
| หยุดการดำเนินการอนุญาโตตุลาการ & สิทธิยื่นคำร้องคุ้มครองชั่วคราว (ฎีกา 1335/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิทธิของคู่พิพาทในกระบวนการอนุญาโตตุลาการ ภายใต้ พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 (พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ 2545) โดยวินิจฉัยว่า เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงซึ่งอาจก่อให้เกิดเหตุอันควรสงสัยถึงความเป็นกลางหรือความเป็นอิสระของอนุญาโตตุลาการตามมาตรา 19 วรรค 3 คู่พิพาทซึ่งประสงค์จะคัดค้านอนุญาโตตุลาการนั้นมีสิทธิเข้ายื่นคำร้องตามกระบวนการที่กำหนดไว้ (มาตรา 20 วรรค 2) ทั้งนี้ ศาลสามารถออกคำสั่งให้หยุดการดำเนินการของคณะอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำสั่งในคดีได้ตามหลักกฎหมายที่วางไว้ ข้อเท็จจริง • คู่พิพาท (ผู้ร้องทั้งสอง) เสนอข้อพิพาทต่อ สำนักงานสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม ให้มีคำชี้ขาดในข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 81/2564 ตามสัญญาอนุญาโตตุลาการ • ผู้ร้องทั้งสองแต่งตั้งนายวิคเตอร์ เป็นอนุญาโตตุลาการ ส่วนผู้คัดค้านแต่งตั้งนายศักดา และทั้งสองเลือกนายวิชัยเป็นประธาน • ผู้ร้องทั้งสองยื่นหนังสือคัดค้านการแต่งตั้งนายศักดาเป็นอนุญาโตตุลาการ ต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการตามมาตรา 19 และ 20 วรรค หนึ่ง • สถาบันอนุญาโตตุลาการแต่งตั้งนายธวัชชัยเป็นผู้วินิจฉัยคำคัดค้าน ตามข้อบังคับสถาบันอนุญาโตตุลาการ ข้อ 23 • ผู้วินิจฉัยพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่มีสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดเหตุอันควรสงสัยเกี่ยวกับความเป็นอิสระหรือความเป็นกลางของอนุญาโตตุลาการ และไม่มีเหตุให้เพิกถอน จึงมีคำวินิจฉัยยกคำคัดค้าน • ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องคัดค้านและแก้ไขคำร้องคัดค้านคำวินิจฉัยของผู้วินิจฉัยต่อศาลชั้นต้น ตามมาตรา 20 วรรค 2 • ระหว่างการพิจารณา ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง หยุดการพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราว โดยอ้างเหตุว่า หากคณะอนุญาโตตุลาการดำเนินกระบวนพิจารณาจนมีคำชี้ขาดแล้ว แม้จะมีการเพิกถอนอนุญาโตตุลาการตามมาตรา 40 ก็ไม่อาจลบล้างผลคำชี้ขาดได้ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อผู้ร้องทั้งสอง • ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งให้คณะอนุญาโตตุลาการหยุดดำเนินการไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำสั่งในคดีนี้ • ผู้คัดค้านอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นขึ้นไปยังศาลอุทธรณ์ และศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลฎีกาตามมาตรา 45 วรรค 2 ประเด็นสำคัญที่สุดของ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1335/2567 อยู่ที่การตีความและการใช้บังคับ พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 โดยเฉพาะ มาตรา 19 วรรคสาม, มาตรา 20 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, และมาตรา 16 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นแก่นหลักของคดีนี้ 🧭 1. มาตรา 19 วรรคสาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 “อนุญาโตตุลาการอาจถูกคัดค้านได้ หากปรากฏข้อเท็จจริงซึ่งเป็นเหตุอันควรสงสัยถึงความเป็นกลาง หรือความเป็นอิสระ...” ประเด็นสำคัญ: เป็นบทบัญญัติที่เปิดโอกาสให้คู่พิพาท คัดค้านอนุญาโตตุลาการ ได้เมื่อเห็นว่าบุคคลนั้นอาจไม่เป็นกลางหรือขาดคุณสมบัติตามที่ตกลงไว้ ศาลฎีกาในคดีนี้ใช้บทนี้เพื่อยืนยันว่า ผู้ร้องมีสิทธิใช้ช่องทางตามกฎหมายในการปกป้องสิทธิของตน ⚖️ 2. มาตรา 20 วรรคสอง พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 “หากการคัดค้านไม่บรรลุผล ... คู่พิพาทฝ่ายที่คัดค้านอาจยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลที่มีเขตอำนาจได้...” ประเด็นสำคัญ: เป็นฐานกฎหมายที่ศาลฎีกาอ้างในการรับรองสิทธิของคู่พิพาทในการ ยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาล เมื่อการคัดค้านในขั้นตอนของสถาบันอนุญาโตตุลาการไม่เป็นผล และยังให้อำนาจศาล ออกคำสั่งให้หยุดการดำเนินการอนุญาโตตุลาการได้ หากเห็นสมควร 🛑 3. มาตรา 16 วรรคหนึ่ง พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 “คู่สัญญาอาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งชั่วคราวในระหว่างการดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการได้...” ประเด็นสำคัญ: เป็นมาตราหลักที่ศาลฎีกาใช้รองรับว่า ผู้ร้องมีสิทธิเสนอ คำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว เพื่อให้ศาลมีคำสั่ง “หยุดการดำเนินการของคณะอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราว” จนกว่าจะมีคำสั่งในคดีหลัก ซึ่งแตกต่างจากการขอคุ้มครองชั่วคราวตาม ป.วิ.พ. ⚙️ 4. หลัก “ความเป็นอิสระและความเป็นกลางของอนุญาโตตุลาการ” ประเด็นสำคัญ: เป็นแก่นของคดีนี้ ศาลฎีกาย้ำว่า คุณสมบัติของอนุญาโตตุลาการต้องปราศจากอคติและเป็นอิสระจากคู่พิพาททั้งสองฝ่าย เพื่อให้กระบวนการอนุญาโตตุลาการได้รับการยอมรับในความยุติธรรม การออกคำสั่งหยุดการดำเนินการจึงเป็นมาตรการเพื่อรักษาหลักการนี้ ⚖️ 5. หลัก “ศาลมีอำนาจออกคำสั่งเป็นอย่างอื่น” ตามมาตรา 20 วรรค สอง ประเด็นสำคัญ: แม้อนุญาโตตุลาการจะสามารถดำเนินการต่อไปได้จนมีคำชี้ขาด แต่กฎหมายให้อำนาจศาล “มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น” ได้ ซึ่งศาลฎีกาตีความว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจตามกฎหมายที่จะสั่ง หยุดการดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราว เพื่อให้ตรวจสอบความเป็นกลางก่อนดำเนินการต่อ 🔑 สรุป 5 Keywords หลักของคดีนี้ 1. สิทธิยื่นคำร้องคัดค้านอนุญาโตตุลาการ (มาตรา 19) 2. สิทธิยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อหยุดการดำเนินการ (มาตรา 20 วรรค 2) 3. คำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว (มาตรา 16 วรรค 1) 4. ความเป็นกลางและอิสระของอนุญาโตตุลาการ 5. อำนาจศาลในการออกคำสั่งชั่วคราวเพื่อคุ้มครองสิทธิของคู่พิพาท กล่าวโดยสรุป “หัวใจของคดีนี้” อยู่ที่การยืนยันสิทธิของคู่พิพาทในการคัดค้านอนุญาโตตุลาการที่อาจไม่เป็นกลาง และการใช้อำนาจศาลเพื่อให้กระบวนการอนุญาโตตุลาการเป็นไปโดยชอบ เป็นธรรม และมีความเชื่อมั่นในความยุติธรรมตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 คำวินิจฉัยของศาลฎีกา • ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาหลักมี 2 ประเด็น คือ 1. ผู้ร้องทั้งสองมีสิทธิยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในคดีนี้หรือไม่ 2. คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้คณะอนุญาโตตุลาการหยุดดำเนินการไว้ชั่วคราวนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ • สำหรับประเด็นแรก: ศาลวิเคราะห์ว่า ตามมาตรา 19 วรรค 3 พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ 2545 อนุญาโตตุลาการอาจถูกคัดค้านได้ หากปรากฏข้อเท็จจริงซึ่งเป็นเหตุอันควรสงสัยถึงความเป็นกลางหรือความเป็นอิสระ หรือการขาดคุณสมบัติตามที่คู่พิพาทตกลงกัน โดยคู่พิพาทฝ่ายที่ประสงค์จะคัดค้านต้องใช้กระบวนการที่ได้ตกลงไว้ หรือ ตามมาตรา 20 วรรค 1 และหากไม่บรรลุผลหรือมีอนุญาโตตุลาการเพียงคนเดียว คู่พิพาทอาจยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลที่มีเขตอำนาจตามมาตรา 20 วรรค 2 • ศาลเห็นว่า แม้ผู้ร้องทั้งสองจะยื่นคำร้องคัดค้านคำวินิจฉัยของผู้วินิจฉัยแล้ว แต่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น อนุญาโตตุลาการ (นายศักดา) ก็อาจดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการต่อไปได้ หากศาลไม่มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ตามบทบัญญัติข้างต้น • ดังนั้น การที่ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งหยุดการพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราว แม้จะอ้างว่าเป็น “คำร้องขอให้มีคำสั่งหยุดโดยด่วน” แต่เนื้อหาในคำร้องนั้นเป็นการขอให้ศาลออกคำสั่งตามมาตรา 20 วรรค 2 รวมถึงมีลักษณะเป็นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตนขณะดำเนินการตามมาตรา 16 วรรค 1 ซึ่งเป็นสิทธิที่คู่สัญญาที่ทำสัญญาอนุญาโตตุลาการไว้อาจยื่นคำร้องต่อศาลตามกฎหมาย ไม่ใช่การขอคุ้มครองชั่วคราวตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งอย่างที่ผู้คัดค้านอ้าง • จึงสรุปได้ว่า ผู้ร้องทั้งสอง มีสิทธิ ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในคดีนี้ตามบทกฎหมายดังกล่าว • สำหรับประเด็นที่สอง: ศาลวิเคราะห์ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นให้คณะอนุญาโตตุลาการหยุดดำเนินการไว้ชั่วคราวนั้นเป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 20 วรรค 2 ซึ่งให้อำนาจแก่ศาลชั้นต้นออกคำสั่งได้ และการดำเนินการของคณะอนุญาโตตุลาการยังอยู่ในขั้นตอนการรับพยานหลักฐาน (การกำหนดวันเวลาไต่สวน) ตามรายงานของศาลชั้นต้น ทำให้คำสั่งนั้นมิใช่เป็นการพิพากษาให้ผู้ร้องเป็นฝ่ายชนะ แต่เป็นการใช้ดุลยพินิจของศาลชั้นต้นเพื่อให้ได้ทราบความชัดเจนเกี่ยวกับความเป็นกลางและความเป็นอิสระของอนุญาโตตุลาการซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของกระบวนการอนุญาโตตุลาการ • ศาลฎีกาจึงเห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมาย และอุทธรณ์ของผู้คัดค้านทั้งสองประเด็นฟังไม่ขึ้น • ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย (1) สิทธิยื่นคำร้องคัดค้านอนุญาโตตุลาการและสิทธิยื่นคำร้องคุ้มครองชั่วคราว • ตามมาตรา 19 วรรค 3 พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ 2545 ผู้ใดอาจคัดค้านอนุญาโตตุลาการได้ เมื่อปรากฏเหตุอันควรสงสัยถึงความเป็นอิสระหรือความเป็นกลาง หรือการขาดคุณสมบัติตามที่คู่พิพาทตกลงกันไว้ • ตามมาตรา 20 วรรค 1 คู่พิพาทที่ประสงค์จะคัดค้านนั้น ต้องดำเนินการตามวิธีที่ตกลงกันไว้ หรือหากไม่ได้ตกลง เป็นอย่างอื่น ให้ใช้วิธีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 20 วรรค 1 • ตามมาตรา 20 วรรค 2 หากการคัดค้านตามวิธีดังกล่าวไม่บรรลุผล หรือในกรณีที่มีผู้อนุญาโตตุลาการเพียงคนเดียว คู่พิพาทอาจยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลที่มีเขตอำนาจ • ในทางปฏิบัติ ศาลฎีกาในคดีนี้วินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีสิทธิตามบทบัญญัติดังกล่าว และอาจยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว (ตามมาตรา 16 วรรค 1) เพื่อให้กระบวนการอนุญาโตตุลาการหยุดชั่วคราวจนกว่าจะมีคำสั่งในเรื่องคัดค้าน • ข้อสังเกตทางกฎหมาย: สิทธิยื่นคำร้องคุ้มครองชั่วคราวตามมาตรา 16 วรรค 1 เป็นสิทธิที่คู่สัญญาที่ตกลงทำสัญญาอนุญาโตตุลาการไว้สามารถใช้ได้ ซึ่งต่างจากสิทธิร้องขอคุ้มครองชั่วคราวตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง (2) อำนาจศาลในการให้คำสั่งหยุดการดำเนินการอนุญาโตตุลาการ • ตามมาตรา 20 วรรค 2 พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ 2545 ศาลที่มีเขตอำนาจอาจรับคำร้องคัดค้าน และศาลนั้นอาจมีคำสั่งยอมรับหรือยกคำคัดค้าน • ในระหว่างขั้นนั้น คณะอนุญาโตตุลาการรวมถึงอนุญาโตตุลาการที่ถูกคัดค้าน อาจดำเนินการ ทางอนุญาโตตุลาการต่อไปจนกว่าจะมีคำชี้ขาด เว้นแต่ ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น • ดังนั้น ศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะออกคำสั่งให้ “หยุดการดำเนินการของคณะอนุญาโตตุลาการ” ไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำสั่งของศาลตามมาตรา 20 วรรค 2 ได้ ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าในคดีนี้ ศาลชั้นต้นใช้ดุลยพินิจอย่างชอบด้วยกฎหมาย • จากประเด็นนี้ ด้านปฏิบัติควรสังเกตว่า หากคู่สัญญายื่นคำร้องคัดค้านอนุญาโตตุลาการ ผู้อนุญาโตตุลาการหรือคณะอนุญาโตตุลาการควรระมัดระวังไม่ให้ดำเนินการต่อจนกว่าจะมีคำสั่งศาล ถ้าศาลสั่งเช่นนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงประเด็นข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นอิสระ/ความเป็นกลาง (3) หลักความยุติธรรมและประสิทธิภาพของกระบวนการอนุญาโตตุลาการ • ความเป็นอิสระและความเป็นกลางของอนุญาโตตุลาการถือเป็นหลักประกันสำคัญในการให้กระบวนการอนุญาโตตุลาการได้รับความเชื่อถือ • หากมีข้อสงสัยถึงคุณลักษณะที่ว่า อนุญาโตตุลาการอาจไม่เป็นกลาง/ไม่อิสระ หรือขาดคุณสมบัติตามที่คู่สัญญาตกลงไว้ คู่พิพาทจำเป็นต้องใช้สิทธิคัดค้านก่อน หรือใช้คำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวเพื่อหยุดการดำเนินการไว้ก่อน • คดีนี้ชี้ให้เห็นว่า การออกคำสั่งโดยศาลให้หยุดการดำเนินการไว้ชั่วคราวไม่ถือเป็นการล้มกระบวนการอนุญาโตตุลาการ แต่เป็นมาตรการเพื่อให้ได้ความยุติธรรมและเป็นธรรมแก่คู่พิพาท สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • คู่พิพาทในการตกลงสัญญาอนุญาโตตุลาการควรระบุ วิธีคัดค้านอนุญาโตตุลาการ และ วิธีร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ไว้ในสัญญาอย่างชัดเจน • หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นกลางหรืออิสระของอนุญาโตตุลาการ คู่พิพาทมีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านตามมาตรา 19 และ 20 ของพ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ 2545 และอาจขอคุ้มครองชั่วคราวตามมาตรา 16 เพื่อหยุดการดำเนินการไว้ก่อน • ศาลมีอำนาจออกคำสั่งให้หยุดการดำเนินการของคณะอนุญาโตตุลาการตามมาตรา 20 วรรค 2 ซึ่งช่วยรักษาหลักความยุติธรรมในกระบวนการ • การดำเนินการต่อไปของอนุญาโตตุลาการโดยไม่มีคำสั่งศาลเมื่อมีคำร้องคัดค้านแล้ว อาจถูกท้าทายได้ตามหลักกฎหมาย • แนวคำพิพากษาฎีกานี้เป็นแนวทางสำคัญที่ให้คำยืนยันถึงบทบาทของศาลและสิทธิของคู่สัญญาในกระบวนการอนุญาโตตุลาการ IRAC (Issue-Rule-Application-Conclusion) Issue (ปัญหาข้อกฎหมาย): คู่พิพาทมีสิทธิยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวเพื่อหยุดการดำเนินการของคณะอนุญาโตตุลาการไว้จนกว่าจะมีคำสั่งในคดีได้หรือไม่ และคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้หยุดการดำเนินการอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราวนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ Rule (บทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง): • มาตรา 19 วรรค 3 พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ 2545: อนุญาโตตุลาการอาจถูกคัดค้านได้ หากปรากฏข้อเท็จจริงซึ่งอาจก่อให้เกิดเหตุอันควรสงสัยถึงความเป็นกลางหรือความเป็นอิสระ หรือการขาดคุณสมบัติตามที่คู่พิพาทตกลงกันไว้ • มาตรา 20 วรรค 1: คู่พิพาทที่ประสงค์คัดค้านต้องดำเนินการตามวิธีที่คู่พิพาทตกลงกันไว้ หรือในกรณีที่ไม่ได้ตกลงไว้เป็นอย่างอื่น ให้ดำเนินการตามมาตรานี้ • มาตรา 20 วรรค 2: หากการคัดค้านตามวิธีดังกล่าวไม่บรรลุผล หรือมีอนุญาโตตุลาการเพียงคนเดียว คู่พิพาทอาจยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลที่มีเขตอำนาจ • มาตรา 16 วรรค 1: คู่สัญญาที่ทำสัญญาอนุญาโตตุลาการไว้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งชั่วคราว ระหว่างที่อนุญาโตตุลาการดำเนินการอยู่ • บทบัญญัติว่า คณะอนุญาโตตุลาการอาจดำเนินการต่อไปจนกว่าจะมีคำชี้ขาด เว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น Application (การใช้บทกฎหมายกับข้อเท็จจริง): • ผู้ร้องทั้งสองได้ยื่นคำร้องคัดค้านอนุญาโตตุลาการตามมาตรา 19 และ 20 แล้ว และขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งหยุดการดำเนินการอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราวตามมาตรา 16 • ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิของผู้ร้องในการยื่นคำร้องคุ้มครองชั่วคราวมีอยู่ตามบทกฎหมาย • ศาลชั้นต้นได้ออกคำสั่งให้หยุดการดำเนินการของคณะอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราว ซึ่งเป็นไปตามอำนาจที่มาตรา 20 วรรค 2 กำหนด • การดำเนินการของอนุญาโตตุลาการต่อไปโดยไม่มีคำสั่งศาลอาจขัดต่อหลักความเป็นอิสระและเป็นกลางของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งเป็นหลักประกันความยุติธรรม Conclusion (บทสรุป): ดังนั้น คู่พิพาทมีสิทธิยื่นคำร้องคุ้มครองชั่วคราวเพื่อหยุดการดำเนินการของคณะอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราวได้ และคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้หยุดการดำเนินการไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำสั่งในคดีนั้นชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกายืนตามคำสั่งดังกล่าว แนวคำถาม - ธงคำตอบ 🔹 ประเด็นคำถามที่ 1 คำถาม ผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นคู่พิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการ ได้ยื่นข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการเพื่อให้มีคำชี้ขาดในข้อพิพาทหมายเลขดำ 81/2564 ต่อมาผู้ร้องเห็นว่าอนุญาโตตุลาการที่ผู้คัดค้านแต่งตั้งขึ้น (นายศักดา) อาจไม่มีความเป็นกลางหรือเป็นอิสระจากคู่พิพาท จึงได้ยื่นหนังสือคัดค้านต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการตามมาตรา 19 แห่ง พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 แต่ผู้วินิจฉัยมีคำวินิจฉัยให้ยกคำคัดค้าน ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องคัดค้านคำวินิจฉัยต่อศาลชั้นต้นตามมาตรา 20 วรรคสอง และในระหว่างนั้นได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่ง “หยุดการพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราว” โดยอ้างว่าหากปล่อยให้คณะอนุญาโตตุลาการดำเนินการจนมีคำชี้ขาด คำสั่งเพิกถอนอนุญาโตตุลาการก็จะไม่อาจมีผลเพิกถอนคำชี้ขาดได้อีกต่อไป ปัญหามีว่า ผู้ร้องทั้งสองมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างกระบวนการอนุญาโตตุลาการได้หรือไม่ และคำร้องดังกล่าวเป็นการขอคุ้มครองชั่วคราวตาม พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ หรือ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อย่างใด ธงคำตอบ ผู้ร้องทั้งสองมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวได้ ตามมาตรา 16 วรรคหนึ่ง แห่ง พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 ไม่ใช่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยหลักตาม มาตรา 19 วรรคสาม อนุญาโตตุลาการอาจถูกคัดค้านได้ หากปรากฏเหตุอันควรสงสัยถึงความเป็นกลางหรือความเป็นอิสระของอนุญาโตตุลาการ และตาม มาตรา 20 วรรคหนึ่งและวรรคสอง หากการคัดค้านไม่บรรลุผล คู่พิพาทฝ่ายที่คัดค้านอาจยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อให้ศาลพิจารณาคำคัดค้านนั้นได้ ในระหว่างที่ศาลยังพิจารณาอยู่ คณะอนุญาโตตุลาการอาจดำเนินการต่อไปได้จนกว่าจะมีคำชี้ขาด เว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ศาลมีอำนาจออกคำสั่งระงับหรือหยุดกระบวนการอนุญาโตตุลาการไว้ได้หากมีเหตุจำเป็น