
คดีทำร้ายร่างกายตามมาตรา 295 และหลักห้ามฎีกาประเด็นข้อเท็จจริง
คดีทำร้ายร่างกาย มาตรา 295 ที่จำเลยอ้างป้องกันตัว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2107/2568 มีเนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับคดีทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 โดยจำเลยอ้างเหตุป้องกันตัว แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ในชั้นอุทธรณ์จำเลยไม่ได้โต้แย้งประเด็นนี้ ทำให้ข้อเท็จจริงถือเป็นอันยุติ ศาลฎีกาจึงไม่รับพิจารณาประเด็นป้องกันตัว และพิพากษายืนโทษจำคุก 4 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการอุทธรณ์ที่ครบถ้วนทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงของคดี โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาทำร้ายร่างกายตามมาตรา 295 โดยจำเลยใช้ไม้หน้าสามฟาดผู้เสียหายที่ศีรษะด้านซ้ายหนึ่งครั้ง และชกต่อยใบหน้าผู้เสียหายหลายครั้ง ทำให้ผู้เสียหายได้รับบาดแผลฉีกขาดที่ศีรษะยาว 5 เซนติเมตร ลึกถึงกะโหลกศีรษะ จำเลยให้การต่อสู้โดยอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัว แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานหลักฐานของจำเลยไม่พอฟังว่าจำเลยทำร้ายผู้เสียหายเพื่อป้องกันตัว การอุทธรณ์และฎีกาของจำเลย หลังคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยอุทธรณ์เพียงประเด็นขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษเท่านั้น มิได้อุทธรณ์ประเด็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการป้องกันตัว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำเลยจึงฎีกา โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงเรื่องการป้องกันตัวไม่ถูกอุทธรณ์มาก่อน จึงเป็นอันยุติและห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 และมาตรา 252
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้ฎีกา แต่หากข้อเท็จจริงนั้นไม่ถูกยกขึ้นในศาลอุทธรณ์ ก็ไม่อาจใช้เป็นเหตุฎีกาได้ เนื่องจากเป็นข้อที่ยุติแล้วตามกฎหมาย ศาลฎีกาจึงพิจารณาเพียงประเด็นว่าควรลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษหรือไม่ โดยพิเคราะห์ว่า การกระทำของจำเลยรุนแรง ใช้อาวุธทำร้ายศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ และไม่มีการชดใช้ค่าเสียหายหรือแสดงความสำนึกผิด จึงพิพากษายืนจำคุก 4 เดือนตามศาลชั้นต้นหลังลดโทษตามมาตรา 78
ประเด็นกฎหมายที่สำคัญ 1. หลักห้ามฎีกาข้อเท็จจริง หากคู่ความไม่อุทธรณ์ประเด็นข้อเท็จจริงในชั้นอุทธรณ์ ย่อมไม่สามารถยกขึ้นฎีกาได้ แม้จะได้รับอนุญาตให้ฎีกา โดยอ้างอิงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 2. การอนุญาตให้ฎีกาไม่สร้างสิทธิ แม้ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่หากข้อเท็จจริงนั้นไม่ถูกยกขึ้นในอุทธรณ์มาก่อน ก็ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิฎีกาในเรื่องนั้น 3. การใช้มาตรา 78 เพื่อลดโทษ มาตรา 78 ใช้ลดโทษได้ในกรณีที่การกระทำของจำเลยมีเหตุบรรเทา เช่น การให้ความร่วมมือกับกระบวนการยุติธรรม หรือแสดงความสำนึกผิด แต่ในคดีนี้ศาลเห็นว่าพฤติการณ์รุนแรงและจำเลยไม่ชดใช้ค่าเสียหาย จึงไม่ให้รอการลงโทษ แนวปฏิบัติทางรูปคดี 1.การอุทธรณ์ต้องครอบคลุมทุกประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย หากไม่อุทธรณ์ประเด็นข้อเท็จจริงตั้งแต่ต้น จะเสียสิทธิในการฎีกา 2.การขออนุญาตฎีกาไม่เพียงพอหากไม่ได้ยกข้อเท็จจริงมาก่อน สิทธิในการฎีกาเกิดขึ้นจากการดำเนินกระบวนที่ถูกต้อง ไม่ใช่เพียงการได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น 3.กลยุทธ์การต่อสู้คดีในชั้นต้น หากอ้างป้องกันตัว ต้องมีพยานหลักฐานชัดเจนและเพียงพอตั้งแต่ศาลชั้นต้น 4.การลดโทษและรอการลงโทษ ควรแนะนำให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายหรือแสดงความสำนึกผิด เพื่อให้ศาลเห็นเหตุบรรเทาโทษ ข้อคิดทางกฎหมาย •คดีนี้สะท้อนให้เห็นถึง ความสำคัญของการวางแผนกระบวนพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพของจำเลย •การไม่อุทธรณ์ข้อเท็จจริงที่สำคัญตั้งแต่แรก อาจทำให้เสียสิทธิในการฎีกาและต่อสู้คดีในชั้นสูงสุด •ผลของการไม่ชดใช้ค่าเสียหายหรือไม่แสดงความสำนึกผิด ซึ่งอาจส่งผลต่อการลดโทษและรอการลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2107/2568 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของจำเลยไม่พอฟังว่าจำเลยทำร้ายผู้เสียหายเพื่อป้องกันตัวในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์เพียงขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกเท่านั้น มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในข้อนี้แต่อย่างใด ข้อเท็จจริงในส่วนนี้จึงเป็นอันยุติ จำเลยไม่อาจยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาได้เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 แม้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อนี้ก็หาก่อให้เกิดสิทธิแก่จำเลยในการฎีกาไม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 (เดิม) ให้จำคุก 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาอ้างว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของจำเลยไม่พอฟังว่าจำเลยทำร้ายนายทักษ์สิน ผู้เสียหาย เพื่อป้องกันตัวในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์เพียงขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกเท่านั้น มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในข้อนี้แต่อย่างใด ข้อเท็จจริงในส่วนนี้จึงเป็นอันยุติ จำเลยไม่อาจยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาได้เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 แม้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อนี้ ก็หาก่อให้เกิดสิทธิแก่จำเลยในการฎีกาไม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า จำเลยใช้ไม้หน้าสามฟาดผู้เสียหายที่ศีรษะด้านซ้าย 1 ครั้ง และชกต่อยที่บริเวณใบหน้าของผู้เสียหายหลายครั้ง มีบาดแผลฉีกขาดที่ศีรษะด้านซ้ายยาว 5 เซนติเมตร ลึกถึงกะโหลกศีรษะ เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย แสดงว่าจำเลยใช้ไม้ฟาดผู้เสียหายที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญอย่างแรง ทั้งหลังเกิดเหตุก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย อันเป็นการรู้สำนึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยหลังลดโทษแล้ว จำคุก 4 เดือน โดยไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้นนับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน |