
สลากกินแบ่งรัฐบาล 48 ฉบับหายกลายเป็นคดียักยอกทรัพย์: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2568 สลากกินแบ่งรัฐบาล 48 ฉบับหายกลายเป็นคดียักยอกทรัพย์: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2568 คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการฟ้องคดีอาญาฐานลักทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์จากการที่จำเลยนำสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวน 48 ฉบับของผู้อื่นไปโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ต่อมาไม่คืนให้เจ้าของ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าแม้จะไม่ใช่การลักหรือวิ่งราว แต่เข้าลักษณะความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ซึ่งข้อเท็จจริงในคดีไม่ได้แตกต่างกันในสาระสำคัญ จึงสามารถลงโทษได้ตามกฎหมาย
สรุปฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ร่วมถือสลากกินแบ่งรัฐบาล 48 ฉบับเพื่อตรวจรางวัล โดยตรวจไปแล้วบางส่วน ก่อนลุกไปที่ร้านค้าของตน จำเลยดึงเอาสลากที่ยังไม่ได้ตรวจอีก 43 ฉบับไปตรวจโดยอ้างว่าจะช่วยตรวจให้ เมื่อโจทก์ร่วมกลับมาทวงถาม จำเลยกลับไม่คืนให้ อ้างว่าได้ตรวจแล้วไม่ถูกรางวัลและทิ้งไปแล้ว ซึ่งไม่พบหลักฐานใดว่าทิ้งจริง จำเลยอ้างว่าตนเข้าหุ้นซื้อสลากด้วย แต่ไม่สามารถนำสืบข้อเท็จจริงให้เชื่อถือได้ พยานฝ่ายโจทก์มีน้ำหนักมากกว่า และไม่มีเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน จึงเชื่อได้ว่าโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของสลากเพียงผู้เดียว และจำเลยเบียดบังสลากไปเป็นของตนเองโดยทุจริต ศาลเห็นว่า แม้พฤติการณ์จะไม่เป็นการลักทรัพย์หรือวิ่งราวทรัพย์ แต่เข้าลักษณะความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เพราะจำเลยครอบครองสลากโดยชอบก่อน แล้วไม่ยอมคืนโดยไม่มีเหตุอันควร แม้โจทก์ฟ้องข้อหาวิ่งราวทรัพย์ แต่ข้อแตกต่างระหว่างความผิดนี้กับยักยอกเป็นเพียงรายละเอียดไม่ใช่สาระสำคัญ ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษฐานยักยอกได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม ศาลฎีกาพิพากษายืนให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอก จำคุก 2 เดือน ปรับ 20,000 บาท รอการลงโทษ 1 ปี พร้อมเงื่อนไขคุมประพฤติ
🔍 สรุปข้อเท็จจริงของคดี •โจทก์ร่วมถือสลากกินแบ่งรัฐบาล 48 ฉบับเพื่อตรวจรางวัล •จำเลยขอยืมไปช่วยตรวจ เมื่อเสร็จแล้วกลับไม่ยอมคืน •จำเลยอ้างว่าได้ตรวจและทิ้งไปแล้ว แต่ไม่สามารถแสดงหลักฐานได้ •โจทก์ร่วมและพยานเห็นว่าจำเลยเป็นผู้ดึงสลากฯ ไปและไม่คืน •ศาลชั้นต้นยกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดฐานยักยอก •จำเลยฎีกา แต่ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์
⚖️ คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 1.การกระทำของจำเลยไม่ใช่การลักทรัพย์หรือวิ่งราวทรัพย์ oเพราะโจทก์ร่วมยินยอมให้ตรวจ และไม่มีลักษณะหลบหนี oแต่การไม่คืนสลากกินแบ่งโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ผู้อื่นโดยทุจริต 2.การวินิจฉัยเรื่องข้อสาระสำคัญตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม oองค์ประกอบความผิดของลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ และยักยอกทรัพย์มีจุดร่วมที่สำคัญคือ “การเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต” oแตกต่างกันเฉพาะวิธีการ จึงไม่ถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ 3.