ผู้ร้องในคดีนี้ยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลสั่ง “หยุดการพิจารณาไว้ชั่วคราว” เป็นการขอคุ้มครองสิทธิของตนในระหว่างที่การคัดค้านกำลังอยู่ระหว่างพิจารณา ซึ่งเป็นสิทธิที่กฎหมายให้ไว้ในมาตรา 16 วรรค 1 ว่าคู่สัญญาที่ทำสัญญาอนุญาโตตุลาการไว้ อาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตนก่อนหรือระหว่างการดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการได้ ดังนั้น คำร้องของผู้ร้องทั้งสองจึงเป็นการขอคุ้มครองชั่วคราวตาม พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ ไม่ใช่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และศาลมีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณาได้โดยชอบ หลักกฎหมายสำคัญ: • พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16 วรรคหนึ่ง • มาตรา 19 วรรคสาม • มาตรา 20 วรรคสอง 🔹 ประเด็นคำถามที่ 2 คำถาม เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คณะอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทหมายเลขดำ 81/2564 หยุดดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราว จนกว่าจะมีคำสั่งในคดีคัดค้านการแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการ ผู้คัดค้านจึงอุทธรณ์โดยอ้างว่าคำสั่งดังกล่าวเท่ากับเป็นการ “ตัดสินให้ผู้ร้องชนะคดีไปแล้ว” และไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหามีว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจออกคำสั่งให้คณะอนุญาโตตุลาการหยุดการดำเนินการไว้ชั่วคราวเช่นนั้นได้หรือไม่ และคำสั่งดังกล่าวถือเป็นการตัดสินคดีไปในเนื้อหาหรือไม่ ธงคำตอบ ศาลชั้นต้นมีอำนาจออกคำสั่งให้คณะอนุญาโตตุลาการหยุดการดำเนินการไว้ชั่วคราวได้ ตามบทบัญญัติของ มาตรา 20 วรรค สอง แห่ง พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 และคำสั่งดังกล่าว ไม่ถือเป็นการพิพากษาหรือมีผลตัดสินคดีไปในเนื้อหา โดยหลักกฎหมาย มาตรา 20 วรรค 2 บัญญัติว่า “หากการคัดค้านโดยวิธีตามที่คู่พิพาทตกลงกันไม่บรรลุผล หรือในกรณีที่มีอนุญาโตตุลาการเพียงคนเดียว คู่พิพาทฝ่ายที่คัดค้านอาจยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจได้ และในระหว่างการพิจารณาของศาล คณะอนุญาโตตุลาการซึ่งรวมถึงอนุญาโตตุลาการที่ถูกคัดค้าน อาจดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการต่อไปจนกระทั่งมีคำชี้ขาดได้ เว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น” บทบัญญัติดังกล่าวเปิดช่องให้ศาลสามารถออก “คำสั่งเป็นอย่างอื่น” ได้หากเห็นว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยอนุญาโตตุลาการที่ถูกคัดค้านอาจกระทบต่อหลักความเป็นอิสระและความเป็นกลางของกระบวนการ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบอนุญาโตตุลาการ ในคดีนี้ ศาลชั้นต้นออกคำสั่งให้หยุดการดำเนินการไว้ชั่วคราวเพียงระหว่างรอการไต่สวนคำร้องคัดค้านอนุญาโตตุลาการ โดยยังไม่มีคำวินิจฉัยในเนื้อหาคดีหรือข้อพิพาทหลัก จึงไม่ถือเป็นการตัดสินให้ฝ่ายใดชนะหรือแพ้คดี แต่เป็นเพียงมาตรการชั่วคราวเพื่อรักษาความยุติธรรมและหลักความเป็นกลางของอนุญาโตตุลาการ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และมิได้ขัดต่อเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 อันมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กระบวนการอนุญาโตตุลาการดำเนินไปอย่างโปร่งใสและได้รับความไว้วางใจจากคู่พิพาท หลักกฎหมายสำคัญ: • พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 20 วรรค สอง • หลัก “ความเป็นอิสระและความเป็นกลางของอนุญาโตตุลาการ” 🔹 สรุปภาพรวมสองประเด็น 1. สิทธิของคู่พิพาทในการยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว – ศาลฎีกายืนยันว่าคู่พิพาทมีสิทธิดังกล่าวตาม พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ มาตรา 16 และ 20 2. อำนาจศาลในการสั่งหยุดกระบวนการอนุญาโตตุลาการ – ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งได้ตาม มาตรา 20 วรรค 2 และไม่ถือเป็นคำพิพากษาในคดีหลัก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1335/2567 ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 19 วรรคสาม อนุญาโตตุลาการอาจถูกคัดค้านได้ หากปรากฏข้อเท็จจริงซึ่งเป็นเหตุอันควรสงสัยถึงความเป็นกลางหรือความเป็นอิสระ หรือการขาดคุณสมบัติตามที่คู่พิพาทตกลงกัน โดยคู่พิพาทฝ่ายที่ประสงค์จะคัดค้านต้องดำเนินการตามกระบวนการที่ได้ตกลงกันไว้ หรือในกรณีที่ไม่ได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นต้องดำเนินการตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 20 วรรคหนึ่ง