.jpg)
ขั้นตอนการอุทธรณ์คัดค้านการประเมินอากร-อำนาจฟ้องคดี
กฎหมายบัญญัติว่า “ผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกมีสิทธิอุทธรณ์การประเมินอากรของพนักงานเจ้าหน้าที่ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ... ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน” ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งจำนวนค่าอากรที่โจทก์ต้องชำระเพิ่ม แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้สำหรับใบขนสินค้าขาเข้าโดยมิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินอากรต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรกลางตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรฯ ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยปัญหานี้ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5571/2552
ตามพ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 112 ฉ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับที่ 17) พ.ศ.2543 มาตรา 8 บัญญัติว่า ผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกมีสิทธิอุทธรณ์การประเมินอากรของพนักงานเจ้าหน้าที่ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ตามแบบที่อธิบดีกำหนดได้ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับการแจ้งการประเมิน โจทก์ได้รับแจ้งการประเมินเมื่อมาตรา 112 ฉ มีผลใช้บังคับแล้วแต่โจทก์ฟ้องคดีนี้สำหรับใบขนสินค้าขาเข้าดังกล่าวโดยมิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินอากรต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 112 ฉ แห่งพ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับที่ 17) พ.ศ.2543 มาตรา 8 โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรกลาง ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 7 (1) , 8 ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยตามฟ้องของโจทก์เป็นการไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่โจทก์นำเข้าตามฟ้องและให้จำเลยคืนเงิน 811,611.29 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 671,166.50 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มเลขที่ 0101-01022400-2 เลขที่ 0101-01123698-5 เลขที่ 0105-00321401-1 เลขที่ 0105-00822567-1 เลขที่ 0105-00920562-3 และเลขที่ 0105-01120067-5 เฉพาะที่เกี่ยวกับอากรขาเข้า ให้จำเลยคืนเงิน 489,176.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 0.625 ต่อเดือน แต่ไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 121,069.41 บาท นับแต่วันที่ 25 เมษายน 2543 จากต้นเงิน 61,710.76 บาท นับแต่วันที่ 25 เมษายน 2543 จากต้นเงิน 92,080.27 บาท นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2543 จากต้นเงิน 57,639.20 นับแต่วันที่ 27 เมษายน 2544 จากต้นเงิน 116,805.62 บาท นับแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2544 และจากต้นเงิน 39,871.41 บาท นับแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2544 จนกว่าจะมีการอนุมัติการจ่ายคืน เศษของเดือนให้นับเป็น 1 เดือน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 4,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยรับผิดตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า กรณีใบขนสินค้าขาเข้ารายพิพาทเที่ยวที่ 13 ถึง 18 นั้น โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติศุลากร พ.ศ.2469 มาตรา 112 ฉ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 17 ) พ.ศ.2543 มาตรา 8 และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 เป็นต้นไป บัญญัติว่า “ผู้นำของเข้าหรือผู้ส่งของออกมีสิทธิอุทธรณ์การประเมินอากรของพนักงานเจ้าหน้าที่ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ตามแบบที่อธิบดีกำหนดได้ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน” ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยประเมินราคาสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าในเที่ยวที่ 13 และ 14 เพิ่มขึ้น โดยแจ้งจำนวนค่าอากรที่โจทก์ต้องชำระเพิ่มเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2543 และวันที่ 13 มีนาคม 2543 ตามลำดับ ตามหนังสือแจ้งการประเมินสำหรับใบขนสินค้าขาเข้าเที่ยวที่ 15 แจ้งการประเมินเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2543 และใบขนสินค้าขาเข้าเที่ยวที่ 16 ถึง 18 แจ้งการประเมินเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2544 ดังนั้นอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าเที่ยวที่ 13 ถึง 18 รายพิพาทจึงเป็นกรณีที่พระราชบัญญัติศุลกากรที่แก้ไขเพิ่มเติมบัญญัติให้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้สำหรับใบขนสินค้าขาเข้าดังกล่าวข้างต้นโดยมิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินอากรต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 112 ฉ แห่งพระราชบัญญัติศุลากร พ.ศ.2469 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 17) พ.ศ.2543 มาตรา 8 โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรกลางตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 7 (1) และมาตรา 8 ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยปัญหานี้ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการไม่ชอบ อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ประเด็นอื่นของจำเลย เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ.
โจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิและมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9815/2555
ตามคำฟ้องในตอนต้น ได้ระบุชื่อจำเลยที่ 2 ไว้ว่า บริษัท ส. โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 2 การกระทำใดๆ ของจำเลยที่ 2 จึงต้องแสดงออกโดยจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ดังนั้น เมื่อคำฟ้องได้ระบุว่า เมื่อโจทก์เรียกให้จำเลยที่ 1 คืนโฉนดที่ดิน แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมคืนกลับอ้างว่าโฉนดที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 2 ในขณะที่จำเลยที่ 1 เองเป็นกรรมการของจำเลยที่ 2 อยู่ด้วย เท่ากับจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 ผู้แทนปฏิเสธไม่ยอมคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์นั่นเอง จึงถือว่าโจทก์ถูกจำเลยที่ 2 โต้แย้งสิทธิและมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 29696 ตำบลคลองถนน อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ ถ้าจำเลยทั้งสองไม่คืนขอถือเอาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนเพื่อขอให้มีคำสั่งออกใบแทนโฉนดที่ดิน
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว เห็นว่า กรณีตามคำฟ้องในส่วนจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 โต้แย้งสิทธิโจทก์อย่างไร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาค่าฤชาธรรมเนียม ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ในศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่ง (ที่ถูก คำพิพากษา) ศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องในตอนต้น ได้ระบุชื่อจำเลยที่ 2 ไว้ว่า บริษัทสระบุรีทรัคเซลส์ จำกัดโดยมีจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 2 การกระทำใดๆ ของจำเลยที่ 2 จึงต้องแสดงออกโดยจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ดังนั้น เมื่อคำฟ้องได้ระบุว่า เมื่อโจทก์เรียกให้จำเลยที่ 1 คืนโฉนดที่ดิน แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมคืนกลับอ้างว่าโฉนดที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 2 ในขณะที่จำเลยที่ 1 เองเป็นกรรมการของจำเลยที่ 2 อยู่ด้วย เท่ากับจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 ผู้แทนปฏิเสธไม่ยอมคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวให้โจทก์นั่นเอง จึงถือว่าโจทก์ถูกจำเลยที่ 2 โต้แย้งสิทธิ และมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ได้ ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาโต้แย้งว่าคำฟ้องและเอกสารท้ายฟ้องของโจทก์ไม่มีข้อความใดที่ทำให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 2 นั้น เห็นว่า ฟ้องโจทก์ระบุชื่อจำเลยที่ 1 ในฐานะกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 2 ไว้ด้วย แม้คำฟ้องจะไม่ได้ระบุว่าจำเลยที่ 1 กรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 2 ไว้อย่างชัดแจ้ง แต่แสดงเจตนาได้ว่าที่โจทก์ระบุชื่อจำเลยที่ 1 ในฐานะกรรมการของจำเลยที่ 2 ก็เพื่อให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีความเกี่ยวพันกับจำเลยที่ 2 ที่จะต้องรับผิดในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจแล้ว ส่วนฎีกาข้ออื่นล้วนไม่เป็นสาระอันควรที่จะวินิจฉัยให้เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
เจ้าของที่ดินที่ติดต่อกับอาคารก่อสร้างผิดแบบเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดี
ในกรณีมีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินหรืออาคารที่อยู่ใกล้ชิดหรือติดต่อกับอาคารที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นหรือบุคคลซึ่งความเป็นอยู่หรือการใช้สอยที่ดินหรืออาคารถูกกระทบกระเทือนเนื่องจากการกระทำความผิดดังกล่าว เป็นผู้เสียหายตามกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22175/2555