ศาลมีอำนาจลงโทษในข้อหายักยอก แม้ไม่ตรงกับคำฟ้อง oจำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด จึงไม่หลงต่อสู้ oศาลจึงมีอำนาจวินิจฉัยลงโทษตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน 4.พยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยไม่น่าเชื่อถือ oขาดรายละเอียดการเข้าหุ้นซื้อสลากฯ oพยานฝ่ายจำเลยเป็นผู้มีส่วนได้เสีย oขณะที่พยานฝ่ายโจทก์ให้ถ้อยคำตรงกัน มีเหตุผล น่าเชื่อถือ 5.คำพิพากษาศาลฎีกา oพิพากษาให้จำคุกจำเลย 2 เดือน ปรับ 20,000 บาท oรอการลงโทษ 1 ปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา oให้จำเลยคุมประพฤติและทำกิจกรรมบริการสังคม
📚 ขยายความประเด็นทางกฎหมาย ความแตกต่างระหว่างลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ และยักยอกทรัพย์ ประเภทความผิด *ลักทรัพย์ ลักษณะการกระทำ *ลักเอาทรัพย์ของผู้อื่นโดยเจตนาทุจริต อ้างอิงมาตรา ป.อ. ม.334-335 ประเภทความผิด *วิ่งราวทรัพย์ ลักษณะการกระทำ *ฉกฉวยเอาทรัพย์ของผู้อื่นซึ่งหน้า อ้างอิงมาตรา ป.อ. ม.336 ประเภทความผิด *ยักยอกทรัพย์ ลักษณะการกระทำ *ครอบครองโดยชอบแล้วเบียดบังเอาทุจริต อ้างอิงมาตรา ป.อ. ม.352 คดีนี้แสดงให้เห็นว่าความผิดฐานยักยอกอาจมีจุดเริ่มต้นจากการครอบครองทรัพย์โดยชอบ แต่เมื่อไม่คืนให้เจ้าของโดยไม่มีเหตุผล กลับกลายเป็นการกระทำผิดทางอาญา การใช้มาตรา 192 วรรคสาม •เป็นหลักในการป้องกันการหลุดพ้นโทษจากการฟ้องผิดมาตรา •หากจำเลยไม่หลงต่อสู้ และข้อเท็จจริงไม่แตกต่างกันในสาระสำคัญ ศาลสามารถวินิจฉัยลงโทษในมาตราที่เหมาะสมได้
💡 ข้อคิดทางกฎหมาย •การครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นโดยได้รับความยินยอม ต้องคืนให้เจ้าของเมื่อมีการทวงถาม มิฉะนั้นอาจเข้าข่ายยักยอก •ผู้เสียหายต้องรวบรวมพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในคดีที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่ไม่มีหลักฐานทางเอกสาร •ทนายความควรเตรียมการไว้ทั้งในกรณีที่ข้อเท็จจริงอาจเปลี่ยนแปลงระหว่างการพิจารณา เพื่อรองรับข้อหาทางเลือกหรือที่ใกล้เคียง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2568 จำเลยดึงเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ยังไม่ได้ตรวจไปจากมือของโจทก์ร่วมโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ต่อมาโจทก์ร่วมก็ยินยอมปล่อยให้จำเลยนำสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปตรวจได้โดยจำเลยไม่ได้หลบหนี พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่เอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปตรวจรางวัลให้แก่โจทก์ร่วมจึงเป็นการถือวิสาสะเท่านั้น ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการลักสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปโดยการฉกฉวยเอาซึ่งหน้าอันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน หรือความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง
การที่จำเลยได้รับสลากกินแบ่งรัฐบาลจากโจทก์ร่วมไปครอบครองแล้วจำเลยกลับเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไป เมื่อโจทก์ร่วมทวงถามก็ไม่ยอมคืนให้แก่โจทก์ร่วมโดยปราศจากเหตุผลอันจะอ้างตามกฎหมายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการครอบครองสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมแล้วเบียดบังเอาเป็นของตนเองหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคหนึ่ง
