
ใบจอง (น.ส. 2)
ติดต่อเรา โทร. 085-9604258 ที่ดินใบจองรัฐจัดสรรให้เป็นที่ทำมาหาเลี้ยงชีพ เมื่อทางราชการยังไม่ได้ออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้แก่โจทก์ ก็ยังถือไม่ได้ว่ารัฐได้มอบสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามใบจองให้แก่โจทก์แล้ว ที่ดินพิพาทจึงยังเป็นของรัฐ จำเลยจึงไม่อาจอ้างเรื่องการแย่งการครอบครองขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ อีกทั้งจะยกเรื่องระยะเวลาการฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้มีสิทธิตามใบจองไม่ได้เช่นกัน โจทก์ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว แต่มีเหตุจำเป็นทำให้โจทก์ไม่สามารถทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตามใบจองให้แล้วเสร็จได้ภายใน 3 ปี โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะขอให้คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติพิจารณากำหนดอายุการทำประโยชน์ให้เกินกว่า 3 ปี ได้ พิพากษากลับเป็นว่า ให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมกับรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายออกไปจากที่ดินพิพาทตามใบจอง (น.ส. 2) ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 7,000 บาท นับแต่วันฟ้อง กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 50,000 บาท คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8600/2563 ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินป่าผืนใหญ่จอมทองที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยอาศัยอำนาจตาม ป.ที่ดิน มาตรา 14 อนุมัติให้หน่วยงานราชการนำมาจัดให้แก่ประชาชนได้อยู่อาศัยและประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพ เมื่อเป็นการจัดที่ดินโดยรัฐ การพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทจึงต้องพิจารณาจาก ป.ที่ดิน และระเบียบว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชน ฉบับลงวันที่ 24 สิงหาคม 2498 ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตาม ป.ที่ดิน มาตรา 20 (6), 27 และ 33 เป็นสำคัญ ซึ่งตามระเบียบว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชน ข้อ 3 ได้กำหนดลักษณะของที่ดินที่จะนำมาจัดให้แก่ประชาชนไว้ และที่ดินที่จะนำมาจัดสรรตามระเบียบฉบับนี้ก็คือที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่เป็นที่รกร้างว่างเปล่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 (1) ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่บุคคลอาจจะได้มาตามกฎหมายที่ดินตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1334 นั้นเอง ส่วนผู้ที่จะเข้าอยู่อาศัยหรือประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพในที่ดินที่รัฐจัดให้นั้น ต้องเป็นบุคคลธรรมดาซึ่งมีคุณสมบัติและอยู่ในลักษณะข้อกำหนดโดยครบถ้วนตามข้อบังคับ ระเบียบ ข้อกำหนดและเงื่อนไขที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนด ตามระเบียบข้อ 4 ข้อ 10 ข้อ 11 ข้อ 14 และข้อ 21 ตามระเบียบดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ป.ที่ดิน ในหมวดว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชนมีเจตนารมณ์ที่จะให้ประชาชนที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง หรือมีอยู่แล้วแต่มีจำนวนน้อยไม่พอเลี้ยงชีพได้มีที่ดินไว้เป็นที่อยู่อาศัยและทำมาหาเลี้ยงชีพ โดยได้มอบอำนาจให้คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาตินำที่ดินซึ่งเป็นของรัฐไปจัดสรรให้แก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าว โจทก์ซึ่งได้รับการจัดสรรที่ดินพิพาทให้เป็นที่ทำมาหาเลี้ยงชีพและได้รับใบจองเลขที่ 1557 จากทางราชการแล้วจึงมีสิทธิตามใบจองในอันที่จะเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท และต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้ได้รับสิทธิในที่ดินตาม ป.ที่ดิน โดยชอบ อย่างไรก็ตามเมื่อทางราชการยังไม่ได้ออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้แก่โจทก์ ก็ยังถือไม่ได้ว่ารัฐได้มอบสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้ว ที่ดินพิพาทจึงยังเป็นของรัฐ ดังนั้น จำเลยจึงหาอาจอ้างเรื่องการแย่งการครอบครองขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ไม่ อีกทั้งจะยกเรื่องระยะเวลาการฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 ขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้มีสิทธิตามใบจองไม่ได้เช่นกัน ส่วนที่โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว ต่อมามีกลุ่มคนบุกรุกเข้ามาครอบครองที่ดินพิพาทและขู่ฆ่า โจทก์และชาวบ้านรายอื่น ๆ อีกหลายร้อยรายที่ถูกบุกรุกที่ดินได้รวมตัวกันไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ และร้องเรียนไปยังหน่วยงานราชการต่าง ๆ และคดีถึงที่สุดโดยศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลปกครองเชียงใหม่ที่ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 9600 ที่ออกทับที่ดินพิพาท ก็ต้องถือว่าโจทก์ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว แต่มีเหตุจำเป็นทำให้โจทก์ไม่สามารถทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตามใบจองเลขที่ 1557 ให้แล้วเสร็จได้ภายใน 3 ปี ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อ 17 โจทก์จึงยังคงเป็นผู้มีสิทธิตามใบจองเลขที่ 1557 อยู่ จำเลยไม่อาจยกการครอบครองตาม ป.