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินที่ติดต่อกับอาคารพาณิชย์สองชั้นครึ่งที่จำเลยเป็นเจ้าของและก่อสร้างผิดไปจากแผนผังบริเวณ แบบแปลน และรายการประกอบแบบแปลนที่จำเลยได้รับอนุญาต และถูกกระทบกระเทือนเนื่องจากการกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าว โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 73 และมีอำนาจฟ้องคดีนี้
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 31, 40, 42, 65, 67, 70, 72, 73 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 และสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารพาณิชย์ของจำเลยตามฟ้องส่วนที่ก่อสร้างห่างจากเขตที่ดินของโจทก์น้อยกว่า 2 เมตร
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว คดีมีมูลเฉพาะข้อหาตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 31, 42, 65, 70, 72, 73 ส่วนข้อหาอื่นให้โจทก์ไปยื่นฟ้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาพิพากษาต่อไป
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 31, 65 การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำอันเกี่ยวเนื่องกับอาคารเพื่อพาณิชยกรรม ต้องระวางโทษเป็นสองเท่าตามมาตรา 70 จำคุก 4 เดือน และปรับ 80,000 บาท และปรับอีกวันละ 800 บาท นับแต่วันที่ 25 มีนาคม 2552 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 เป็นเวลา 341 วัน เป็นเงิน 272,800 บาท และต่อไปจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน และปรับ 40,000 บาท และปรับอีกวันละ 400 บาท เป็นเวลา 341 วัน เป็นเงิน 136,400 บาท และต่อไปจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดเวลา 2 ปี (ที่ถูก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56) หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 73 บัญญัติว่า “ในกรณีมีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินหรืออาคารที่อยู่ใกล้ชิดหรือติดต่อกับอาคารที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นหรือบุคคลซึ่งความเป็นอยู่หรือการใช้สอยที่ดินหรืออาคารถูกกระทบกระเทือนเนื่องจากการกระทำความผิดดังกล่าว เป็นผู้เสียหายตามกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญา” ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินที่ติดต่อกับอาคารพาณิชย์สองชั้นครึ่งที่จำเลยเป็นเจ้าของและก่อสร้างผิดไปจากแผนผังบริเวณ แบบแปลน และรายการประกอบแบบแปลนที่จำเลยได้รับอนุญาต และถูกกระทบกระเทือนเนื่องจากการกระทำความผิดของจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามบทบัญญัติดังกล่าว และมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาพิพากษาใหม่เพื่อให้การวินิจฉัยเป็นไปตามลำดับศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2) ประกอบมาตรา 225
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
อำนาจฟ้องขอแบ่งมรดกในฐานะทายาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4503/2565
ป.พ.พ. มาตรา 1726 บัญญัติว่า ถ้าผู้จัดการมรดกมีหลายคน การทำการตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกนั้นต้องถือเอาเสียงข้างมาก เว้นแต่จะมีข้อกำหนดพินัยกรรมเป็นอย่างอื่น ถ้าเสียงเท่ากัน เมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องขอ ก็ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เรียกทรัพย์จากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกที่ 1 เพื่อทำการแบ่งปันให้แก่ทายาทของเจ้ามรดกที่ 1 ถือว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 โจทก์จึงต้องฟ้องคดีร่วมกับ ธ. ผู้จัดการมรดกอีกคนหนึ่ง แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้แต่ผู้เดียว จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แต่โจทก์บรรยายฟ้องตอนหนึ่งว่าจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามที่โจทก์มีสิทธิได้รับมรดกของเจ้ามรดกทั้งสองตามบันทึกข้อตกลงซึ่งเป็นข้อตกลงของบรรดาทายาทของเจ้ามรดกที่ 1 จึงเห็นได้ว่าโจทก์ขอแบ่งปันมรดกในฐานะทายาทด้วย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องในฐานะทายาท