
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6020 - 6021/2567: การเพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการในสัญญาประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในคดีประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักและความเสียหายสต๊อกสินค้า โดยศาลพบว่าคณะอนุญาโตตุลาการไม่ได้วินิจฉัยตามข้อสัญญาที่คู่พิพาทตกลงกัน ขัดต่อพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 34 และมาตรา 40 ทำให้ผู้เอาประกันภัยมีสิทธินำคดีมาขอให้ศาลเพิกถอนได้
สรุปข้อเท็จจริง •ผู้ร้องทำสัญญาประกันภัยโรงงานน้ำมันพืชของผู้คัดค้าน รวม 3 กรมธรรม์ ครอบคลุมความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน สต๊อกสินค้า และธุรกิจหยุดชะงัก •เกิดเหตุเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเสียหาย ทำให้โรงงานหยุดการผลิต และเกิดความเสียหายต่อสต๊อกสินค้าและรายได้ •ผู้ร้องชำระค่าเสียหายบางส่วน แต่ปฏิเสธความรับผิดในส่วนสต๊อกสินค้าและค่าเสียหายจากธุรกิจหยุดชะงัก •คู่พิพาทตกลงให้คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาด โดยอนุญาโตฯ สั่งให้ผู้ร้องชำระกว่า 113 ล้านบาท •ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลขอเพิกถอนคำชี้ขาด ขณะที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้บังคับตามคำชี้ขาด •ศาลชั้นต้นเพิกถอนบางส่วนและบังคับบางส่วน ทั้งคู่จึงอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 1.สิทธิในการยื่นเพิกถอนคำชี้ขาด oคณะอนุญาโตตุลาการไม่วินิจฉัยตามข้อสัญญาที่คู่พิพาทตกลงกันเกี่ยวกับวงเงินความรับผิด ทำให้คำชี้ขาดขัดต่อ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ มาตรา 34 วรรคสี่ และมาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) oผู้ร้องมีสิทธินำคดีมาขอเพิกถอนได้ 2.อำนาจของผู้แทนช่วงในชั้นอนุญาโตตุลาการ oแม้ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการไม่กำหนดเรื่องการมอบอำนาจไว้ชัดเจน แต่สามารถใช้บทบัญญัติใน ป.วิ.พ. มาตรา 47 โดยอนุโลม oเมื่อไม่มีการคัดค้านในชั้นพิจารณา ถือว่าการมอบอำนาจชอบแล้ว 3.การกำหนดค่าสินไหมทดแทน oคณะอนุญาโตตุลาการกำหนดค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวน โดยไม่พิจารณาข้อสัญญาที่กำหนดวงเงินความรับผิดเบื้องต้น oการกระทำดังกล่าวเป็นการขัดต่อข้อสัญญาและกฎหมาย จึงเพิกถอนได้
การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย •มาตรา 34 พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ กำหนดให้คำชี้ขาดต้องเป็นไปตามข้อสัญญา หากไม่เป็นไปตามนั้น ศาลสามารถเพิกถอนได้ •มาตรา 40 เปิดช่องให้เพิกถอนคำชี้ขาดที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน •ศาลฎีกาย้ำว่าศาลจะไม่เข้าไปตรวจสอบดุลพินิจของอนุญาโตฯ เว้นแต่กฎหมายให้อำนาจ •ประเด็นการมอบอำนาจในชั้นอนุญาโตฯ แม้กฎหมายเฉพาะไม่กำหนด แต่ใช้กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยอนุโลมได้
ข้อคิดทางกฎหมาย •อนุญาโตตุลาการต้องวินิจฉัยตามข้อตกลงในสัญญาอย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นคำชี้ขาดอาจถูกเพิกถอนได้ •การมอบอำนาจในคดีอนุญาโตฯ แม้กฎหมายเฉพาะไม่ระบุ สามารถอ้างอิงกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้ •คู่สัญญาควรระบุขอบเขตความรับผิดและเงื่อนไขการจ่ายสินไหมทดแทนให้ชัดเจน เพื่อป้องกันข้อพิพาท