พ.พ. ขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งได้สิทธิมาโดยชอบตาม ป.ที่ดิน ได้ เมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองเชียงใหม่ซึ่งเป็นศาลปกครองชั้นต้นที่ให้เพิกถอนโฉนดที่ดิน 9600 ที่ออกทับที่ดินพิพาทตามใบจองเลขที่ 1557 โดยเห็นว่าการออกโฉนดที่ดินเลขที่ 9600 เป็นการออกโดยอาศัยแบบแจ้งการครอบครองที่ดินที่ทำปลอมขึ้น จำเลยก็ย่อมไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินพิพาทตามใบจองเลขที่ 1557 อีกต่อไป การที่จำเลยยังคงอยู่ในที่ดินพิพาทจึงเป็นการอยู่โดยละเมิด จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนโรงงาน สิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ตามใบจองเลขที่ 1557 และปรับที่ดินดังกล่าวให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ามายุ่งเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป ให้จำเลยและบริวารชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 7,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนโรงงาน สิ่งปลูกสร้าง พร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปให้แล้วเสร็จ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องและคำให้การแล้ว เห็นว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปและมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่แล้ว พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 โจทก์ถึงแก่ความตาย นายสามิต ทายาทของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาต ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า เมื่อปี 2516 จังหวัดเชียงใหม่ได้มีมติให้นำที่ดินป่าจอมทอง ตำบลบ้านหลวง และตำบลข่วงเปา อำเภอจอมทอง เนื้อที่ประมาณ 5,940 ไร่ จัดให้แก่ประชาชนใช้เป็นที่อยู่อาศัยและประกอบการเลี้ยงชีพในลักษณะจัดที่ดินผืนใหญ่โดยให้กันที่ดินในโครงการเป็นพื้นที่ส่วนกลางรวม 74 ไร่ เพื่อใช้สร้างสนามกีฬา ตลาด วัด สถานีอนามัย สถานีตำรวจ และกันพื้นที่ในโครงการที่มีไม้มีค่าขึ้นอยู่หนาแน่นกว่าแห่งอื่นรวม 7 แห่ง เนื้อที่ 740 ไร่ เป็นป่าส่วนกลาง และกันพื้นที่ป่าที่ติดกับแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยอินทนนท์ 360 ไร่ และแนวเขตป่าติดลำห้วยทราย 80 ไร่ เป็นป่ากันชน รวมเนื้อที่ที่กันไว้จำนวน 1,248 ไร่ คงเหลือพื้นที่ในการจัดให้ประชาชนจำนวน 4,692 ไร่ ส่วนการจัดแปลงที่ดินให้จัดเป็นที่ดินเพื่อการเกษตรจำนวน 701 แปลง เนื้อที่แปลงละ 5 ไร่ และพื้นที่อยู่อาศัยจำนวน 704 แปลง เนื้อที่แปลงละ 1 ไร่ โดยคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติได้พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 1/2517 เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2517 มีมติอนุมัติโครงการดังกล่าว ต่อมาเมื่อเจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการเพื่อจัดที่ดินพบว่า พื้นที่ในโครงการมีราษฎรเข้าครอบครองจำนวน 472 ราย โดยมีหลักฐานการครอบครอง เช่น หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) และแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่ และที่ไม่มีหลักฐานอีกประมาณร้อยละ 5 ของพื้นที่ รวมเนื้อที่ 2,063 ไร่ จึงได้ลดเนื้อที่ที่จะจัดแปลงที่ดินไว้แต่เดิม คือจัดแบ่งที่ดินเพื่อการเกษตรซึ่งเดิมมีเนื้อที่แปลงละ 5 ไร่ ลดลงเหลือแปลงละ 4 ไร่ ที่ดินอยู่อาศัยจากเดิมเนื้อที่ 1 ไร่ เป็นเหลือแปลงละ 2 งาน ส่วนที่ดินป่าส่วนกลางและที่ดินที่กันไว้เป็นสมบัติส่วนกลางคงเป็นไปตามโครงการเดิม และได้แจ้งให้คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติทราบเมื่อการประชุมครั้งที่ 4/2517 วันที่ 28 ตุลาคม 2517 ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้จัดแบ่งที่ดินให้แก่ผู้รับการจัดสรรรายละ 2 แปลง เป็นที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมรวม 560 แปลง ที่ดินอยู่อาศัย 579 แปลง การจัดแปลงที่ดินมิได้แบ่งแยกตำแหน่งของที่ดินว่าที่ดินบริเวณใดเป็นที่ดินเพื่อการเกษตรหรือที่ดินอยู่อาศัย แต่จะจัดปนกันไปเพื่อให้ที่ดินอยู่อาศัยอยู่ใกล้ที่ดินทำการเกษตร โจทก์เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับการจัดสรรที่ดินเพื่อการเกษตร 1 แปลง โดยเจ้าหน้าที่จัดให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินเพื่อทำการเกษตรซึ่งคือที่ดินพิพาทในคดีนี้เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2518 ต่อมาทางราชการออกใบจองเลขที่ 1557 ซึ่งเป็นใบจองในส่วนของที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ต่อมาเมื่อปี 2521 ทางราชการออกเดินสำรวจเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ในท้องที่อำเภอจอมทอง