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปในเวลากลางคืนโดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ และยักยอกทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 335, 336, 352 คือการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริตเช่นเดียวกัน คงแตกต่างกันเพียงเรื่องการเอาทรัพย์นั้นไปโดยวิธีการใดเท่านั้น ดังนั้น ข้อแตกต่างระหว่างความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์และฐานยักยอกทรัพย์จึงถือได้ว่ามิได้แตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ ทั้งคดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เอาทรัพย์ของโจทก์ร่วมไปไม่ได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 336 และให้จําเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 5,200 บาท แก่ผู้เสียหาย จําเลยให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณา นายภูษิต ผู้เสียหายยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคหนึ่ง จำคุก 3 เดือน และปรับ 30,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน และปรับ 20,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้จำเลยฟังให้คุมความประพฤติของจำเลยมีกำหนด 1 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้งภายในระยะเวลาที่รอการลงโทษ และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรมีกำหนด 12 ชั่วโมงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 3,440 บาท แก่โจทก์ร่วม จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ตามที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง โจทก์ร่วม นายนัสที จำเลย และนายจำนงค์ สามีจำเลย นั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้ร้านค้าของโจทก์ร่วมและร้านค้าของจำเลย โจทก์ร่วมขอใบตรวจผลสลากกินแบ่งรัฐบาลจากจำเลยมาตรวจสลากกินแบ่งรัฐบาล 48 ฉบับ ราคาฉบับละ 80 บาท เมื่อโจทก์ร่วมตรวจไปได้ 5 ฉบับไม่ถูกรางวัล โจทก์ร่วมลุกขึ้นจะกลับไปที่ร้านค้าโดยถือสลากกินแบ่งรัฐบาลส่วนที่เหลือยังไม่ได้ตรวจอีก 43 ฉบับ ไว้ในมือ จำเลยเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลดังกล่าวไปตรวจ ต่อมาวันที่ 17 พฤศจิกายน 2561 โจทก์ร่วมไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรบางใหญ่ดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ เห็นว่า โจทก์และโจทก์ร่วมมีโจทก์ร่วมกับนายนัสที เพื่อนของโจทก์ร่วมและจำเลยซึ่งเป็นพยานโจทก์กับพยานโจทก์ร่วมและพยานจำเลยด้วยเบิกความยืนยันว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นของโจทก์ร่วม และมีนางสาวภณิศา ซึ่งเป็นพยานโจทก์กับพยานโจทก์ร่วมและพยานจำเลยด้วยเช่นกันเบิกความว่า วันเกิดเหตุพยานเห็นจำเลยกับนายจำนงค์นั่งตรวจผลสลากกินแบ่งรัฐบาลอยู่ที่โต๊ะ พยานถามว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นของใคร นายจำนงค์บอกว่า เป็นของโจทก์ร่วม พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามเบิกความยืนยันตรงกันจึงมีน้ำหนักให้น่าเชื่อถือ ประกอบกับข้อเท็จจริงตามสำนวนได้ความว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เก็บรักษาสลากกินแบ่งรัฐบาลทั้งหมดไว้ที่ตนเอง