IRAC Issue (ประเด็นปัญหา) •คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ไม่ได้วินิจฉัยตามข้อสัญญาสามารถเพิกถอนได้หรือไม่ •การมอบอำนาจให้ผู้แทนช่วงในชั้นอนุญาโตฯ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ Rule (กฎเกณฑ์กฎหมาย) •พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 34 วรรคสี่ และมาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) •ป.วิ.พ. มาตรา 47 ว่าด้วยการมอบอำนาจ Application (การปรับใช้กฎหมาย) •คณะอนุญาโตตุลาการไม่พิจารณาข้อสัญญาที่กำหนดวงเงินความรับผิด ทำให้คำชี้ขาดขัดต่อมาตรา 34 และ 40 •การมอบอำนาจชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่มีข้อคัดค้านในชั้นพิจารณาและสอดคล้องกับ ป.วิ.พ. มาตรา 47 Conclusion (ข้อสรุป) •ศาลฎีกาเพิกถอนคำชี้ขาดในส่วนค่าสินไหมทดแทนที่เกี่ยวกับธุรกิจหยุดชะงักและสต๊อกสินค้า แต่คงคำชี้ขาดในส่วนที่ชอบด้วยกฎหมาย
สรุปเป็นภาษาอังกฤษ This Supreme Court Judgment No. 6020 - 6021/2024 concerns the cancellation of an arbitral award in a business interruption insurance dispute. The Court ruled that the arbitral tribunal failed to decide in accordance with the contractual terms, violating Sections 34 and 40 of the Arbitration Act. The award was partially annulled, particularly regarding compensation for business interruption and stock damage, while other parts remained enforceable.
สรุปย่อฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องทำประกันภัยโรงงานน้ำมันพืช 3 กรมธรรม์ ครอบคลุมความเสียหายทรัพย์สิน สต๊อกสินค้า และธุรกิจหยุดชะงัก เกิดเหตุเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเสียหายจนโรงงานหยุดผลิต ผู้ร้องจ่ายค่าซ่อมเพียงบางส่วน แต่ปฏิเสธชำระค่าสต๊อกและธุรกิจหยุดชะงัก คู่พิพาทนำเรื่องเข้าสู่อนุญาโตตุลาการ ซึ่งชี้ขาดให้ผู้ร้องชำระกว่า 113 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลเห็นว่าคณะอนุญาโตตุลาการไม่วินิจฉัยตามข้อตกลงในสัญญาเกี่ยวกับวงเงินความรับผิด ขัดต่อ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ มาตรา 34 และ 40 ผู้ร้องจึงมีสิทธิเพิกถอนได้ ส่วนการมอบอำนาจให้ผู้แทนช่วงดำเนินคดีชอบด้วยกฎหมาย สุดท้ายศาลเพิกถอนคำชี้ขาดในส่วนค่าสินไหมทดแทนธุรกิจหยุดชะงักและสต๊อกสินค้า แต่คงส่วนอื่นตามศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6020 - 6021/2567 ไม่ปรากฏว่าคณะอนุญาโตตุลาการได้พิจารณาข้อสัญญานี้ ทั้งไม่ได้แสดงเหตุผลใด ๆ ให้ปรากฏในคำวินิจฉัย การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการจึงน่าจะไม่เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาประกันภัย ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการได้
เรื่องการมอบอำนาจไม่มีการกำหนดไว้โดยชัดแจ้งใน พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 จึงเห็นสมควรนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้โดยอนุโลม เมื่อคณะอนุญาโตตุลาการไม่ได้สงสัยในหนังสือตั้งผู้แทนช่วงเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณา ทั้งผู้คัดค้านก็ไม่ได้คัดค้านหนังสือตั้งผู้แทนช่วงดังกล่าวในชั้นพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ การตั้งผู้แทนช่วงจึงไม่ต้องดำเนินการแก้ไขใด ๆ อีก และถือว่าการดำเนินคดีในชั้นพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการเป็นอันชอบแล้ว
คณะอนุญาโตตุลาการกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า (1) ผู้ร้องในคดีนี้ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ให้แก่ผู้คัดค้านในคดีนี้หรือไม่ (2) ผู้คัดค้านในคดีนี้ได้รับความเสียหายเพียงใด และ (3) ผู้ร้องในคดีนี้จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้คัดค้านในคดีนี้เท่าไร ซึ่งในการพิจารณาประเด็นข้อพิพาท (2) นั้น คณะอนุญาโตตุลาการพิจารณาถึงความเสียหายที่ผู้คัดค้านได้รับ และเมื่อพิจารณาประเด็นข้อพิพาท (3) คณะอนุญาโตตุลาการก็กำหนดให้ผู้ร้องชำระค่าสินไหมทดแทนตามที่ได้ความในประเด็นข้อพิพาท (2) โดยไม่ได้กล่าวถึงข้อสัญญาที่ตกลงกันถึงจำนวนเงินที่ผู้คัดค้านจะต้องรับผิดชอบในเบื้องต้นเลย ดังจะเห็นได้จากการที่คณะอนุญาโตตุลาการกำหนดค่าสินไหมทดแทนเรื่องธุรกิจหยุดชะงักเต็มตามจำนวนที่ทำสัญญาประกันภัยต่อกันไว้ อันไม่เป็นการวินิจฉัยต่อข้อสัญญาที่คู่พิพาทตกลงกันไว้ จึงขัดต่อ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 34 วรรคสี่ โดยชัดแจ้ง ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการได้ และเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คัดค้านย่อมไม่อาจขอให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าว คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกผู้ร้องในสำนวนแรกซึ่งเป็นผู้คัดค้านในสำนวนหลังว่า ผู้ร้อง และเรียกผู้คัดค้านในสำนวนแรกซึ่งเป็นผู้ร้องในสำนวนหลังว่า ผู้คัดค้าน ผู้ร้องยื่นคำร้องในสำนวนแรกขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านและแก้ไขคำคัดค้านในสำนวนแรกขอให้ยกคำร้อง ผู้คัดค้านยื่นคำร้องในสำนวนหลังขอให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าว ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านในสำนวนหลังขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นคำพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ เฉพาะในส่วนข้อ 2 ค. ที่กำหนดให้ผู้ร้องชดใช้ค่าเสียหายตามกรมธรรม์ภัยธุรกิจหยุดชะงักเป็นเงิน 80,000,000 บาท แก่ผู้คัดค้าน และให้บังคับตามคำชี้ขาดข้อพิพาทข้อ 1 และข้อ 2 ที่กำหนดให้ผู้ร้องชดใช้ค่าเสียหาย ก. ความเสียหายสต๊อกผลปาล์มรอการผลิตเป็นเงิน 5,912,725 บาท และ ข. ความเสียหายของสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบเป็นเงิน 28,066,745 บาท รวมเป็นเงิน 33,979,470 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2563 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จตามที่กำหนดไว้ในคำชี้ขาดแก่ผู้คัดค้าน ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้คัดค้านโดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 60,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ ผู้ร้องและผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นตามที่คู่ความไม่โต้แย้งกันชั้นนี้ว่า ผู้ร้องรับประกันภัยโรงงานน้ำมันพืชของผู้คัดค้าน รวม 3 กรมธรรม์ เป็นการประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ฯลฯ ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินประเภทสต๊อกสินค้า และประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก ในวันเกิดเหตุเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในโรงงานน้ำมันพืชเกิดเสียงดังขึ้นแล้วมีเปลวไฟที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้านั้น เป็นเหตุให้โรงงานน้ำมันพืชของผู้คัดค้านไม่สามารถดำเนินกิจการได้ ผู้คัดค้านแจ้งให้ผู้ร้องทราบ ผู้ร้องส่งเจ้าหน้าที่จากบริษัท ค. ซึ่งเป็นตัวแทนสำรวจภัยมาตรวจสอบความเสียหาย ต่อมาผู้ร้องได้จ่ายเงินค่าซ่อมเครื่องกำเนิดไฟฟ้านั้นให้แก่ผู้คัดค้านเป็นเงิน 950,000 บาท แต่ผู้ร้องปฏิเสธไม่ชำระเงินค่าเสียหายเกี่ยวกับสต๊อกสินค้าผลปาล์มสดขาดทุนจำนวน 5,912,725 บาท และน้ำมันปาล์มดิบจำนวน 28,066,657.93 บาท นอกจากนี้ยังมีค่าเสียหายในกรณีที่ธุรกิจหยุดชะงักจำนวน 90,097,206.98 บาท