
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2055/2568: ความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร ความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร
ข้อเท็จจริงของคดี •จำเลยติดต่อผู้เสียหายทางข้อความเพื่อให้เปิดประตูบ้านให้ •ผู้เสียหายเปิดประตูให้จำเลย จากนั้นเดินไปยังห้องนอนของผู้เสียหายเอง •จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายในห้องนอน โดยที่ผู้เสียหายยินยอม •จำเลยไม่ได้พาผู้เสียหายออกไปที่อื่นหรือแยกออกจากอำนาจปกครองของบิดามารดา คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดสองกรรม คือ 1.ความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร 2.ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน ลงโทษจำคุกกรรมละ 6 ปี แต่เนื่องจากจำเลยรับสารภาพ ศาลลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือกรรมละ 3 ปี รวมจำคุก 6 ปี และให้นับโทษต่อจากคดีเดิมตาม ป.อ. มาตรา 91 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลดโทษ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็น ยกฟ้องข้อหาพรากเด็ก เนื่องจากไม่ปรากฏว่าจำเลยพาผู้เสียหายไปที่อื่น หรือแยกออกจากอำนาจปกครองของบิดามารดา ประเด็นข้อกฎหมายสำคัญ 1.ความหมายของคำว่า "พราก" ตามมาตรา 317 1.1 “พราก” หมายถึง การพาไป การทำให้จากไป หรือการแยกเด็กออกจากการปกครองของผู้ปกครอง 1.2 หากเด็กเป็นฝ่ายเปิดประตูให้เองและไม่ได้ถูกพาไปที่อื่น องค์ประกอบความผิดจะไม่ครบ 2.องค์ประกอบของความผิดฐานพรากเด็กไปเพื่อการอนาจาร 2.1 เด็กต้องมีอายุต่ำกว่า 15 ปี 2.2 จำเลยต้องพาเด็กไปหรือทำให้เด็กแยกจากผู้ปกครองโดยไม่ได้รับยินยอม 2.3 มีเจตนาเพื่อการอนาจาร 3.การนับโทษต่อเนื่องและการลดโทษ 3.1 ศาลใช้มาตรา 91 ในการนับโทษต่อจากคดีเดิม 3.2 ใช้มาตรา 78 ในการลดโทษเนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพ คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็ก เนื่องจากจำเลยไม่ได้พาผู้เสียหายไปที่อื่น ผู้เสียหายเป็นฝ่ายเปิดประตูให้เองและเดินไปห้องนอนเอง ดังนั้นองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 317 จึงไม่ครบถ้วน ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้ยกฟ้องข้อหาพรากเด็ก แต่คงโทษจำคุกในข้อหากระทำชำเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีตามมาตรา 277 การวิเคราะห์เชิงลึกและแนวปฏิบัติทางรูปคดี สำหรับฝ่ายโจทก์ •การฟ้องคดีในข้อหาพรากเด็กต้องมีพยานหลักฐานชัดเจนว่า เด็กถูกพาออกจากอำนาจปกครอง เช่น มีการพาไปสถานที่อื่น หรือแยกเด็กออกจากการดูแลของบิดามารดา สำหรับฝ่ายจำเลย •หากสามารถพิสูจน์ได้ว่า ไม่ได้พาเด็กไปที่อื่น หรือเด็กเป็นฝ่ายยินยอมเปิดประตูและเดินไปเอง จะเป็นข้อโต้แย้งสำคัญว่าขาดองค์ประกอบความผิด แนวปฏิบัติของทนายความ •ควรตรวจสอบรายละเอียดในคำฟ้อง หากไม่มีถ้อยคำที่แสดงถึงการ “พาไป” หรือ “แยกออก” อย่างชัดเจน สามารถยกข้อต่อสู้เรื่ององค์ประกอบความผิดไม่ครบได้ ข้อคิดทางกฎหมาย •ความผิดฐานพรากเด็กต้องมีองค์ประกอบครบทุกประการ ศาลตีความอย่างเคร่งครัด •หากไม่ปรากฏว่ามีการพาเด็กออกจากอำนาจผู้ปกครอง ก็ไม่สามารถเอาผิดฐานพรากเด็กได้ แม้ว่าจะมีการกระทำอนาจารเกิดขึ้นก็ตาม •คดีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า การเขียนคำฟ้องและการนำสืบพยานต้องละเอียดครบถ้วน จึงจะเอาผิดได้ตามข้อหา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2055/2568 ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร ตาม ป.อ. มาตรา 317 วรรคหนึ่งและวรรคสามนั้น การพรากหมายถึง การทำให้จากไป การพาไปเสียจาก การทำให้แยกออกจากกันหรือแยกออกไป ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล จึงหมายถึงการพาไปหรือแยกเด็กออกไปจากอำนาจปกครองดูแล ทำให้อำนาจปกครองดูแลของบิดามารดาเด็กถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยบิดามารดาเด็กไม่รู้เห็นยินยอม อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของบิดามารดาเด็ก การที่จำเลยไปที่บ้านของผู้เสียหายที่ 1 และเข้าไปกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ในห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 โดยจำเลยมิได้พาหรือนำตัวผู้เสียหายที่ 1 ไปที่อื่น จึงมิได้เป็นการพรากเด็กอันเป็นการขาดองค์ประกอบความผิดตามมาตราดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 317 นับโทษจำคุกของจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 548/2566 ของศาลชั้นต้น จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก, 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 6 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม จำคุก 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร คงจำคุก 3 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม คงจำคุก 3 ปี รวมจำคุก 6 ปี นับโทษต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 558/2566 ของศาลชั้นต้น จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลดโทษ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจารหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคหนึ่งและวรรคสามนั้น การพรากตามพจนานุกรมหมายถึง การทำให้จากไป การพาไปเสียจาก การทำให้แยกออกจากกันหรือแยกออกไป ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล จึงหมายถึงการพาไปหรือแยกเด็กออกไปจากอำนาจปกครองดูแล ทำให้อำนาจปกครองดูแลของบิดามารดาเด็กถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยบิดามารดาเด็กไม่รู้เห็นยินยอม อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของบิดามารดาเด็ก คดีนี้พยานโจทก์ที่นำสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยฟังได้ว่า วันเกิดเหตุ เวลา 0.10 นาฬิกา จำเลยพิมพ์ข้อความแจ้งผู้เสียหายที่ 1 ว่าจะเดินมาที่หน้าบ้านและให้เปิดประตูให้ ต่อมา จำเลยพิมพ์ข้อความแจ้งผู้เสียหายที่ 1 ว่าจำเลยอยู่หน้าบ้านแล้ว ให้เปิดประตูบ้านให้ ผู้เสียหายที่ 1 เดินไปเปิดประตูหน้าบ้านให้ จากนั้นจำเลยและผู้เสียหายที่ 1 เดินไปห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 ต่อมาจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 โดยความยินยอมของผู้เสียหายที่ 1 แล้วนอนอยู่ในห้องนอนผู้เสียหายที่ 1 จนเวลาประมาณ 11 นาฬิกา ผู้เสียหายที่ 2 เปิดประตูห้องนอนเข้ามาพบจำเลยกับผู้เสียหายที่ 1 ข้อเท็จจริงในคดีจึงรับฟังได้ว่า จำเลยไปที่บ้านของผู้เสียหายที่ 1 และเข้าไปกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ในห้องนอนโดยความยินยอมของผู้เสียหายที่ 1 โดยจำเลยมิได้พาหรือนำตัวผู้เสียหายที่ 1 ไปที่อื่นอันเป็นองค์ประกอบความผิดของความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าไปไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เมื่อขาดองค์ประกอบของการพรากเช่นนี้แล้ว การกระทำและเจตนาของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องความผิดฐานนี้เสีย จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
|