ในตอนแรกเมื่อจำเลยขอสลากกินแบ่งรัฐบาลจากโจทก์ร่วมไปตรวจโจทก์ร่วมปฏิเสธจะขอคืนไปตรวจเอง จำเลยก็บอกว่าจะช่วยตรวจให้โดยมิได้โต้แย้งคัดค้านหรือโต้เถียงว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้นเป็นของจำเลยที่เข้าหุ้นซื้อไว้ด้วยแต่อย่างใด พฤติการณ์แห่งคดีบ่งชี้ให้น่าเชื่อว่าโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สลากกินแบ่งรัฐบาลทั้งหมดดังที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมา ที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยเข้าหุ้นกับโจทก์ร่วมซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลด้วยนั้นคงมีจำเลยเบิกความลอย ๆ เพียงลำพัง ไม่ปรากฏรายละเอียดว่าจำเลยเข้าหุ้นซื้อมาเมื่อวันเวลาใด หรือเข้าหุ้นซื้อกี่ฉบับ ฉบับใดบ้าง หรือเข้าหุ้นร่วมซื้อเป็นเงินจำนวนเท่าใด ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงสำคัญที่จำเลยควรจะต้องจดจำได้อย่างแม่นยำเพราะหากถูกรางวัลจำเลยจะต้องคิดคำนวณเงินส่วนแบ่งที่จำเลยจะพึงได้รับจากโจทก์ร่วมด้วย แต่จำเลยก็หาได้นำสืบหรือเบิกความถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความจริงให้ประจักษ์ชัดโดยปราศจากข้อสงสัยไม่ส่วนนายจำนงค์สามีจำเลยก็มิได้เบิกความยืนยันหรือสนับสนุนว่าจำเลยเข้าหุ้นกับโจทก์ร่วมซื้อสลากกินแบ่งดังที่จำเลยอ้างแต่อย่างใด พยานหลักฐานของจำเลยที่นำสืบมาไม่สมเหตุสมผลและมีน้ำหนักน้อยไม่เพียงพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยไม่ได้เข้าหุ้นซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลกับโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สลากกินแบ่งรัฐบาลทั้ง 48 ฉบับ แต่เพียงผู้เดียว ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้เอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปนั้น โจทก์และโจทก์ร่วมมีโจทก์ร่วมเป็นพยานเบิกความว่าวันเกิดเหตุโจทก์ร่วมนำสลากกินแบ่งรัฐบาลมาตรวจโดยถือไว้ในมือข้างซ้าย เมื่อเอามาตรวจได้ 4 ถึง 5 ฉบับ ไม่ถูกรางวัลก็วางไว้บนโต๊ะ ระหว่างนั้นมีลูกค้ามาที่ร้านค้าของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมลุกขึ้นจะไปที่ร้านค้าจำเลยดึงสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ยังไม่ได้ตรวจซึ่งอยู่ในมือของโจทก์ร่วมไปบอกว่าจะช่วยตรวจให้ ให้โจทก์ร่วมไปขายของก่อน โจทก์ร่วมบอกจำเลยว่าจะตรวจเองแต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ โจทก์ร่วมเห็นลูกค้ารออยู่จึงเดินไปที่ร้านค้า หลังจากนั้นประมาณ 15 นาที โจทก์ร่วมเดินกลับมาที่โต๊ะถามจำเลยเรื่องสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วม จำเลยบอกว่าตรวจให้แล้วไม่ถูกและทิ้งไปแล้ว โจทก์ร่วมถามอีกครั้งจำเลยก็ยืนยันว่าทิ้งไปแล้ว โจทก์ร่วมเดินไปดูในถังขยะที่อยู่ใกล้ ๆ ไม่พบสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมจึงเดินกลับมาหาจำเลยที่โต๊ะบอกให้จำเลยเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลคืนมาโจทก์ร่วมจะตรวจจำเลยยืนยันเหมือนเดิมว่าทิ้งไปแล้ว และมีนายนัสทีเป็นพยานเบิกความว่า โจทก์ร่วมขอใบตรวจผลสลากกินแบ่งรัฐบาลจากจำเลยมาตรวจสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมที่มีจำนวนมากหลายฉบับ โจทก์ร่วมตรวจไปได้ 2 ถึง 3 ฉบับ ไม่ถูกรางวัลมีลูกค้ามาที่ร้านค้าของโจทก์ร่วมขณะโจทก์ร่วมจะเดินไปที่ร้านค้าจำเลยดึงเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่โจทก์ร่วมถืออยู่ในมือไป บอกให้โจทก์ร่วมไปขายของก่อนจำเลยจะตรวจให้เอง ตอนแรกโจทก์ร่วมจะเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมคืนจำเลยบอกโจทก์ร่วมว่าไปเถอะไปขายของเถอะ โจทก์ร่วมจึงเดินไปที่ร้านค้าของโจทก์ร่วม จำเลยกับนายจำนงค์ช่วยกันตรวจสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมทีละฉบับเมื่อไม่ถูกก็วางไว้บนโต๊ะ พยานนั่งดูอยู่ประมาณ 10 นาที ก็เดินไปที่ร้านค้าของพยาน จากนั้นประมาณ 10 นาที พยานเดินกลับมาที่โต๊ะเห็นจำเลยกับนายจำนงค์ยังตรวจไม่เสร็จพยานนั่งดูอยู่ประมาณ 5 นาที จึงเดินไปปิดร้านค้า เมื่อเดินกลับมาอีกครั้งพบโจทก์ร่วม จำเลยและนายจำนงค์อยู่ที่โต๊ะ แต่ไม่เห็นสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมบนโต๊ะ พยานได้ยินโจทก์ร่วมถามจำเลยเรื่องสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วม จำเลยตอบว่าตรวจแล้วไม่ถูก ทิ้งไปแล้ว เห็นว่า โจทก์ร่วมและนายนัสทีเบิกความยืนยันสอดคล้องตรงกันว่าจำเลยดึงเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ยังไม่ได้ตรวจไปจากมือของโจทก์ร่วม เมื่อจำเลยตรวจเสร็จแล้วก็ไม่คืนให้แก่โจทก์ร่วมบอกว่าทิ้งไปแล้ว แม้จะมีถ้อยคำที่โจทก์ร่วมและนายนัสทีเบิกความแตกต่างคลาดเคลื่อนอยู่บ้างเกี่ยวกับถ้อยคำพูดของจำเลย จำนวนสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมที่ตรวจแล้วและยังไม่ได้ตรวจ แต่ถ้อยคำนั้นก็เป็นพลความที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยทั้งสลากกินแบ่งที่โจทก์ร่วมนำออกมาตรวจมีเป็นจำนวนมาก ระหว่างที่โจทก์ร่วมกำลังตรวจได้บางส่วนก็รีบลุกขึ้นจะเดินไปที่ร้านค้าของโจทก์ร่วมอย่างรีบร้อนย่อมไม่มีเวลาจะสังเกตจดจำหรือนับจำนวนสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ตรวจแล้วหรือที่ยังไม่ได้ตรวจได้อย่างแม่นยำชัดเจน ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ข้อแตกต่างนี้จึงมิใช่ข้อสาระสำคัญแห่งคดี คงเป็นเพียงรายละเอียดข้อปลีกย่อยเท่านั้น มิได้ถือเป็นข้อพิรุธอันจะเป็นเหตุให้น่าระแวงสงสัยแต่ประการใด นอกจากนี้ยังได้ความว่าโจทก์ร่วมและนายนัสทีเป็นเพื่อนกับจำเลยและนายจำนงค์มาเป็นเวลานานหลายปีต่างประกอบอาชีพค้าขายมีร้านค้าอยู่ใกล้กันมีการพบปะสังสรรค์พูดคุยรับประทานอาหารด้วยกันที่โต๊ะดังกล่าวอยู่เสมอ วันเกิดเหตุก็นั่งพูดคุยกันที่โต๊ะตามปกติดังเช่นที่เคยกระทำกันมา ไม่ปรากฏว่ามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งหรือมีเหตุโกรธเคืองกันแต่อย่างใด ย่อมไม่มีเหตุผลใดที่โจทก์ร่วมและนายนัสทีจะเบิกความกลั่นแกล้งใส่ความให้ร้ายจำเลย โดยเฉพาะนายนัสทีเป็นประจักษ์พยานคนกลางที่โจทก์กับโจทก์ร่วมและจำเลยต่างก็อ้างเป็นพยานฝ่ายตนและไม่มีส่วนได้เสียในคดี คำเบิกความของนายนัสทีย่อมมีความน่าเชื่อถือ พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ตามที่โจทก์ร่วมและนายนัสทีเบิกความมา ส่วนจำเลยมีจำเลยเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อโจทก์ร่วมตรวจสลากกินแบ่งรัฐบาลไม่ถูกรางวัลมีลูกค้ามารอที่ร้านค้าของโจทก์ร่วม ขณะโจทก์ร่วมจะเดินไปที่ร้านค้าจำเลยจับสลากกินแบ่งรัฐบาลในมือโจทก์ร่วมบอกว่าจะตรวจให้โจทก์ร่วมบอกจะตรวจเอง จำเลยบอกโจทก์ร่วมให้ไปขายของจำเลยจะตรวจให้ โจทก์ร่วมพูดว่า "เอาอย่างนั้นเลยเหรอพี่" และส่งสลากกินแบ่งรัฐบาลให้จำเลยมาตรวจ เมื่อโจทก์ร่วมเดินไปที่ร้านค้าแล้วกลับมาจำเลยจะคืนสลากกินแบ่งรัฐบาลให้โจทก์ร่วม โจทก์ร่วมบอกจำเลยว่าไหน ๆ ตรวจให้แล้วก็ตรวจต่อไป จำเลยตรวจผลสลากกินแบ่งรัฐบาลทุกใบแล้วไม่มีถูกรางวัลจึงวางไว้บนโต๊ะ ต่อมานางสาวภณิศาเดินมาถามเรื่องสลากกินแบ่งรัฐบาลที่วางอยู่บนโต๊ะและนับจำนวนได้ 48 ฉบับ แล้วใช้หนังยางรัดสลากกินแบ่งรัฐบาลทั้งหมดวางไว้บนโต๊ะหลังจากนั้นโจทก์ร่วม จำเลย นายนัสที และนายจำนงค์นั่งคุยกันต่อสักครู่ก็แยกย้ายกันกลับและจำเลยมีนายจำนงค์เป็นพยานเบิกความสนับสนุนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเกิดเหตุในทำนองเดียวกับจำเลย เห็นว่า คำเบิกความของจำเลยและนายจำนงค์ดังกล่าวส่วนใหญ่สอดคล้องตรงกับคำเบิกความของโจทก์ร่วมและนายนัสทีจึงเจือสมกับทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมยิ่งสนับสนุนคำพยานของโจทก์ร่วมและนายนัสทีให้หนักแน่นมากยิ่งขึ้น ที่จำเลยอ้างว่าหลังจากจำเลยและนายจำนงค์ตรวจสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมเสร็จแล้วจำเลยวางไว้บนโต๊ะ จำเลยไม่ได้เอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมทั้งหมดไปนั้น คงมีจำเลยและนายจำนงค์สามีจำเลยซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีโดยตรงเบิกความเท่านั้น การรับฟังคำพยานดังกล่าวจึงต้องพึงกระทำด้วยความระมัดระวัง จำเลยและนายจำนงค์เบิกความว่าเมื่อจำเลยและนายจำนงค์ตรวจสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมเสร็จแล้วระหว่างนั่งคุยกับโจทก์ร่วมนางสาวภณิศามาถามนายจำนงค์เรื่องสลากกินแบ่งรัฐบาลที่วางอยู่บนโต๊ะนายจำนงค์บอกว่าอยากรู้ว่ากี่ใบให้นับเอา นางสาวภณิศานับได้ 48 ฉบับแล้วใช้หนังยางรัดสลากกินแบ่งรัฐบาลทั้งหมดแล้ววางไว้บนโต๊ะ แต่นางสาวภณิศากลับเบิกความว่า พยานเห็นจำเลยกับนายจำนงค์ตรวจสลากกินแบ่งรัฐบาลอยู่เมื่อสอบถามจำเลยบอกว่ายังตรวจไม่เสร็จจึงคืนสลากกินแบ่งรัฐบาลที่นับแล้วให้จำเลยไป ไม่ตรงกับคำเบิกความของจำเลยและนายจำนงค์ จึงมีข้อพิรุธที่น่าสงสัยว่าจำเลยและนายจำนงค์อาจจะเบิกความบิดเบือนความจริงเพื่อให้จำเลยพ้นจากความผิด ทั้งได้ความจากโจทก์ร่วมและนายนัสทีว่าเมื่อโจทก์ร่วมและนายนัสทีกลับมาที่โต๊ะในภายหลังไม่พบสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วม บริเวณที่เกิดเหตุก็เป็นที่โล่งแจ้งหากจำเลยวางสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมซึ่งมีเป็นจำนวนมากถึง 48 ฉบับไว้บนโต๊ะจริงโจทก์ร่วมและนายนัสทีย่อมจะพบเห็นได้โดยง่าย อีกทั้งจำเลยบอกโจทก์ร่วมว่าทิ้งสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปแล้วแต่ไม่ได้บอกว่าทิ้งไปตรงไหนปล่อยให้โจทก์ร่วมค้นหาเองเมื่อโจทก์ร่วมไปตรวจดูในถังขยะที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ไม่พบ ดังนี้ พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า วันเกิดเหตุโจทก์ร่วมนำสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วม 48 ฉบับ มาตรวจรางวัล เมื่อโจทก์ร่วมเอาออกมาตรวจได้ 5 ฉบับ ไม่ถูกรางวัลก็วางไว้บนโต๊ะ ระหว่างนั้นโจทก์ร่วมลุกขึ้นจะเดินไปร้านค้าของโจทก์ร่วมจำเลยดึงเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ยังไม่ได้ตรวจ 43 ฉบับ ซึ่งอยู่ในมือของโจทก์ร่วมไปบอกว่าจะช่วยตรวจ ให้โจทก์ร่วมไปขายของก่อน