หากการคัดค้านโดยวิธีตามที่คู่พิพาทตกลงกันหรือตามวิธีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง ไม่บรรลุผล หรือในกรณีที่มีอนุญาโตตุลาการเพียงคนเดียว คู่พิพาทฝ่ายที่คัดค้านอาจยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลที่มีเขตอำนาจได้ ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 20 วรรคสอง และเมื่อศาลไต่สวนคำคัดค้านนั้นแล้วให้มีคำสั่งยอมรับหรือยกเสียซึ่งคำคัดค้านนั้น และในระหว่างการพิจารณาของศาล คณะอนุญาโตตุลาการซึ่งรวมถึงอนุญาโตตุลาการซึ่งถูกคัดค้านอาจดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการต่อไปจนกระทั่งมีคำชี้ขาดได้ ทั้งนี้ เว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จากบทบัญญัติข้างต้นเห็นได้ว่า แม้ผู้ร้องทั้งสองจะยื่นคำร้องคัดค้านคำวินิจฉัยของผู้วินิจฉัยต่อศาลชั้นต้นตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 20 วรรคสอง แล้ว แต่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ศ. ซึ่งเป็นอนุญาโตตุลาการที่ผู้คัดค้านแต่งตั้งก็อาจดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการต่อไปได้หากศาลไม่มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ดังนี้ การที่ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งหยุดการพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราวเพื่อรอฟังผลการไต่สวนคำร้องคัดค้านคำวินิจฉัยของผู้วินิจฉัย แม้จะอ้างในหัวคำร้องว่าเป็นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งหยุดการพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราวเป็นการด่วน แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาตามคำร้องแล้วเห็นได้ว่าเป็นการขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 20 วรรคสอง ตอนท้าย ทั้งยังมีลักษณะเป็นการขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตนขณะดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16 วรรคหนึ่ง อันเป็นสิทธิที่คู่สัญญาที่ทำสัญญาอนุญาโตตุลาการไว้อาจยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจได้ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มิใช่การขอคุ้มครองชั่วคราวตาม ป.วิ.พ. ดังที่ผู้คัดค้านอ้างในอุทธรณ์ ผู้ร้องทั้งสองจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในคดีนี้ได้ตามกฎหมายดังกล่าว คดีสืบเนื่องมาจากผู้ร้องทั้งสองเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม ขอให้มีคำชี้ขาดให้ผู้คัดค้านรับผิดและชำระค่าเสียหาย เป็นข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 81/2564 ผู้ร้องทั้งสองแต่งตั้งนายวิคเตอร์เป็นอนุญาโตตุลาการ ส่วนผู้คัดค้านแต่งตั้งนายศักดาเป็นอนุญาโตตุลาการ และอนุญาโตตุลาการทั้งสองเลือกนายวิชัยเป็นประธานอนุญาโตตุลาการ ต่อมาผู้ร้องทั้งสองยื่นหนังสือคัดค้านการแต่งตั้งนายศักดาเป็นอนุญาโตตุลาการต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 19 และมาตรา 20 วรรคหนึ่ง สถาบันอนุญาโตตุลาการแต่งตั้งนายธวัชชัยเป็นผู้วินิจฉัยคำคัดค้านของผู้ร้องทั้งสอง ตามข้อบังคับของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ข้อ 23 ผู้วินิจฉัยพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่มีสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดเหตุอันควรสงสัยในเรื่องความเป็นอิสระหรือเป็นกลางของอนุญาโตตุลาการ และไม่มีเหตุผลให้เพิกถอนอนุญาโตตุลาการ จึงมีคำวินิจฉัยให้ยกคำคัดค้านของผู้ร้องทั้งสอง ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องคัดค้านและแก้ไขคำร้องคัดค้านคำวินิจฉัยของผู้วินิจฉัยต่อศาลชั้นต้นตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 20 วรรคสอง ขอให้มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนนายศักดาจากการเป็นอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 81/2564 ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งหยุดการพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราวเป็นการด่วน โดยอ้างทำนองว่า หากคณะอนุญาโตตุลาการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 81/2564 จนเสร็จสิ้นและมีคำชี้ขาดแล้ว คำสั่งให้เพิกถอนอนุญาโตตุลาการก็ไม่เป็นเหตุให้คำชี้ขาดไม่มีผลบังคับ แต่เป็นเพียงเหตุในการยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 40 เท่านั้น ซึ่งผู้ร้องทั้งสองจะต้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการต่อศาลชั้นต้นอีกครั้ง อันจะทำให้ผู้ร้องทั้งสองได้รับความเดือดร้อนต่อไปและไม่อำนวยความยุติธรรมหากเทียบกับการหยุดกระบวนพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำสั่งในคดีนี้ ขอให้มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้หยุดการดำเนินกระบวนพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 81/2564 ออกไปชั่วคราวเพื่อรอฟังผลการไต่สวนคำร้องคัดค้านคำวินิจฉัยของผู้วินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 20 วรรคสอง ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งให้คณะอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 81/2564 หยุดดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำสั่งในคดีนี้ ผู้คัดค้านอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลฎีกาตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 45 วรรคสอง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อแรกว่า ผู้ร้องทั้งสองมีสิทธิยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 19 วรรคสาม อนุญาโตตุลาการอาจถูกคัดค้านได้ หากปรากฏข้อเท็จจริงซึ่งเป็นเหตุอันควรสงสัยถึงความเป็นกลางหรือความเป็นอิสระ หรือการขาดคุณสมบัติตามที่คู่พิพาทตกลงกัน โดยคู่พิพาทฝ่ายที่ประสงค์จะคัดค้านต้องดำเนินการตามกระบวนการที่ได้ตกลงกันไว้ หรือในกรณีที่ไม่ได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นต้องดำเนินการตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 20 วรรคหนึ่ง หากการคัดค้านโดยวิธีตามที่คู่พิพาทตกลงกันหรือตามวิธีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง ไม่บรรลุผลหรือในกรณีที่มีอนุญาโตตุลาการเพียงคนเดียว คู่พิพาทฝ่ายที่คัดค้านอาจยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลที่มีเขตอำนาจได้ ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 20 วรรคสอง และเมื่อศาลไต่สวนคำคัดค้านนั้นแล้วให้มีคำสั่งยอมรับหรือยกเสียซึ่งคำคัดค้านนั้น และในระหว่างการพิจารณาของศาล คณะอนุญาโตตุลาการซึ่งรวมถึงอนุญาโตตุลาการซึ่งถูกคัดค้านอาจดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการต่อไปจนกระทั่งมีคำชี้ขาดได้ ทั้งนี้ เว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จากบทบัญญัติข้างต้นเห็นได้ว่า แม้ผู้ร้องทั้งสองจะยื่นคำร้องคัดค้านคำวินิจฉัยของผู้วินิจฉัยต่อศาลชั้นต้นตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 20 วรรคสอง แล้ว แต่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น นายศักดาก็อาจดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการต่อไปได้หากศาลไม่มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ดังนี้ การที่ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งหยุดการพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราวเพื่อรอฟังผลการไต่สวนคำร้องคัดค้านคำวินิจฉัยของผู้วินิจฉัย แม้จะอ้างในหัวคำร้องว่าเป็นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งหยุดการพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราวเป็นการด่วน แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาตามคำร้องแล้วเห็นได้ว่าเป็นการขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 20 วรรคสอง ตอนท้าย ทั้งยังมีลักษณะเป็นการขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใช้วิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตนขณะดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 16 วรรคหนึ่ง อันเป็นสิทธิที่คู่สัญญาที่ทำสัญญาอนุญาโตตุลาการไว้อาจยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจได้ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มิใช่การขอคุ้มครองชั่วคราวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังที่ผู้คัดค้านอ้างในอุทธรณ์ ผู้ร้องทั้งสองจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในคดีนี้ได้ตามบทกฎหมายดังกล่าว อุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อสุดท้ายว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้คณะอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 81/2564 หยุดดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำสั่งในคดีนี้ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพียงให้คณะอนุญาโตตุลาการหยุดดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราวเท่านั้นจนกว่าจะมีคำสั่งในคดีนี้ สำหรับประเด็นหลักตามคำร้องคัดค้านคำวินิจฉัยของผู้ร้องทั้งสองนั้น ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ศาลชั้นต้นให้ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านไปกำหนดวันเวลาสืบพยานในชั้นไต่สวนที่ศูนย์นัดความของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นขั้นตอนของกระบวนพิจารณาในการรับฟังพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่าย เพื่อชั่งน้ำหนักว่าพยานหลักฐานของฝ่ายใดฟังขึ้นยิ่งกว่ากัน