รวมทั้งที่ดินจัดสรรป่าจอมทอง และในระหว่างปี 2532 ถึง 2533 กรมที่ดินออกเดินสำรวจเพื่อออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ครอบครองที่ดินป่าจอมทอง ในการเดินสำรวจเพื่อออกเอกสารสิทธิในที่ดินดังกล่าวได้ใช้ภาพถ่ายทางอากาศโดยมิได้ใช้ผังการจัดที่ดินป่าจอมทองที่เคยออกใบจองให้แก่ประชาชนเป็นหลักฐานประกอบ จึงทำให้มีเอกสารสิทธิจำนวนมากออกทับที่ดินที่มีใบจอง และมีการร้องเรียนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและกรมที่ดิน ต่อมาปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งนางพูนศรี ผู้ตรวจราชการ สำนักนายกรัฐมนตรีทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาทางแก้ไข ต่อมาเดือนเมษายน 2539 นายปุ้ย กับพวกได้ร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี อธิบดีกรมที่ดิน และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ว่า เอกสารสิทธิของจำเลยที่ 1 (เดิมจำเลยที่ 1 ชื่อบริษัทกรุงเทพผลิตผลอุตสาหกรรมการเกษตร จำกัด) ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งยังได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการการปกครองสภาผู้แทนราษฎร อธิบดีกรมที่ดินจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง คณะกรรมการดังกล่าวได้สอบสวนพยานบุคคลจำนวน 177 ปาก ได้ผลสรุปว่า ในการเดินสำรวจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในปี 2521 เจ้าหน้าที่ได้ใช้ระวางภาพถ่ายทางอากาศหมายเลข 4745 IV แผ่นที่ 36 ถึง แผ่นที่ 39 และระวางภาพถ่ายทางอากาศหมายเลข 4745 I แผ่นที่ 14 แผ่นที่ 26 และแผ่นที่ 27 โดยมิได้ใช้แผนผังการจัดที่ดิน เนื่องจากไม่พบแผนผังดังกล่าวที่สำนักงานที่ดินอำเภอจอมทอง เป็นเหตุให้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกจำนวน 152 แปลง ทับที่ดินตามใบจองซึ่งเป็นที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมจำนวน 155 แปลง และที่ดินที่อยู่อาศัยจำนวน 75 แปลง ส่วนการเดินสำรวจเพื่อออกโฉนดที่ดินในปี 2532 ถึง 2533 เจ้าหน้าที่เดินสำรวจได้ใช้ระวางแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศหมายเลข 4745 IV, 6438, 6440, 6638, 6640, 6840, 7040 และ 7240 เป็นแนวในการเดินสำรวจ ปรากฏว่ามีโฉนดที่ดินจำนวน 310 แปลง ออกทับที่ดินตามใบจองซึ่งเป็นที่ดินอยู่อาศัยจำนวน 235 แปลง ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจำนวน 237 แปลง ในส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 8546 ถึง 8555 และเลขที่ 9600 ตำบลข่วงเปา อำเภอจอมทอง ซึ่งเดิมนายวีระเชียร เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์นั้น นายวีระเชียรได้ขอออกโฉนดในที่ดินทั้ง 11 แปลงดังกล่าว เป็นการเฉพาะรายเมื่อปี 2532 โดยที่ดินโฉนดเลขที่ 8546 ถึง 8549, 8551, 8554, 8555 และ 9600 ออกโดยใช้แบบแจ้งการครอบครองที่ดินเป็นหลักฐาน ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 8550, 8552 และ 8553 นั้น จากการตรวจสอบไม่พบทั้งสารบบและโฉนดที่ดินฉบับสำนักงานที่ดิน โฉนดที่ดินทั้ง 11 แปลงดังกล่าว ระบุว่าอยู่ในระวางแผนที่ 5745 IV 7040-9, 14 แต่ไม่ปรากฏในระวางแผนที่ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาจอมทองว่ามีการออกโฉนดทั้ง 11 แปลงดังกล่าว หลังจากออกโฉนดที่ดินทั้งสิบเอ็ดแปลงดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว นายวีระเชียรได้โอนขายให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2532 ต่อมาได้มีการร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ และได้โอนคดีไปยังศาลปกครองกลางตามมาตรา 103 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 เมื่อศาลปกครองเชียงใหม่เปิดทำการแล้ว อธิบดีศาลปกครองกลางได้โอนคดีไปเป็นคดีของศาลปกครองเชียงใหม่ ในคดีปกครองดังกล่าว โจทก์ในคดีนี้เป็นผู้ฟ้องคดีที่ 36 ส่วนกรมที่ดิน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาจอมทอง เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 3 ตามลำดับ ศาลปกครองเชียงใหม่ซึ่งเป็นศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 9728 ถึง 9742, 9744 ถึง 9756, 9758 ถึง 9763, 8546 ถึง 8549, 8551, 8554, 8555 และ 9600 ทั้งฉบับ และเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 8550, 8552 และ 8553 เฉพาะส่วนที่รุกล้ำป่าส่วนกลาง ยกฟ้องสำหรับผู้ฟ้องคดีที่ 141 ถึง 171 และยกคำขออื่น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองเชียงใหม่ว่า การที่ศาลปกครองเชียงใหม่พิพากษาให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 8547 ถึง 8549, 8551, 8554 และ 8555 โดยพิจารณาจากทะเบียนการครอบครองที่ดินของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) โดยมิได้มีรายงานการลงพื้นที่ตรวจสอบที่ดินจากสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาจอมทอง ประกอบ เป็นผลทำให้คำพิพากษาคลาดเคลื่อนไป ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้ว พิพากษายืน คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยยกการได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความจากที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันและไม่ได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นในชั้นฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินป่าผืนใหญ่จอมทองที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 14 อนุมัติให้หน่วยงานราชการนำมาจัดให้แก่ประชาชนได้อยู่อาศัยและประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพ เมื่อเป็นการจัดที่ดินโดยรัฐ การพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทจึงต้องพิจารณาจากประมวลกฎหมายที่ดินและระเบียบว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชน ฉบับลงวันที่ 24 สิงหาคม 2498 ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 20 (6), 27 และ 33 เป็นสำคัญ ซึ่งตามระเบียบว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชน ข้อ 3 ได้กำหนดลักษณะของที่ดินที่จะจัดให้แก่ประชาชนไว้ว่า ต้องเป็นที่ดินของรัฐซึ่งอยู่ในลักษณะดังต่อไปนี้ คือ (1) ที่ดินซึ่งมิได้มีบุคคลใดมีสิทธิครอบครอง และมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดินอันราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกันหรือมิใช่ที่สงวนหวงห้าม หรือมิใช่ที่เขา ที่ภูเขา (2) ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ราษฎรเคยใช้ประโยชน์ร่วมกัน แต่ปรากฏว่าราษฎรมิได้ใช้ประโยชน์ต่อไปแล้ว หรือรัฐหาที่ดินอื่นให้ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกันแทน และได้มีพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่สาธารณประโยชน์นั้นแล้ว (3) ที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนสิทธิในที่ดินให้แก่รัฐ หรือทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ หรือปล่อยให้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าจนตกเป็นของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ดินที่จะนำมาจัดให้แก่ประชาชนตามระเบียบฉบับนี้ก็คือที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่เป็นที่รกร้างว่างเปล่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (1) ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่บุคคลอาจจะได้มาตามกฎหมายที่ดินตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1334 นั้นเอง ส่วนผู้ที่จะเข้าอยู่อาศัยหรือประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพในที่ดินที่รัฐจัดให้นั้น ตามระเบียบข้อ 4 กำหนดไว้ว่า ต้องเป็นบุคคลธรรมดาซึ่งมีคุณสมบัติและอยู่ในลักษณะข้อกำหนดโดยครบถ้วนดังนี้ คือ มีสัญชาติไทย บรรลุนิติภาวะแล้วหรือเป็นหัวหน้าครอบครัว มีร่างกายสมบูรณ์ มีความขยันขันแข็งในการประกอบอาชีพ มีความประพฤติดี มีความสามารถประกอบอาชีพเกี่ยวกับที่ดินที่จัดให้ได้ ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง หรือมีอยู่แล้วแต่เป็นจำนวนน้อยไม่พอเลี้ยงชีพ และต้องรับปฏิบัติตามข้อบังคับระเบียบ ข้อกำหนดและเงื่อนไขที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติกำหนด ตามระเบียบข้อ 10 และ ข้อ 11 ยังได้กำหนดถึงวิธีการที่จะเข้าอยู่อาศัยหรือประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพในที่ดินที่รัฐจัดให้ไว้ว่า จะต้องยื่นคำร้องต่อเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในการจัดที่ดินและจะต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการคัดเลือกบุคคลซึ่งจะต้องพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในระเบียบ นอกจากนี้ ตามระเบียบข้อ 14 ได้กำหนดไว้ว่า ผู้ที่ปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติแล้วเท่านั้นจึงจะมีสิทธิได้รับใบจอง อีกทั้งตามระเบียบข้อ 21 กำหนดให้แต่เฉพาะผู้ถือใบจองที่ได้ทำประโยชน์ในที่ดินโดยปฏิบัติตามข้อบังคับ ระเบียบ ข้อกำหนด หรือเงื่อนไขของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ และได้ชดใช้เงินค่าบริการในการจัดที่ดินด้วยวิธีผ่อนส่งเสร็จสิ้นแล้วเท่านั้นที่จะขอเอกสารสิทธิในที่ดินได้ ตามระเบียบดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าประมวลกฎหมายที่ดินในหมวดว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชนมีเจตนารมณ์ที่จะให้ประชาชนที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง หรือมีอยู่แล้วแต่มีจำนวนน้อยไม่พอเลี้ยงชีพได้มีที่ดินไว้เป็นที่อยู่อาศัยและทำมาหาเลี้ยงชีพ โดยได้มอบอำนาจให้คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาตินำที่ดินซึ่งเป็นของรัฐไปจัดสรรให้แก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าว โจทก์ซึ่งได้รับการจัดสรรที่ดินพิพาทให้เป็นที่ทำมาหาเลี้ยงชีพและได้รับใบจองเลขที่ 1557 จากทางราชการแล้วจึงมีสิทธิตามใบจองในอันที่จะเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท และต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้ได้รับสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินโดยชอบ อย่างไรก็ตามเมื่อทางราชการยังไม่ได้ออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้แก่โจทก์ ก็ยังถือไม่ได้ว่ารัฐได้มอบสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้ว ที่ดินพิพาทจึงยังเป็นของรัฐ ดังนั้น จำเลยจึงหาอาจอ้างเรื่องการแย่งการครอบครองขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ไม่ อีกทั้งจะยกเรื่องระยะเวลาการฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้มีสิทธิตามใบจองไม่ได้เช่นกัน ส่วนที่จำเลยนำสืบอ้างว่า โจทก์ไม่ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทภายใน 6 เดือน นับแต่วันได้รับใบจองตามที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อ 15 นั้น โจทก์ก็ได้นำสืบถึงการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท โดยมีนายสามิต ซึ่งเป็นบุตรและเป็นผู้รับมอบอำนาจโจทก์มาเบิกความเป็นพยานว่า หลังจากเจ้าหน้าที่จัดให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์และบุคคลในครอบครัวได้ร่วมกันแผ้วถางและหว่านเมล็ดปอในที่ดินเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ ต่อมาเมื่อเดือนเมษายน 2518 มีกลุ่มคนบุกรุกเข้ามาครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์แจ้งให้กลุ่มคนดังกล่าวออกไป แต่ถูกกลุ่มคนดังกล่าวขู่ฆ่า โจทก์และชาวบ้านรายอื่น ๆ อีกหลายร้อยรายที่ถูกบุกรุกที่ดินเช่นเดียวกับโจทก์ได้รวมตัวกันไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ และร้องเรียนไปยังหน่วยงานราชการต่าง ๆ อีกหลายแห่ง แต่การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างล่าช้า ต่อมามีการส่งเรื่องร้องเรียนไปยังคณะกรรมการวิฉัยร้องทุกข์ และเมื่อมีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นได้มีการโอนคดีไปยังศาลปกครองเชียงใหม่ และคดีถึงที่สุดโดยศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลปกครองเชียงใหม่ที่ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 9600 ที่ออกทับที่ดินพิพาท ตามคำเบิกความของนายสามิตดังกล่าว จำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่นายสามิตเบิกความ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ดังกล่าว ก็ต้องถือว่าโจทก์ได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว แต่มีเหตุจำเป็นทำให้โจทก์ไม่สามารถทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตามใบจองเลขที่ 1557 ให้แล้วเสร็จได้ภายใน 3 ปี ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อ 17 โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะขอให้คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติพิจารณากำหนดอายุการทำประโยชน์ให้เกินกว่า 3 ปี ได้ ประกอบกับตามข้อเท็จจริงในสำนวนไม่ปรากฏว่า อธิบดีกรมที่ดินได้ใช้อำนาจตามระเบียบว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชนข้อ 18 สั่งให้โจทก์ขาดสิทธิประโยชน์อันพึงได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 32 แล้ว โจทก์จึงยังคงเป็นผู้มีสิทธิตามใบจองเลขที่ 1557 อยู่ จำเลยจึงไม่อาจยกการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งได้สิทธิมาโดยชอบตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เป็นประการต่อไปว่า จำเลยต้องรับผิดชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใด ปัญหานี้ศาลล่างทั้งสองยังไม่ได้วินิจฉัยมา แต่เมื่อคดีมาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปเสียทีเดียว โดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยก่อน เห็นว่า เมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองเชียงใหม่ซึ่งเป็นศาลปกครองชั้นต้นที่ให้เพิกถอนโฉนดที่ดิน 9600 ที่ออกทับที่ดินพิพาทตามใบจองเลขที่ 1557 โดยเห็นว่าการออกโฉนดที่ดินเลขที่ 9600 เป็นการออกโดยอาศัยแบบแจ้งการครอบครองที่ดินที่ทำปลอมขึ้น จำเลยก็ย่อมไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินพิพาทตามใบจองเลขที่ 1557 อีกต่อไป การที่จำเลยยังคงอยู่ในที่ดินพิพาทจึงเป็นการอยู่โดยละเมิด จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ส่วนที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 7,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปมานั้น เห็นว่า เป็นจำนวนที่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีและความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว จึงกำหนดให้ตามขอ อนึ่ง คดีนี้ยังมิได้มีการทำแผนที่พิพาท เพื่อประโยชน์ในการบังคับคดีในส่วนคำขอที่ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร จึงให้ศาลชั้นต้นมีหนังสือไปยังเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาจอมทอง เพื่อทำแผนที่พิพาท และคดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทในศาลชั้นต้น ชั้นอุทธรณ์ และชั้นฎีกา ชั้นละ 900,000 บาท ต้องเสียค่าขึ้นศาล 18,000 บาท จึงให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้น ชั้นอุทธรณ์ และชั้นฎีกาแก่โจทก์ พิพากษากลับเป็นว่า ให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมกับรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายออกไปจากที่ดินพิพาทตามใบจอง (น.ส. 2) เลขที่ 1557 เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ 2 งาน ที่รัฐจัดสรรให้แก่โจทก์ และปรับที่ดินพิพาทให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 7,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 มิถุนายน 2555) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายออกไปจากที่ดินพิพาทเสร็จสิ้น กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 50,000 บาท คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้น ชั้นอุทธรณ์ และชั้นฎีกาส่วนที่เสียเกินมาแก่โจทก์ ใบจอง (น.ส. 2) คือหนังสือแสดงสิทธิ ที่ทางราชการออกให้เพื่อแสดงความยินยอมให้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเป็นการชั่วคราว ผู้รับใบจองต้องเริ่มทำประโยชน์ในที่ดินให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน และต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับใบจอง ที่ดินที่มีใบจองนี้โอนแก่บุคคลอื่นไม่ได้ เว้นแต่ตกทอดทางมรดก เมื่อทำประโยชน์ตามเงื่อนไข ดังกล่าวแล้ว สามารถนำใบจองมาออกหนังสือ น.ส 3 ,น.ส 3ก. ,น.ส 3ข หรือ โฉนด ได้ ( แต่ห้ามโอน ตามเงื่อนไข ที่ กม.กำหนด) ใบจอง (น.ส. ๒) ผู้มีใบจองจะต้องเริ่มทำประโยชน์ในที่ดินให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือนต้องทำประโยชน์ในที่ดินให้แล้วเสร็จภายใน ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับใบจองและจะต้องทำประโยชน์ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ ๗๕ ของที่ดินที่จัดให้ ที่ดินที่มีใบจองนี้จะโอนให้แก่บุคคลอื่นไม่ได้ เว้นแต่จะตกทอดทางมรดก เมื่อทำประโยชน์ตามเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว ก็มีสิทธินำใบจองนั้นมาขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. หรือ น.ส.๓ ข) หรือโฉนดที่ดินได้แต่หนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือโฉนดที่ดินนั้นจะต้องตกอยู่ในบังคับห้ามโอนตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด น.ส. ๓ ออกให้แก่ผู้ครอบครองที่ดินทั่ว ๆ ไป ในพื้นที่ที่ไม่มีระวาง มีลักษณะเป็นแผนที่รูปลอย ไม่มีการกำหนดตำแหน่งที่ดินแน่นอน หรือออกในท้องที่ที่ไม่มีระวางรูปถ่ายทางอากาศ ซึ่งรัฐมนตรียังไม่ได้ประกาศยกเลิกอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายที่ดินของหัวหน้าเขต นายอำเภอ หรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ (นายอำเภอท้องที่เป็นผู้ออก)
คำถาม?...... ใบจอง (นส.2) ที่ดินที่อาศัยอยู่(ซื้อ) ตั้งแต่ ปี 2518 มีเอกสารที่เป็นใบจอง น.ส.2 ออกให้ ณ วันที 26 มิ.ย.2510 เป็นชื่อของ บุคคลอื่น ซึ่งตอนนี้ไม่ทราบว่ามีตัวตนอยุ่ที่ไหน สามารถนำใบนี้ไปแปลงเป็นโฉนดได้หรือไม่ อย่างไรบ้าง ใบจองเป็นหนังสือแสดงการยอมให้เข้าครอบครองที่ดินชั่วคราว ใบจองนี้นายอำเภอท้องที่หรือปลัดอำเภอ ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ออกตามความในมาตรา 30 และมาตรา 33 แห่งมวลกฎหมายที่ดิน แต่ถ้าป็นท้องที่ที่มีการยกเลิกอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดินของนายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอแล้ว เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดหรือเจ้าพนักงานที่ดินสาขาซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่เป็นผู้ออก การออกใบจองเป็นการนำที่ดินของรัฐมาจัดเป็นที่อยู่อาศัยและประกอบอาชีพให้แก่ราษฎรตามประมวลกฎหมายที่ดิน ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าจับจองที่ดินดังกล่าวจะต้องเริ่มทำประโยชน์ภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ได้รับใบจอง และต้องทำประโยชน์ให้แล้วเสร็จ(ประมาณ 3 ใน 4 ส่วน) ใน 3 ปี มิฉนั้น จะหมดสิทธิในที่ดินนั้น กรณีตามปัญหา การที่ท่านได้ซื้อที่ดินตามหลักฐานใบจองซึ่งออกเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2510 และเป็นชื่อของบุคคลอื่นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 จะสามารถนำใบจองดังกล่าวมาออกเป็นโฉนดที่ดินได้หรือไม่ นั้น เนื่องจากที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้จับจองแต่ยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว ผู้รับอนุญาตจะโอนไปยังบุคคลอื่นไม่ได้ เว้นแต่จะตกทอดทางมรดก (มาตรา 8 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน) ถ้าโอนไปก็เป็นการผิดกฎหมายและระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติผู้รับโอนย่อมไม่ได้สิทธิตามใบจอง ดังนั้น ท่านจึงไม่สามารถนำใบจองดังกล่าวมาออกเป็นโฉนดที่ดินได้ แต่อย่างไรก็ตาม การที่ผู้มีชื่อตามใบจองได้ขายที่ดินตามใบจองให้กับท่านถือว่าผู้มีชื่อดังกล่าวไม่ได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับ ข้อกำหนด หรือเงื่อนไขของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจสั่งให้บุคคลออกไปจากที่ดินนั้นได้ และถือว่าได้ขาดสิทธิในที่ดินนั้นแล้ว ซึ่งต้องดำเนินการจำหน่ายใบจอง ตามนัยมาตรา 32 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งปัจจุบันอธิบดีกรมที่ดินได้มอบอำนาจในการดำเนินการกรณีนี้ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว ทั้งนี้ หากท่านได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินบริเวณดังกล่าวแล้ว และปรากฏว่าที่ดินแปลงนี้อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ออกเป็นโฉนดที่ดินได้ ท่านย่อมสามารถนำเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินได้ตามาตรา 58 ทวิวรรคสอง (3) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยถือว่าเป็นบุคคลซึ่งครอบครองที่ดินมาภายหลังประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับและที่ดินนั้นต้องอยู่ในบังคับห้ามโอนภายในกำหนด 10 ปี
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ยังไม่มีใบจอง(น.ส. 2) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7216/2542 ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่โดยจำเลยฎีกาว่าการที่ น โอนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมีใบจอง (น.ส.2) ตีใช้หนี้ให้แก่โจทก์เป็นการต้องห้ามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา8จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้นจำเลยก็มีสิทธิยกขึ้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง น. ได้โอนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมีใบจอง (น.ส.2) โดยส่งมอบการครอบครองให้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ก่อนที่ทางราชการจะออกใบจอง (น.ส.2) ที่ดินพิพาทให้แก่ น. การโอนที่ดินพิพาทระหว่าง น. กับโจทก์จึงไม่เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 8 วรรคสอง ไม่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 113 ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น (พ.ศ. 2530) ปัญหาว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว การที่ น. โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อตีใช้หนี้ จะขัดต่อพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9หรือไม่นั้นแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247 น. โอนที่ดินพิพาทขณะเป็นที่ดินที่ยังไม่มีใบจอง (น.ส.2) ให้แก่โจทก์โดยการส่งมอบการครอบครองให้โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา กรณีเป็นเรื่องที่ น. แสดงเจตนาสละการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ การครอบครองของ น. ย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377วรรคแรก โจทก์จึงได้สิทธิครอบครอง กรณีมิใช่เป็นการโอนสิทธิครอบครองตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9 และการสละการยึดถือครอบครองในลักษณะดังกล่าวไม่เป็นการต้องห้ามตามกฎหมาย การโอนที่ดินพิพาทจึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 แม้ที่ดินพิพาทมีข้อบังคับห้ามโอนภายใน 10 ปี ตามมาตรา 31แห่งประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่ทางราชการเพิ่งออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) สำหรับที่ดินพิพาทให้แก่ น.ภายหลังจากที่ น. ได้สละหรือโอนการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ไปแล้ว การโอนที่ดินพิพาทระหว่าง น. กับโจทก์จึงมิได้กระทำภายในระยะเวลาห้ามโอน ไม่ตกเป็นโมฆะ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ครอบครองที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 3540 ซึ่งเดิมเป็นที่ดินมีใบจอง (น.ส.2)ของนายหนูพันธ์ ยืนยาว โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาจำเลยทราบดีถึงการครอบครองของโจทก์เมื่อต้นปี 2539 จำเลยเข้ามาบุกรุกปลูกสร้างบ้านบนที่ดินของโจทก์ โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมอุปกรณ์ออกไปจากที่ดินโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 2,000 บาทและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีกเดือนละ 2,000 บาท จนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อบ้านอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ติดกับตัวบ้านออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3540 และห้ามเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 2,000 บาท และอีกเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นบุตรของนายหนูพันธ์ เมื่อปี 2530 นายหนูพันธ์ซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่า เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ 1 งาน 57 ตารางวา ได้โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้เงินที่นายหนูพันธ์กู้ยืมไปจากโจทก์ โดยให้โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2530 ตลอดมาปี 2533 ทางราชการได้ออกใบจอง (น.ส. 2) สำหรับที่ดินพิพาทให้แก่นายหนูพันธ์ ต่อมาปี 2534 โจทก์ฟ้องนายหนูพันธ์ให้ส่งมอบที่ดินพิพาทแก่โจทก์ ได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2534 และศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมปี 2536 ทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) สำหรับที่ดินพิพาทให้แก่นายหนูพันธ์ และระบุไว้ใน น.