 รายชื่อ ตามทะเบียนสัปปุรุษที่ทำไว้ในครั้งแรกนั้นเหลืออยู่น้อย เหตุเพราะบางรายเสียชีวิต บางรายย้ายถิ่นฐาน และมีสัปปุรุษมาแสดงตนเพื่อคัดเลือกกรรมการอิสลามประจำมัสยิดเพียง 2 คน คือ นายวสันต์ กับนายเกดิษฐ ทำให้มีจำนวนสัปปุรุษไม่เพียงพอต่อการคัดเลือกกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ซึ่งตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดต้องประกอบด้วย อิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น และกรรมการอื่นตามจำนวนที่ที่ประชุมสัปปุรุษประจำมัสยิดนั้นกำหนดจำนวนไม่น้อยกว่าหกคนแต่ไม่เกินสิบสองคน และผู้ที่จะเป็นอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น และกรรมการประจำมัสยิดได้จะต้องมีคุณสมบัติเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดนั้นมาแล้วไม่น้อยกว่า 90 วัน ก่อนวันคัดเลือก ซึ่งหมายความว่าการจะคัดเลือกและแต่งตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดได้จะต้องมีสัปปุรุษประจำมัสยิดนั้น 9 คน เป็นอย่างน้อย ผู้ร้องที่ 1 ได้จัดทำบัญชีรายชื่อสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. ที่เข้ามาทำละหมาดเป็นประจำทุกวันศุกร์และร่วมกิจกรรมของมัสยิดตั้งแต่ปี 2549 จำนวน 45 รายชื่อ ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายเพื่อรับรองการเป็นสัปปุรุษ แต่คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายเห็นว่าไม่สามารถใช้บัญชีรายชื่อสัปปุรุษ จำนวน 45 รายชื่อ ที่ผู้ร้องที่ 1 จัดทำขึ้นเองดังกล่าวมาใช้ในการคัดเลือกคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. ได้ ต้องใช้สัปปุรุษประจำมัสยิด จำนวน 57 รายชื่อ ตามทะเบียนสัปปุรุษที่ได้ทำไว้ในครั้งแรกเท่านั้น ผู้ร้องที่ 1 กับพวกได้ยื่นฟ้องสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายเป็นจำเลยที่ 1 นายราชัน ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายเป็นจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1402/2559 เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองดำเนินการคัดเลือกและแต่งตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. คดีดังกล่าวศาลได้ทำการไกล่เกลี่ย ต่อมาโจทก์ได้ถอนฟ้องไป ผู้ร้องที่ 1 ได้ร้องเรียนคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายไปยังคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยได้มีหนังสือแนะนำในการแก้ไขปัญหาของมัสยิด ก. มายังประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงราย ผู้ร้องที่ 1 ได้มีหนังสือร้องเรียนคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อมากรมการปกครองได้นำข้อร้องเรียนดังกล่าวเข้าหารือในคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกรมการปกครอง ที่ประชุมมีมติเห็นว่า หากผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับกิจการของมัสยิด ก. พิจารณาเห็นว่าการที่ไม่สามารถจัดตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 และระเบียบคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยว่าด้วยการคัดเลือกและแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำมัสยิด พ.ศ. 2559 ได้ ทำให้เกิดความเสียหายต่อมัสยิดและผู้ที่ประสงค์จะเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด ผู้นั้นสามารถใช้สิทธิตามบทบัญญัติมาตรา 73 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันเป็นอำนาจของศาลในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าสามารถแต่งตั้งผู้แทนนิติบุคคลเป็นการชั่วคราวในกรณีดังกล่าวได้หรือไม่ และผู้ร้องที่ 1 ได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน เกี่ยวกับเสรีภาพในการปฏิบัติตามหลักศาสนา กรณีกล่าวหาว่าคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายไม่ดำเนินการคัดเลือกสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีมติว่ากรณีตามคำร้องยังไม่พบการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่วนคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายก็ได้มีหนังสือถึงนายอำเภอพานเพื่อขอให้ดำเนินการยื่นคำขอให้เลิกมัสยิด ก. ต่อคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายและยื่นคำขอจดทะเบียนเลิกมัสยิดต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นายอำเภอพานได้มีหนังสือขอความเห็นในการเลิกมัสยิด ก. ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องทั้งแปดว่า ผู้ร้องทั้งแปดร้องขอให้แต่งตั้งผู้ร้องทั้งแปดเป็นผู้แทนมัสยิด ก. ชั่วคราวได้หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มาตรา 13 บัญญัติให้มัสยิดที่ได้จดทะเบียนจัดตั้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วมีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยให้คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดเป็นผู้แทนของมัสยิด มาตรา 30 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้มีคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดประกอบด้วย (1) อิหม่ามเป็นประธานกรรมการ (2) คอเต็บเป็นรองประธานกรรมการ (3) บิหลั่นเป็นรองประธานกรรมการ และ (4) กรรมการอื่นตามจำนวนที่ที่ประชุมสัปปุรุษประจำมัสยิดนั้นกำหนดจำนวนไม่น้อยกว่าหกคนแต่ไม่เกินสิบสองคน และผู้ที่จะเป็นอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น และกรรมการอิสลามประจำมัสยิดจะต้องมีคุณสมบัติเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดนั้นมาแล้วไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันก่อนวันคัดเลือกตามมาตรา 31 (5) และ 32 (2) โดยให้สัปปุรุษประจำมัสยิดซึ่งมีอายุตั้งแต่สิบห้าปีบริบูรณ์ขึ้นไปประชุมกันคัดเลือกคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดตามมาตรา 30 วรรคสอง คำว่า "สัปปุรุษประจำมัสยิด" ตามคำนิยามในมาตรา 4 หมายความว่า มุสลิมที่คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดมีมติรับเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด และมีชื่ออยู่ในทะเบียนสัปปุรุษประจำมัสยิด แต่ผู้นั้นจะเป็นสัปปุรุษเกินกว่าหนึ่งมัสยิดในเวลาเดียวกันไม่ได้ และให้คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณามีมติรับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดตามมาตรา 35 (5) ดังนี้ อำนาจหน้าที่ในการพิจารณามีมติรับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. จึงเป็นของคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดเท่านั้นตามมาตรา 35 (5) ประกอมมาตรา 4 คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายหาได้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณามีมติรับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. ไม่ ส่วนระเบียบคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยว่าด้วยวิธีการดำเนินงานและควบคุมดูแลการบริหารงานของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด พ.ศ. 2560 ข้อ 32 ที่กำหนดว่า "ในกรณีที่มัสยิดไม่มีคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดและไม่มีทะเบียนสัปปุรุษประจำมัสยิดหรือสูญหายหรือมีเหตุขัดข้องในการจัดทำทะเบียนสัปปุรุษ ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำจังหวัดจัดทำทะเบียนสัปปุรุษเพื่อประโยชน์ในการบริหารมัสยิดต่อไป" นั้น เป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดให้มีอำนาจจัดทำทะเบียนสัปปุรุษในกรณีที่มัสยิดไม่มีคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดและไม่มีทะเบียนสัปปุรุษประจำมัสยิดหรือสูญหายหรือมีเหตุขัดข้องในการจัดทำทะเบียนสัปปุรุษเพื่อประโยชน์ในการบริหารมัสยิดต่อไปเท่านั้น หาได้กำหนดให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณามีมติรับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดแต่อย่างใด ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำของคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาของมัสยิด ก. เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ตำแหน่งอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น และกรรมการประจำมัสยิด ก. ว่างลง และประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายไม่สามารถดำเนินการคัดเลือกและแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. ได้ตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มาตรา 30 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 33 และมาตรา 34 วรรคหนึ่ง เนื่องจากสัปปุรุษประจำมัสยิด ก. จำนวน 57 รายชื่อ ตามทะเบียนสัปปุรุษที่ทำไว้ในครั้งแรกเหลืออยู่น้อย ไม่เพียงพอต่อการคัดเลือกคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. นับถึงวันที่ผู้ร้องทั้งแปดยื่นคำร้องขอเป็นคดีนี้เป็นเวลากว่า 15 ปี แล้ว และได้ความจากรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน และคำเบิกความของนายบุญเกิด ปลัดอำเภอพาน ว่าในพื้นที่อำเภอพานมีมัสยิดเพียงแห่งเดียวคือมัสยิด ก. และปัจจุบันยังเปิดให้ประชาชนเข้าไปใช้ปฏิบัติศาสนกิจโดยมีการทำละหมาดทุกวันศุกร์และทำกิจกรรมทางศาสนาอยู่เป็นประจำ และมีชาวมุสลิมที่ประสงค์จะขึ้นทะเบียนเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด ประกอบกับคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายได้มีหนังสือถึงนายอำเภอพานเพื่อขอให้ดำเนินการยื่นคำขอให้เลิกมัสยิด ก. ต่อคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายและยื่นคำขอจดทะเบียนเลิกมัสยิดต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งหากมีการจดทะเบียนเลิกมัสยิดย่อมมีผลทำให้บรรดาทรัพย์สินของมัสยิด ก. ต้องถูกโอนไปยังมัสยิดที่เป็นนิติบุคคลที่อยู่ใกล้ที่สุดตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 มาตรา 14 วรรคสอง จึงเป็นกรณีที่ตำแหน่งผู้แทนของมัสยิด ก. ว่างลง และมีเหตุอันควรเชื่อว่าการปล่อยตำแหน่งว่างไว้น่าจะเกิดความเสียหายขึ้นได้แก่มัสยิด ก. ผู้ร้องทั้งแปดเป็นมุสลิมที่ปฏิบัติศาสนกิจโดยทำละหมาดเป็นประจำทุกวันศุกร์และทำกิจกรรมทางศาสนาอยู่ที่มัสยิด ก. จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้แต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวของมัสยิด ก. ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 73 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งแปดมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องทั้งแปดฟังขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะเป็นกรรมการอิสลามประจำมัสยิดต้องเป็นมุสลิมผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 31 (1) มาตรา 32 (1) ประกอบมาตรา 17 (1) และมาตรา 7 (1) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ได้ความตามทางไต่สวนว่า ผู้ร้องที่ 2 เป็นมุสลิมสัญชาติเมียนมา ผู้ร้องที่ 5 เป็นมุสลิมอาข่าโดยการเกิด ผู้ร้องที่ 6 เป็นมุสลิมสัญชาติปากีสถาน ส่วนผู้ร้องที่ 8 เป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดอื่นและยังไม่ได้ลาออกจากการเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดดังกล่าว ดังนี้ จึงเห็นควรแต่งตั้งเฉพาะผู้ร้องที่ 1 ผู้ร้องที่ 3 ผู้ร้องที่ 4 และผู้ร้องที่ 7 เป็นผู้แทนชั่วคราวของมัสยิด ก. เพื่อดำเนินการพิจารณารับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดและจัดทำสมุดทะเบียนสัปปุรุษประจำมัสยิด เพื่อให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายดำเนินการคัดเลือกและแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. ต่อไป พิพากษากลับ ให้แต่งตั้งผู้ร้องที่ 1 ผู้ร้องที่ 3 ผู้ร้องที่ 4 และผู้ร้องที่ 7 เป็นผู้แทนชั่วคราวของมัสยิด ก. ให้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณารับมุสลิมเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดและจัดทำสมุดทะเบียนสัปปุรุษประจำมัสยิด เพื่อให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงรายดำเนินการคัดเลือกและแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ก. ต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
หลักกฎหมาย: การใช้อำนาจตามมาตรา 73 ป.พ.พ. มาตรา 73 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า “ถ้านิติบุคคลไม่มีผู้แทน หรือผู้แทนของนิติบุคคลไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ และมีเหตุอันควรเชื่อว่าการปล่อยไว้จะเกิดความเสียหาย ศาลมีอำนาจแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวให้แก่นิติบุคคลนั้นได้” ความหมายสำคัญของบทบัญญัตินี้ • คุ้มครองนิติบุคคล : มาตรา 73 ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้นิติบุคคลประสบความเสียหายจากการขาดผู้แทนทางกฎหมาย • ศาลเข้ามาอุดช่องว่าง : เมื่อกฎหมายเฉพาะ เช่น พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ไม่ได้กำหนดวิธีแก้ไขสถานการณ์กรณีกรรมการมัสยิดว่างลงทั้งหมด ศาลสามารถใช้อำนาจตามกฎหมายทั่วไป (มาตรา 73) เพื่อแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวได้ • เงื่อนไขสำคัญ : ต้องมีเหตุอันควรเชื่อว่าหากไม่มีผู้แทน จะเกิดความเสียหาย เช่น การเสี่ยงต่อการเลิกมัสยิดและโอนทรัพย์สินไปยังมัสยิดอื่นตามมาตรา 14 วรรคสอง พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลามฯ การประยุกต์ใช้ในคดีนี้ (ฎีกา 1346/2568) 1. มัสยิด ก. มีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่คณะกรรมการทั้งหมดว่างลง ไม่สามารถคัดเลือกใหม่ได้เพราะสัปปุรุษไม่พอ 2. หากปล่อยไว้ มัสยิดเสี่ยงถูกเลิก ส่งผลให้ทรัพย์สินถูกโอน ทำให้ชุมชนมุสลิมเสียหาย 3. ศาลฎีกาจึงนำ มาตรา 73 ป.พ.พ. มาใช้แต่งตั้งผู้แทนชั่วคราว เพื่อให้สามารถจัดทำทะเบียนสัปปุรุษและคัดเลือกคณะกรรมการใหม่ต่อไป 4. การแต่งตั้งจำกัดเฉพาะผู้ร้องที่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย เพื่อให้มัสยิดยังคงดำเนินงานได้โดยไม่กระทบความถูกต้องตามกฎหมาย ✅ ใจความสำคัญ : มาตรา 73 ป.พ.พ. ทำหน้าที่เป็น “กฎหมายทั่วไป” ที่ช่วยอุดช่องว่างของ “กฎหมายพิเศษ” เพื่อรักษาสภาพนิติบุคคลและป้องกันความเสียหายต่อมัสยิดและชุมชน
|





.jpg)
.jpg)
.jpg)