แล้วมีคำสั่งต่อไป คำสั่งศาลชั้นต้นในชั้นวิธีการชั่วคราวจึงมิได้มีผลเป็นการพิพากษาให้ผู้ร้องทั้งสองเป็นฝ่ายชนะคดีตามที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้าง ส่วนการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวก็เป็นไปตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาตรา 20 วรรคสอง ที่ให้อำนาจไว้ ทั้งนี้เพื่อให้ได้ความชัดเจนเกี่ยวกับความเป็นกลางและเป็นอิสระของอนุญาโตตุลาการอันถือเป็นคุณสมบัติสำคัญที่จะเป็นหลักประกันความยุติธรรมให้แก่คู่พิพาทเสียก่อน หากอนุญาโตตุลาการปราศจากเสียซึ่งความเป็นกลางและเป็นอิสระแล้ว คู่พิพาทก็จะไม่ได้รับความเป็นธรรมและกระบวนการอนุญาโตตุลาการก็จะไม่ได้รับการยอมรับ กรณีจึงไม่เป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายดังที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้าง อุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1. คำพิพากษาศาลฎีกา 4252/2567 Quick Summary: ในคดีนี้ คู่พิพาทได้ตกลงให้มีข้อพิพาทตามสัญญาซึ่งกำหนดให้ใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการ และต่อมาเกิดการคัดค้านอนุญาโตตุลาการขึ้น โดยผู้คัดค้านอ้างว่าอนุญาโตตุลาการอาจขาดความเป็นอิสระหรืออาจมีเหตุอันควรสงสัยตามมาตรา 19 วรรค 3 แห่ง พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 แต่ผู้วินิจฉัย (หรือคณะอนุญาโตตุลาการ) มีคำวินิจฉัยยกคำคัดค้าน เมื่อผู้คัดค้านขอพิจารณาต่อถึงศาลตามมาตรา 20 วรรค 2 พบว่า แม้คู่พิพาทจะตกลงใช้ข้อบังคับของสถาบันอนุญาโตตุลาการซึ่งกำหนดให้คำวินิจฉัยของคณะผู้ชี้ขาดเป็นที่สุด แต่บทบัญญัติของมาตรา 20 วรรค 2 ยังคงให้สิทธิคู่พิพาทที่จะยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลได้ “ไม่ว่า” จะตกลงวิธีพิจารณาไว้หรือไม่ก็ตาม. ในแง่ข้อเท็จจริง คดีนี้สะท้อนว่า กระบวนการคัดค้านอนุญาโตตุลาการในชั้นสถาบันนั้นแล้วไม่ “ยุติ” สิทธิของคู่พิพาทที่จะใช้ศาลตามมาตรา 20 วรรค 2 ซึ่งตรงกับประเด็นในคดี 1335/2567 ที่ว่า หลักการเดียวกันว่า คู่พิพาทมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลหลังการคัดค้านไม่สำเร็จ. ในแง่มุมข้อกฎหมาย คดีนี้ยืนยันว่าข้อบังคับของสถาบันอนุญาโตตุลาการ (ข้อ 23 วรรค หนึ่ง) ที่กำหนดให้คำวินิจฉัยของผู้ชี้ขาดเป็นที่สุด ไม่ลดทอน สิทธิของคู่พิพาทที่จะใช้ศาลตามมาตรา 20 วรรค 2 แต่อย่างใด. ประเด็นเปรียบเทียบ: • เหมือนกับคดี 1335/2567 ที่กล่าวถึงการยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว และคำสั่ง “หยุด” การดำเนินการของคณะอนุญาโตตุลาการในระหว่างรอคำร้องคัดค้าน • ต่างจาก 1335/2567 ตรงที่คดี 4252/2567 ไม่ได้เน้น “คำสั่งให้หยุดการดำเนินการ” แต่เน้นสิทธิที่จะยื่นคำร้องต่อศาลหลังการคัดค้านไม่สำเร็จ จึงถือว่าเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องใกล้เคียงทั้งในเชิงข้อกฎหมายและการตีความมาตรา 19 / 20 2. คำพิพากษาศาลฎีกา 6020 6021/2567 Quick Summary: ในคดีนี้ คู่พิพาทตกลงทำสัญญาอนุญาโตตุลาการ และมีคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ (เกี่ยวกับคดีประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักและความเสียหายสต็อกสินค้า) ต่อมาเกิดการเพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ (arbitration award) ตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ 2545 (มาตรา 41 เป็นต้น) ผู้คัดค้านอ้างเหตุให้เพิกถอนคำชี้ขาด ซึ่งเป็นขั้นตอนหลังคำชี้ขาดแล้ว และมีการพิจารณาว่าเมื่อใดศาลไทยจะรับฟังหรือไม่ให้ใช้คำชี้ขาดนั้นได้. ในแง่ข้อเท็จจริง คดีนี้เน้นเรื่องขั้นตอน “หลังคำชี้ขาด” ซึ่งเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งของกระบวนการอนุญาโตตุลาการ ต่างจากคดี 1335/2567 ที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคัดค้านและคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ก่อนคำชี้ขาด ในแง่มุมข้อกฎหมาย คดีนี้สะท้อนถึงอำนาจของศาลในการเพิกถอนคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ และข้อจำกัดเกี่ยวกับการ “บังคับตามคำชี้ขาด” ซึ่งเชื่อมโยงกับบทบัญญัติของ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ 2545 เช่น มาตรา 41 – 42. ประเด็นเปรียบเทียบ: • ข้อเหมือน: ทั้งสองคดีเกี่ยวกับกระบวนการอนุญาโตตุลาการ และศาลไทยมีบทบาทควบคุมการดำเนินงาน (คดี 1335/2567 → ศาลมีคำสั่งหยุดอนุญาโตตุลาการไว้ชั่วคราว / คดี 6020-6021/2567 → การเพิกถอนคำชี้ขาด)
• ข้อแตกต่าง: คดี 1335/2567 ย้ำสิทธิคัดค้านก่อนคำชี้ขาดและคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ส่วนคดี 6020-6021/2567 อยู่หลังคำชี้ขาด และเน้นบทบาทศาลไทยในการบังคับหรือเพิกถอนคำชี้ขาด |



.jpg)

.jpg)