ส. 3 ก. ว่าห้ามโอนมีกำหนด 10 ปี ตามมาตรา 31 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน นับตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2536 เป็นต้นไปต่อมาปี 2539 จำเลยเข้าปลูกสร้างบ้านอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทด้านทิศเหนือเป็นจำนวนเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายมีใจความว่า การที่นายหนูพันธ์โอนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมีใบจอง (น.ส.2) ให้แก่โจทก์ (จำเลยใช้คำในฎีกาว่าตีใช้หนี้) เป็นการต้องห้ามตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497มาตรา 8 จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตกเป็นโมฆะโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทนั้นข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้น จำเลยก็มีสิทธิยกขึ้นเป็นข้อฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสองเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่าในเรื่องที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้จับจองหรือที่ดินมีใบจอง(น.ส.2) นั้น ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 8 วรรคสองได้บัญญัติว่า "ที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้จับจองแต่ยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว ผู้ได้รับอนุญาตจะโอนไม่ได้ เว้นแต่จะตกทอดโดยทางมรดก" แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า นายหนูพันธ์ได้โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โดยการส่งมอบการครอบครองให้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2530 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่ทางราชการจะออกใบจอง (น.ส. 2) สำหรับที่ดินพิพาทให้แก่นายหนูพันธ์ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2533ซึ่งถือได้ว่าขณะโอนที่ดินพิพาทโดยการส่งมอบการครอบครองระหว่างนายหนูพันธ์กับโจทก์นั้น ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ยังไม่มีใบจอง(น.ส. 2) การโอนที่ดินพิพาทโดยการส่งมอบการครอบครองระหว่างนายหนูพันธ์กับโจทก์จึงไม่เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายคือพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 8 วรรคสองหาตกเป็นโมฆะดังที่จำเลยอ้างในฎีกาไม่ หรืออีกนัยหนึ่งไม่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น (มาตรา 150 ที่แก้ไขใหม่) ศาลฎีกายังเห็นสมควรวินิจฉัยต่อไปว่า เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว การโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ของนายหนูพันธ์ (ซึ่งจำเลยใช้คำในฎีกาว่าตีใช้หนี้) จะขัดต่อพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9 ที่บัญญัติว่า "ที่ดินที่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว ให้โอนกันได้" ซึ่งหมายความว่าที่ดินที่ยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้วจะโอนกันไม่ได้หรือไม่ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาปัญหานี้ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247 เห็นว่า การโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ของนายหนูพันธ์โดยการส่งมอบการครอบครองให้โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2530 ตลอดมา ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวมาข้างต้น กรณีเป็นเรื่องที่นายหนูพันธ์แสดงเจตนาสละการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทที่นายหนูพันธ์ยึดถือครอบครองอยู่เดิมให้แก่โจทก์ การครอบครองของนายหนูพันธ์ย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 วรรคแรก โจทก์จึงได้ซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทกรณีมิใช่เป็นการโอนสิทธิครอบครองตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 มาตรา 9 แต่อย่างใด การสละการยึดถือครอบครองในลักษณะดังกล่าวไม่เป็นการต้องห้ามตามกฎหมายการโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ของนายหนูพันธ์โดยการส่งมอบการครอบครองจึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 ไม่ขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 9 ดังกล่าว จึงไม่ตกเป็นโมฆะเช่นเดียวกัน ส่วนข้อที่ที่ดินพิพาทมีข้อบังคับห้ามโอนภายใน 10 ปี ตามมาตรา 31 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินนั้น ก็ปรากฏข้อเท็จจริงว่าทางราชการเพิ่งออก น.ส.3 ก. สำหรับที่ดินพิพาทให้แก่นายหนูพันธ์ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2536ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่นายหนูพันธ์ได้สละหรือโอนการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ไปแล้วการโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ของนายหนูพันธ์โดยการส่งมอบครอบครองในกรณีตามคดีนี้มิได้กระทำภายในระยะเวลาห้ามโอนตามมาตรา 31 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินดังกล่าว จึงไม่ตกเป็นโมฆะ พิพากษายืน
|