หลังจากนั้นจำเลยและนายจำนงค์ช่วยกันตรวจสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมแล้วจำเลยเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมทั้งหมดไป เมื่อโจทก์ร่วมทวงถามจำเลยไม่คืนสลากกินแบ่งรัฐบาลให้แก่โจทก์ร่วมโดยบอกโจทก์ร่วมว่าตรวจแล้วไม่ถูกรางวัลและทิ้งไปแล้ว ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า การที่จำเลยดึงเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ยังไม่ได้ตรวจไปจากมือของโจทก์ร่วมโดยไม่ได้รับอนุญาตแต่ต่อมาโจทก์ร่วมก็ยินยอมปล่อยให้จำเลยนำสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปตรวจได้โดยจำเลยไม่ได้หลบหนี พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่เอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปตรวจรางวัลให้แก่โจทก์ร่วมจึงเป็นเพียงการถือวิสาสะเท่านั้น ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการลักสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปโดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้าอันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนหรือความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตามที่ฟ้องโจทก์ แต่อย่างไรก็ดี เมื่อจำเลยได้รับสลากกินแบ่งรัฐบาลจากโจทก์ร่วมไปครอบครองแล้วจำเลยกลับเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไป เมื่อโจทก์ร่วมทวงถามก็ไม่ยอมคืนให้แก่โจทก์ร่วมโดยปราศจากเหตุผลอันจะอ้างตามกฎหมายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการครอบครองสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมแล้วเบียดบังเอาเป็นของตนเองหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม เป็นบทบัญญัติขยายความคำว่าข้อสาระสำคัญในวรรคสองให้เข้าใจว่าถ้าหากข้อแตกต่างนั้นเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ แต่ถ้าหากแตกต่างกันเพียงรายละเอียดที่จะต้องกล่าวในคำฟ้องให้ถือว่าข้อแตกต่างกันนั้นมิใช่ข้อสาระสำคัญ ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ และยักยอกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335,336, 352 คือการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยเจตนาทุจริตเช่นเดียวกัน คงแตกต่างกันเพียงเรื่องการเอาทรัพย์นั้นไปโดยวิธีการใด กล่าวคือ ด้วยวิธีการเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต หรือด้วยวิธีการลักเอาทรัพย์นั้นไปโดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า หรือด้วยวิธีการครอบครองทรัพย์นั้นแล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต เท่านั้น วิธีการในการเอาทรัพย์นั้นไปที่แตกต่างกันดังกล่าวจึงมิใช่ข้อสาระสำคัญ ดังนั้น ข้อแตกต่างระหว่างความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์และฐานยักยอกทรัพย์จึงถือได้ว่ามิได้แตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ ทั้งคดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เอาทรัพย์ของโจทก์ร่วมไป ไม่ได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคหนึ่ง ตามที่พิจารณาได้ความนั้นจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นแต่อย่างไรก็ดี เห็นสมควรให้รอการลงโทษนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง พิพากษาแก้เป็นว่า โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 |