ผู้ร้องและผู้คัดค้านจึงตกลงนำข้อพิพาทไปให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ภาค 9 (สงขลา) เพื่อวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการ ต่อมาคณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยชี้ขาดให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 113,979,383.43 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้คัดค้าน ค่าป่วยการอนุญาโตตุลาการและค่าใช้จ่ายอื่นในชั้นดำเนินกระบวนพิจารณาอนุญาโตตุลาการให้ผู้คัดค้านชำระหนึ่งส่วน และให้ผู้ร้องชำระสองส่วน ทั้งนี้ ให้ผู้ร้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดภายใน 30 วัน นับแต่วันรับสำเนาคำชี้ขาด ในการนี้ อนุญาโตตุลาการ 1 คน ทำความเห็นแย้งโดยเห็นด้วยกับผู้ร้อง เพราะ (1) กรมธรรม์เขียนยกเว้นไม่คุ้มครองความเสียหายจากการหยุดชะงักของธุรกิจ อันมีผลมาจากความเสียหายอันเกิดจากความชำรุดเสียหายหรือการขัดข้องของระบบกลไก หรือระบบไฟฟ้าของเครื่องจักรและอุปกรณ์ และ (2) สต๊อกสินค้าผลปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มที่ผลิตแล้ว ไม่สามารถนำมาพิจารณาเป็นค่าสินไหมทดแทนได้ เพราะสต๊อกที่เสียหายจากการหยุดการทำงาน การล่าช้า การสูญเสียตลาดหรือความต่อเนื่อง หรือความเสียหายโดยอ้อมไม่ว่าลักษณะใด ๆ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อแรกว่า ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 34 วรรคสี่ กำหนดว่า "การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการต้องเป็นไปตามข้อสัญญา และหากเป็นข้อพิพาททางการค้าให้คำนึงถึงธรรมเนียมปฏิบัติทางการค้าที่ใช้กับธุรกรรมนั้นด้วย" เมื่อพิจารณาตามเอกสารแสดงรายละเอียดการประกันภัย จะเห็นว่าข้อความต่าง ๆ ที่ระบุไว้จะใช้กับกรมธรรม์ประกันภัยด้วย และข้อ 2 ระบุว่า "ในกรณีที่เกิดความสูญเสียหรือเสียหายต่อทรัพย์สินที่เอาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบดังนี้ ..." แต่ไม่ปรากฏว่าคณะอนุญาโตตุลาการได้พิจารณาข้อสัญญานี้ ทั้งไม่ได้แสดงเหตุผลใด ๆ ให้ปรากฏในคำวินิจฉัยเลย การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการจึงน่าจะไม่เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาประกันภัย หากเป็นเช่นนี้จริง คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการย่อมไม่เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญา ซึ่งการยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดนั้นจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการได้ อนึ่ง อุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่กล่าวถึงการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยชี้ขาดเพิ่มเติมในประเด็นสำคัญนั้น ผู้คัดค้านก็รับอยู่ว่าไม่มีกฎหมายห้ามไว้ เพียงแต่กล่าวถึงข้อขัดข้องและไม่เป็นธรรมในการกระทำเช่นนั้น รวมถึงกรณีที่คณะอนุญาโตตุลาการไม่รับวินิจฉัยให้โดยอ้างว่า คำร้องดังกล่าวมีเหตุผลเดียวกับที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลและยกคำร้องก็ไม่มีกฎหมายกำหนดห้ามเรื่องนี้ไว้โดยชัดเจนเช่นกัน นอกจากนี้ พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 39 ก็ไม่ใช่บทกฎหมายให้คู่พิพาทเลือกดำเนินกระบวนพิจารณาแต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อต่อไปว่า นางสาวบุญญรัตน์ สามารถดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นอนุญาโตตุลาการได้หรือไม่ เห็นว่า แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 จะระบุเรื่องการมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ แต่กรณีนี้เป็นเรื่องการมอบอำนาจ ซึ่งไม่มีการกำหนดไว้โดยชัดแจ้งในพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 จึงเห็นสมควรนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้โดยอนุโลม เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 47 ระบุถึงเรื่องหนังสือมอบอำนาจ และวรรคสอง กำหนดว่า ถ้ามีเหตุอันควรสงสัยว่า ใบมอบอำนาจไม่ใช่ใบมอบอำนาจที่แท้จริง หรือเมื่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องแสดงเหตุอันควรสงสัย ก็สามารถสั่งให้คู่ความหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องนั้นยื่นใบมอบอำนาจได้ เมื่อคณะอนุญาโตตุลาการไม่ได้สงสัยในหนังสือตั้งผู้แทนช่วงเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณา ให้นางสาวบุญญรัตน์ดำเนินกระบวนพิจารณาไปจนจบคดี ทั้งผู้คัดค้านก็ไม่ได้คัดค้านหนังสือตั้งผู้แทนช่วงดังกล่าวในชั้นพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ การตั้งนางสาวบุญญรัตน์เป็นผู้แทนช่วงจึงไม่ต้องดำเนินการแก้ไขใด ๆ อีก และถือว่าการดำเนินคดีของนางสาวบุญญรัตน์ในชั้นพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการเป็นอันชอบแล้ว ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
คดีมีปัญหาเห็นควรวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องและผู้คัดค้านข้อต่อไปว่า คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนชอบด้วยกฎหมายแล้วหรือไม่ เห็นว่า โดยหลักการแล้ว ศาลจะแทรกแซงกระบวนการอนุญาโตตุลาการโดยเข้ามาตรวจสอบการใช้ดุลพินิจของคณะอนุญาโตตุลาการไม่ได้ เว้นแต่กฎหมายให้อำนาจไว้อย่างชัดแจ้ง สำหรับคดีนี้ คณะอนุญาโตตุลาการกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า (1) ผู้ร้องในคดีนี้ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ให้แก่ผู้คัดค้านในคดีนี้หรือไม่ (2) ผู้คัดค้านในคดีนี้ได้รับความเสียหายเพียงใด และ (3) ผู้ร้องในคดีนี้จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้คัดค้านในคดีนี้เท่าไร ซึ่งในการพิจารณาประเด็นข้อพิพาท (2) นั้น คณะอนุญาโตตุลาการพิจารณาถึงความเสียหายที่ผู้คัดค้านได้รับ และเมื่อพิจารณาประเด็นข้อพิพาท (3) คณะอนุญาโตตุลาการก็กำหนดให้ผู้ร้องชำระค่าสินไหมทดแทนตามที่ได้ความในประเด็นข้อพิพาท (2) โดยไม่ได้กล่าวถึงข้อสัญญาที่ตกลงกันถึงจำนวนเงินที่ผู้คัดค้านจะต้องรับผิดชอบในเบื้องต้นเลย ดังจะเห็นได้จากการที่คณะอนุญาโตตุลาการกำหนดค่าสินไหมทดแทนเรื่องธุรกิจหยุดชะงักเต็มตามจำนวนที่ทำสัญญาประกันภัยต่อกันไว้ อันไม่เป็นการวินิจฉัยต่อข้อสัญญาที่คู่พิพาทตกลงกันไว้ จึงขัดต่อพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 34 วรรคสี่ โดยชัดแจ้ง เมื่อคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการไม่ได้เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาประกันภัย การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดนั้นย่อมเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 40 วรรคสาม (2) (ข) ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการได้ และเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คัดค้านย่อมไม่อาจขอให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยบางส่วนและเห็นพ้องด้วยในผลบางส่วน อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น แต่อุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องและผู้คัดค้านข้ออื่น ๆ อีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ในข้อ 2 ก. และข้อ ข. ด้วย ยกคำร้องของผู้คัดค้าน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น |